ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 13 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (13)
สำนักซั่งชิง ภายในสำนัก โรงฝึกซ้อม
ถึงแม้ว่าเยี่ยอวี้ฉีจะไม่สามารถรวบรวมพลังวิญญาณได้ตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็เกิดในสำนักซั่งชิง และเป็นถึงบุตรของเจ้าสำนัก ในดวงใจอันบริสุทธิ์ของเด็กน้อยคนนี้มีความต้องการที่จะสังหารปีศาจขจัดมารมาตั้งแต่เด็ก
เพื่อที่จะให้ลูกสาวของตัวเองสามารถฝึกฝนพลังวิญญาณเหมือนคนอื่น ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เยี่ยจื่ออันก็ใช้ทุกวิถีทาง กระทั่งไม่เคยคิดเสียดายที่จะยอมให้ลูกสาวตัวเองใช้สมบัติวิเศษวัตถุดิบสวรรค์มากมาย แต่น่าเสียดาย ก็ยังคงไม่สามารถทะลวงผ่านเส้นชีพจรไร้พรสวรรค์ของเยี่ยอวี้ฉีได้
สองปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยจื่ออันเริ่มค่อยๆ หมดหวัง เขาแค่หวังว่าลูกสาวของตนจะสามารถเติบโตอย่างสงบสุข และหาผู้ชายดีๆ ที่ถูกใจสักคน และอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตอย่างมีความสุข
แต่ว่า ความคิดของเยี่ยอวี้ฉีต่างไปจากเยี่ยจื่ออัน เธอหวังว่าตัวเองจะสามารถครอบครองพลังวิญญาณ ปรารถนาจะได้ปราบปีศาจพิชิตมารเหมือนบิดาผู้เป็นถึงจอมเวทที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง
ความคิดแบบนี้เก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเยี่ยอวี้ฉีมาโดยตลอด ยิ่งกาลเวลาค่อยเคลื่อนผ่านไป ก็ยิ่งทำให้ความคิดนี้หนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“ศิษย์น้องเล็ก!”
วันนี้ เยี่ยอวี้ฉีก็เหมือนทุกวัน นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งของโรงฝึกซ้อมเพื่อฝึกสมาธิของตนเอง ทว่าพอฝึกได้เพียงครึ่งหนึ่งก็มีคนมารบกวน
“ศิษย์พี่ไป๋ มีธุระอะไรเหรอคะ”
คนที่เรียกหาเยี่ยอวี้ฉีเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักผู้หนึ่ง แซ่ไป๋
เห็นเยี่ยอวี้ฉีลุกขึ้นมามองตัวเอง ศิษย์พี่ไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสำนักเรียกเธอไปพบที่โถงใหญ่ เมื่อกี้เหมือนจะมีแขกพิเศษมาเยือนสำนัก”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินที่ศิษย์พี่ไป๋พูด เยี่ยอวี้ฉีก็พยักหน้าหงึกหงัก กับเรื่องของแขกพิเศษอะรพวกนี้ เธอไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
คนที่พ่อแนะนำให้เธอ จะต้องเป็นผู้อาวุโสหรือไม่ก็เจ้าสำนักของสำนักพรรคอื่นอีกแน่ เพราะตนเองไม่สามารถฝึกวิชาได้ พ่อจึงพยายามหาเส้นสายให้ตัวเองมาโดยตลอด เพื่อที่จะได้ให้คนพวกนั้นดูแลตนเอง
สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยอวี้ฉีเข้าใจดี แต่ในความเป็นจริงเธอก็มีความรู้สึกต่อต้านอยู่บ้างบางที
