ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 16 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (16)
ซูหว่านและซูรุ่ยลงมาจากหุบเขาเหมาซาน พระอาทิตย์ตกดินแล้ว
“จะนอนพักที่ข้างล่างหุบเขาสักคืนไหม”
เห็นสีหน้าของซูรุ่ยไม่ค่อยสู้ดีนัก ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะออกความคิดเห็น
วันนี้สีหน้าของซูรุ่ยดูแย่มากจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อคืนหักโหมหนักเกินไปหรือเปล่า ทำให้เขาสูญเสียพลังหยางในร่างกายไปมาก อะไรกัน เรื่องนี้เธอก็ไม่สามารถควบคุมได้หรอกนะ~
“ก็ดี”
ได้ยินที่ซูหว่านพูด ซูรุ่ยพยักหน้า สำหรับคำพูดของภรรยาตัวเอง เขาไม่เคยไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว
บนหุบเขาและข้างล่างหุบเขาเหมือนเป็นสองโลกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้างล่างของหุบเขาเหมาซานนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่เจริญรุ่งเรืองมาก ในเมืองมีแต่ตึกสูง และแสงไฟที่เย้ายวน
เพราะที่นี่อยู่ติดกับเขตท่องเที่ยวชื่อดัง เศรษฐกิจที่นี่จึงเจริญกว่า และค่าใช้จ่ายในเมืองก็สูงเป็นเรื่องธรรมดา ยังดีที่เป็นคนของตระกูลหม่า ตอนนี้ซูรุ่ยก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีฐานะอยู่พอสมควร บัตรเครดิตที่พกติดตัวล้วนมีเงินอยู่ในนั้นไม่น้อยทุกใบ
ทั้งสองเข้าพักที่โรงแรมหรูซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งไม่เลวแห่งหนึ่ง ขณะที่ขึ้นตึกตามพนักงานต้อนรับ พนักงานหนุ่มคนนี้ก็พูดอย่างจริงจังกับสองคนว่า “มองก็รู้ว่าทั้งสองท่านมาจากที่อื่น มาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันใช่ไหมครับ ที่นี่ของพวกเราผู้คนนิสัยดี บรรยากาศก็ดี ทิวทัศน์สวยน่าตื่นตา เป็นสถานที่ที่ดี เหมาะกับการมาพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดครับ! พวกคุณรู้จักอรหันต์ซันเหมาใช่ไหม เขาเป็นบรรพจารย์ของสำนักเหมาซานของเรา ที่นี่ของเราอยู่ใกล้กับพื้นที่มงคลหุบเขาเหมาซาน ไม่ต้องพูดถึงปีศาจผีร้ายเลย แม้แต่โจรลักเล็กขโมยน้อยยังไม่กล้าออกมาเพ่นพ่านเลย เพราะฉะนั้นทั้งสองท่านวางใจในการเที่ยวที่นี่หลายๆ วันได้เลยครับ!”
ซูรุ่ย “…”
ซูหว่าน “…”
พี่ใหญ่ ในลิฟต์นี่ก็มีผีตัวน้อยอยู่หลายตนที่ลอยกันไปมาอย่างสนุกสนานนะ คุณพูดแบบนี้ คุณยังจะให้พวกเขาเป็นผีอย่างมีความสุขได้อยู่ไหมเนี่ย
ออกจากลิฟต์ พนักงานต้อนรับก็หมุนตัวเดินจากไป เห็นผีตัวน้อยสองตนบินไปบินมาอย่างซุกซนอยู่ข้างตัวเขา ซูหว่านไม่รู้จะพูดอะไรเลย
คิดไปคิดมา การที่ไม่รู้อะไรเลย ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งนะ อืม
“เข้าไปเถอะ”
ซูหว่านเปิดประตูด้วยคีย์การ์ดห้อง ซูรุ่ยยืนอยู่ด้านหลังของเธอจ้องมองวิญญาณผีอีกสองตัวที่อยู่รอบกายทั้งสองไม่ยอมจากไป เห็นพวกเขาจ้องมองซูหว่านด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี เขาขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆ ยกมือขึ้น มีดอวี้หลิงพลันพุ่งแหวกอากาศ…
“ไว้ชีวิตผีเถอะ!”
รอจนเสียงเรียกที่ส่งผ่านจากทางเดินฝั่งตรงข้ามลอยมาถึง ซูรุ่ยก็จัดการฆ่าผีเฒ่าหัวงูสองตนนั้นจนดวงวิญญาณแตกสลาย
“ฮือ ฮือ”
ในเวลานี้เองมีร่างอ้วนท้วมร่างหนึ่งที่เหงื่อท่วมหน้าวิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ “น้องชาย พวกเขาก็ไม่ได้รบกวนคุณ ทำไมคุณถึงลงมือโหดร้ายขนาดนี้”
“สำนักพุทธ?”