ระยะทางจากโรงฝึกซ้อมถึงห้องโถงใหญ่ของสำนักจริงๆ แล้วไม่ได้ไกลกันมาก เยี่ยอวี้ฉีกลับตั้งใจเดินให้ช้าลงมากๆ แต่ยังเดินไม่ถึงโถงใหญ่เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังของผู้เป็นพ่อตน ในความทรงจำของเยี่ยอวี้ฉี น้อยมากที่พ่อจะหัวเราะอย่างสะใจขนาดนี้ ดูท่าแขกพิเศษของวันนี้ไม่ธรรมดา
“พ่อคะ”
เยี่ยอวี้ฉีเดินเข้ามาที่โถงใหญ่อย่างช้าๆ ระหว่างที่พูด เธอก็ชะเง้อหน้าดูสถานการณ์ในโถงใหญ่
ตอนนี้เยี่ยจื่ออันนั่งอยู่บนที่นั่งของเจ้าบ้าน ใบหน้ายิ้มแย้มทั้งใบ ในโถงใหญ่โชยไปด้วยกลิ่นชาวิญญาณ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุน มีชายหนุ่มสง่างามคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อธรรมดาสีดำที่นั่งอยู่บนตำแหน่งซ้ายมือของเยี่ยจื่ออัน
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกผู้ดี ยิ่งไปกว่านั้นความเย็นชาบนคิ้วนั่น เหมือนสะท้อนให้เห็นความสงบที่ตัดขาดจากโลกใบนี้
“พ่อคะ ท่านนี้คือ…”
เยี่ยอวี้ฉีถามตัวเองในใจว่าตนก็ได้เจอชายหนุ่มหล่อเหลาของสำนักพรรคอื่นๆ มาก็ไม่น้อยนะ แต่กับคนตรงหน้าคนนี้ คนที่มองแค่ปราดเดียวก็ทำให้ตนเองถูกบุคลิกท่าทางของเขาดึงดูดไว้ กลับมีแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น
“อวี้ฉีเอ๋ย ลูกมานี่ ท่านนี้คือทายาทของเผ่ามังกรปราบมารตระกูลหม่าที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หม่าเย่ว์”
หม่าเย่ว์?
คือทายาทหนุ่มอันดับหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นของตระกูลหม่าน่ะเหรอ
ได้ยินที่เยี่ยจื่ออันพูด เยี่ยอวี้ฉีตาเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม “เยี่ยอวี้ฉีคารวะศิษย์พี่หม่า!”
เดินมาถึงตรงหน้าของผู้เป็นพ่อ เยี่ยอวี้ฉีคารวะซูรุ่ยอย่างมีมารยาท
“เกรงใจกันแล้ว ศิษย์น้องเยี่ย”
ซูรุ่ยยกเปลือกตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ส่งยิ้มให้เยี่ยอวี้ฉี
มีคนอยู่ตั้งมากมาย เขาก็ต้องให้หน้าเยี่ยจื่ออันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
“อวี้ฉี ศิษย์พี่หม่าของลูกมาที่สำนักซั่งชิงของเราครั้งแรกนะ ลูกพาเขาไปชมรอบๆ สำนักหน่อยดีไหม”
เยี่ยจื่ออันที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นว่าความประมับใจแรกที่ลูกสาวมีให้กับหม่าเย่ว์ไม่เลว จึงอดไม่ได้ที่จะเห็นน้ำขึ้นแล้วต้องรีบตัก “ศิษย์หลานหม่า ถ้าหากเจ้าไม่ได้มีงานอะไร สามารถพักที่นี่อีกหลายๆ วันเลยนะ ให้อวี้ฉีพาเจ้าเดินดูรอบๆ เรื่องของมั่วหันนั่น เดี๋ยวข้าไปบอกกล่าวกับพรรคอู่สิงเอง”
“ขอบพระคุณเจ้าสำนักเยี่ยมากๆ ครับ”
จะเป็นไปได้อย่างไรที่เวลานี้ซูรุ่ยจะดูความในใจของเยี่ยจื่ออันไม่ออก เขาก็แค่ไม่อยากขัดมันก็เท่านั้นเอง
“ถ้างั้น…ศิษย์พี่หม่า เราไปเดินเล่นกันตอนนี้เลยไหม!”
เยี่ยอวี้ฉีที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นซูรุ่ยตอบตกลง อดไม่ได้ที่จะตาเป็นประกาย และมองดูซูรุ่ยด้วยสีหน้ามีความหวัง
“ดีเลย ศิษย์น้องเยี่ย เชิญนำทาง!”
เห็นทั้งสองคนเดินตามๆ กันออกจากโถงใหญ่ เยี่ยจื่ออันพยักหน้าน้อยๆ อยู่ด้านหลัง
ไม่เลว ไม่เลวนะ! หม่าเย่ว์ เด็กคนนี้ไม่เพียงแค่มีระดับพลังสูง บุคลิกนิ่งสุขุม ยังคุยด้วยแล้วสบายใจ ความรู้รอบตัวกว้างขวาง เป็นตัวเลือกลูกเขยที่ดีมากคนหนึ่งเลย~
…………
เขาเหมาซานที่ตั้งของสำนักซั่งชิง ถูกขนานนามว่าเป็นสวรรค์ชั้นที่แปดในหมู่สำนักลี้ลับ ดินแดนมงคลอันดับหนึ่ง ทิวทัศน์ภายในสำนักซั่งชิงนั้นงดงามสบายตา ภูเขาเขียวน้ำใส พลังวิญญาณเข้มข้น
เยี่ยอวี้ฉีพาซูรุ่ยเดิมอ้อมโรงฝึกซ้อม มาถึงที่บ่อน้ำพุหลังเขา เสียงของน้ำพุดังกังวาล ใสจนเห็นชัดถึงใต้บ่อ ไกลออกไปยังมองเห็นปลาตัวน้อยๆ หลายตัวแหวกว่ายไปมาอย่างสนุกสนาน
“ที่นี่บรรยากาศไม่เลวจริงๆ”
ซูรุ่ยหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกถึงพลังวิญญาณบนหุบเขาแห่งนี้ อดใจไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งพลางผ่อนลมหายใจ
“ศิษย์พี่หม่าก็รู้สึกว่าที่นี่สวยงามมากใช่ไหม”
ได้ยินซูรุ่ยถอนหายใจ ใบหน้าของเยี่ยอวี้ฉีแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ เธออดไม่ได้ที่จะยกมือและชี้ไปตรงยอดเขาไม่ไกลมากนัก “นั่น ศิษย์พี่หม่าดูนั่น ตรงนั้นคือยอดเขาของสำนักเรา บนยอดเขาคือวังจิ่วเซียววั่นฝูที่บรรพชนสร้างขึ้น ถ้าไปยืนอยู่บนนั้น จะมองเห็นพระอาทิตย์เหนือเมฆ น่าจะเป็นเรื่องที่มีความสุขมากๆ เรื่องหนึ่งเลยละค่ะ”
“อ้อ?”
ซูรุ่ยมองตามทิศทางที่เยี่ยอวี้ฉีชี้ มองดูวังสูงตระหง่านสูงโดดเด่นที่ซ่อนอยู่ในเมฆนั่น “ที่นั่น…..คนธรรมดาไม่สามารถไปได้เหรอ”
“ศิษย์พี่หม่าคงไม่รู้ล่ะสิ ที่นั่นเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักเรา จากที่เล่ากันมาคนที่สามารถมีพลังถึงระดับขั้นสวรรค์ประทานได้ถึงจะมีสิทธิ์เดินขึ้นบันไดของวังจิ่วเซียววั่นฝู ที่ปลายบันไดนั่นก็จะเป็นโถงใหญ่ของวังวั่นฝูแล้วละ และในโถงใหญ่….”
พูดมาถึงตรงนี้ เสียงของเยี่ยอวี้ฉีสะดุด “แต่ในโถงใหญ่มีอะไร อันนี้ข้าก็ไม่รู้”
อ้อ?