ซูรุ่ยมองชายหนุ่มร่างอ้วนท้วมท่าทางมีเมตตาและมีอัธยาศัยดีคนนี้ด้วยสายตาอันเย็นชา เขาไม่มีผม บนศีรษะล้านเลี่ยนจนสะท้อนเงามีรอยแผลที่เห็นได้ชัด
“อาตมา ไม่ ผมฉืออีปู้ ก่อนหน้านี้ฝึกบำเพ็ญในสำนักพุทธ ตอนนี้กลับมาเป็นฆราวาสแล้ว”
ฉืออีปู้ส่งยิ้มอย่างอบอุ่นไปให้ซูรุ่ย
ฉืออีปู้? (ช้าก้าวหนึ่ง) ดูจากสภาพคุณแล้ว ทำอะไรก็คงต้องช้าไปก้าวหนึ่งอยู่แล้วแหละ~
“ฉืออีปู้? หลวงจีนร้อยสมบัติ ฉืออีปู้?”
ซูหว่านที่กำลังเปิดประตูห้องจะเดินเข้าไป เมื่อได้ยินชื่อฉืออีปู้ ร่างของเธอก็หยุดชะงักไปกะทันหัน
หลวงจีนรูปนี้เคยปรากฏอยู่ในโครงเรื่องเดิม ถึงแม้เขาจะสึกมานานแล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโล้นอยู่ตลอด ทั้งไม่ฆ่าสัตว์กินเจ คนในสำนักลี้ลับจึงตั้งฉายาให้เขาว่า ‘หลวงจีนร้อยสมบัติ’ พูดถึงฉายานี้ก็มีความหมายมากนะ ได้ยินมาว่าฉืออีปู้ คนนี้ใจบุญมาตั้งแต่เกิด เป็นพุทธะมีชีวิตที่กลับชาติมาเกิดในร่างทารกวิญญาณ ชาตินี้โชคดีมหาศาล เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่สมบัติหายากปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นฉายา ‘หลวงจีนร้อยสมบัติ’ มันนับว่าสมชื่อจริงๆ
ได้ยินซูหว่านเรียกฉายาของตนเอง ฉืออีปู้ก็ลูบหัวล้านของตนเองแล้วยิ้มอย่างนอบน้อม “แหะๆ นี่เป็นแค่ฉายา ฉายาเท่านั้นเอง ผมเห็นว่าทั้งสองท่านหน้าไม่คุ้นเลย พวกคุณไม่ใช่คนของเขาเหมาซานใช่ไหม”
“ตระกูลหม่า หม่าเย่ว์”
ซูรุ่ยแนะนำสถานภาพของตนเองเสียงเอื่อย จากนั้นก็ชี้ไปยังซูหว่านที่ยืนอยู่หน้าประตู “เธอคือคนรักของผม”
“อ้อ~ ที่แท้เป็นลูกหลานของเผ่ามังกรปราบมารตระกูลหม่านี่เอง ผมช่างเสียมารยาท เสียมารยาทแล้วจริงๆ!”
ฉืออีปู้ก็เคยได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับหม่าเย่ว์มาบ้าง พูดตามตรง รอบนี้ที่เขามาหุบเขาเหมาซาน ก็มีความเกี่ยวข้องกับหม่าเย่ว์อยู่บ้าง
ดังคำกล่าวที่ว่าอย่าตีคนยิ้ม ฉืออีปู้ทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เริ่มพูดนู่นพูดนี่ ดูเหมือนว่าไม่อยากจากไป
“ไม่งั้น พี่ฉืออีปู้เข้ามานั่งในห้องก่อนไหม”
ซูหว่านอดไม่ได้ที่ไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู เพื่อเว้นที่ทางเดินให้กับฉืออีปู้
“นี่ จะกลัวรบกวนเวลาพักผ่อนของทั้งสองได้ยังไงครับ แฟะๆ”
ฉืออีปู้ที่อยู่ข้างๆ ปฏิเสธด้วยความนอบน้อม แต่ฝีเท้ากับเดินเข้ามาที่ห้องของทั้งสองแบบไม่มีท่าทีจะหยุด
“โอ้โห การตกแต่งภายในห้องนี้ดีกว่าห้องธรรมดาของผมนะเนี่ย น้องชายหม่า พวกคุณคู่สามีภรรยาช่างรู้วิธีการเพลิดเพลินกับการพักผ่อนจริงๆ!”