รู้สึกว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ ซูรุ่ยดวงตาวาบประกาย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ระหว่างทั้งสองพลันเงียบงันลงไป แต่เยี่ยอวี้ฉีก็มักจะแอบหันหน้ามาด้านข้าง มองซูรุ่ยด้วยแววตาหลบๆ ซ่อนๆ
“ศิษย์น้องเยี่ย มีเรื่องอะไรจะถามผมใช่ไหม”
ตลอดทางมานี้ เยี่ยอวี้ฉีแอบมองตนเองมาโดยตลอด ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก เธอน่าจะแอบมองสุนัข…ในอ้อมกอดของตนตลอดต่างหาก
ราชันมังกรดำได้แต่ส่งเสียงประท้วงในใจ ข้าผู้เป็นราชันคือมังกร! มังกร! มังกรดำพันธุ์แท้~
“ศิษย์พี่หม่า ที่จริงแล้วฉัน ฉันแค่อยากถามว่า สุนัขที่อยู่บนอกคุณ มัน…”
เยี่ยอวี้ฉีหยุดคิดถ้อยคำที่จะพูด ช่วงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะถามต่อไปยังไง
ที่จริงแล้วเมื่อครู่ที่อยู่ในสำนัก เธอก็สังเกตเห็นสุนัขสีดำตัวนั้นแล้ว เธอรู้สึกว่าเหมือนสุนัขของตนเองที่หายไปทุกประการเลย
แต่ตอนนั้นเธอถูกรัศมีรอบกายของซูรุ่ยดึงดูดไว้ จึงไม่ได้ถามในตอนนั้นทันที อีกทั้งตลอดทางที่ได้สัมผัสมา รู้สึกว่าศิษย์พี่หม่าก็ไม่ได้ดูหยิ่งยโสเย็นชาเหมือนที่คิดไว้ เยี่ยอวี้ฉีถึงได้กล้าถามออกมา
“มันชื่อหลงหลง”
ซูรุ่ยรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยอวี้ฉีอยากถามอะไร “ผมได้ยินจากเจ้าสำนักมาว่าเธอก็มีสัตว์เลี้ยงแบบนี้เหมือนกันตัวหนึ่ง”
“อ๋อ อือ ใช่ค่ะ ตัวนั้นของฉันชื่อจิ่วเย่ว์ เพราะว่ามันเกิดเดือนเก้า วันก่อนจิ่วเย่ว์แอบลงเขาไป จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
พูดถึงสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของตนเอง เยี่ยอวี้ฉีอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ากังวลและเศร้าใจออกมา “ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ถ้าโดนคนอื่นเขาจับไปก็ไม่รู้จะทำยังไงดี”
ได้ยินที่เยี่ยอวี้ฉีพูด ซูรุ่ยก็ได้แต่เงียบไป
แต่ราชันมังกรดำในอ้อมอกของเขาอดใจไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียก “โฮ่ง โฮ่ง” ออกมาเบาๆ…
หญิงงาม หญิงงามเอ๋ย มองมาที่นี่ ข้าผู้เป็นราชันอยู่ที่นี่ อุ้มข้าผู้เป็นราชันไปไว้ที่อกของเจ้าสิ~
รู้สึกถึงความไม่สงบนิ่งของราชันมังกรดำ แววตาของซูรุ่ยเย็นลงทันที นิ้วมืออันยาวสวยของเขา ลูบเบาๆ ไปที่ขนของมัน เจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอกขนลุกชันขึ้นมาทันที และสงบลงอย่างว่านอนสอนง่าย
“มันดูเหมือนว่าจะเชื่อฟังคุณมากเลยนะ ต่างจากจิ่วเย่ว์ที่ซุกซนกว่านี้เยอะเลย”
ถึงแม้ว่าสุนัขทั้งสองมองแล้วจะเหมือนกันทุกประการ แต่ตอนนี้เยี่ยอวี้ฉีรู้สึกได้ว่าตัวนี้ไม่ใช่จิ่วเย่ว์ของตนเอง เพราะสายตาที่จิ่วเย่ว์จ้องมองตนเองมันไม่ใช่แบบนี้
“มันน่ะ ที่จริงแล้วเชื่อฟังภรรยาของผมมากๆ”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยอวี้ฉี ซูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบา
“อ้อ?”
เยี่ยอวี้ฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำที่ซูรุ่ยพูด สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่หม่า คุณ…คุณแต่งงานแล้วเหรอคะ”
“ยังเลย แต่ก็ใกล้แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ ซูรุ่ยมองไปที่เยี่ยอวี้ฉีด้วยสายตาอันลึกซึ้ง “ศิษย์น้องเยี่ยมีคนในใจหรือยัง”
“คนในใจ?”
สายตาของเยี่ยอวี้ฉีมืดลง “ไม่ ยังไม่มีเลยค่ะ”
ความจริงแล้ว ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เจอศิษย์พี่หม่า เยี่ยอวี้ฉีก็หวั่นไหวไปบ้าง (แม่ทัพซูก็มีเสน่ห์แบบนี้แหละ ซูเสี่ยวหว่านเธอคิดว่าไง) แต่เสียดาย เธอยังไม่ได้คิดว่าจะทำยังไงต่อ เธอก็อกหักเสียแล้ว