พอฉืออีปู้เดินเข้ามาในห้องก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจไปทุกมุมของห้อง ซูหว่านและซูรุ่ยมองตากัน หลังจากปิดประตูห้อง ซูรุ่ยก็สะบัดมือแล้วสร้างฉากกั้นเสียงออกจากโลกภายนอกทันที ฉากกั้นนี้คนที่พลังสูงกว่าซูรุ่ยมากเท่านั้นถึงจะทำลายมันได้ ไม่อย่างนั้น ใครก็ไม่ได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นในห้องนี้
“พี่ฉือ คุณมีอะไรจะพูด ตอนนี้พูดได้แล้วนะ”
ซูรุ่ยหมุนตัวไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ด้วยท่าทีสง่างาม มองดูฉืออีปู้ที่ยังคงสอดส่องไปทุกมุมของห้อง พูดด้วยน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “คุณกำลังหาของอะไรอยู่เหรอ”
“แหะๆ แหะๆ”
ฉืออีปู้ยิ้ม “ไม่ได้หาอะไร นี่ น้องหม่า เจ้าขนฟูตัวสีดำตัวนี้ของคุณดูแล้วมันน่ารักจังเลยนะ!”
ระหว่างที่พูด ฉืออีปู้จ้องมองราชันมังกรดำที่อยู่ข้างๆ ตัวซูรุ่ยอย่างจดจ่อ
“โฮ่ง~”
ต้องบอกว่าสิ่งที่น่าหวั่นกลัวที่สุดของมังกรดำผู้ชั่วร้าย แน่นอนว่าย่อมต้องเป็น ‘ความดี’ ทั้งปวง
ตัวฉืออีปู้เองนั้นเป็นพุทธะมีชีวิตอยู่แล้ว แล้วตอนที่เขาฝึกฝนอยู่ในสำนักพุทธเขาก็ได้ฝึกวิชาเมตตาจิต เป็นธรรมดาที่จะมีกรรมดีอยู่รอบตัว เขาแค่ขยับเข้าใกล้เล็กน้อย ราชันมังกรดำก็ขนลุกไปทั้งตัว ตื่นตระหนกจนมุดไปอยู่ด้านหลังของซูรุ่ย
“มันขวัญอ่อนน่ะ”
ซูรุ่ยขยับตัว กันราชันมังกรดำไว้ที่หลังของตนเอง
“อ้อๆ ที่จริงผมชอบสัตว์เลี้ยงตัวเล็กที่สุด”
ฉืออีปู้ยิ้มแบบเขินๆ และสายตาก็ตกกระทบลงบนร่างซูหว่านอีกครั้ง “ยังไม่รู้เลยว่าน้องสาวชื่ออะไร”
“ฉันชื่อซูเจินเจิน”
ซูรุ่ยส่งยิ้มให้ฉืออีปู้น้อยๆ
“เจินเจิน? เป็นชื่อที่ดีมากจริงๆ เหมือนคำกล่าวที่ว่าของปลอมจะเป็นของจริงไม่ได้ ของจริง…ก็จะปลอมไม่ได้ คุณว่าอย่างนั้นไหม”
ฉืออีปู้มองซูหว่านด้วยแววตาสงสัย นัยน์ตาเหมือนมีความสับสนอยู่ในนั้น
“โลกทุกวันนี้ จริงจริงเท็จเท็จ เท็จเท็จจริงจริง ใครล่ะจะพูดให้ชัดเจน”
ซูหว่านยักคิวขึ้นมาแล้วมองไปยังแววตาของฉืออีปู้ ในน้ำเสียงไม่มีท่าทีจะถอยให้
“แหะๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ น้องสาวมองได้ทะลุปรุโปร่ง เป็นผมนี่เองที่โง่เขลา”
ฉืออีปู้ลูบหัวล้านของตนเองอย่างติดเป็นนิสัย “เอ้อ มัวแต่คุยกับพวกคุณสามรภรรยา ท้องที่ไม่รู้งานของผม หิวอีกแล้ว ผมไปกินข้าวแล้ว ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว! พวกคุณรีบพักผ่อนเถอะ ที่นี่ ดึกแล้วไม่ค่อยสงบ”
ขณะที่พูดฉืออีปู้ก็ลากร่าอ้วนๆ ของตนเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินไปถึงประตู เขาตบศีรษะตนเองทีหนึ่งอีกครั้ง “ดูความจำของผมสิ วันนี้เจอกับพวกคุณเป็นครั้งแรกถือว่าเป็นบุญวาสนา มามามา อันนี้มอบให้น้องสาว ขอให้คุณอายุยืนยาวลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง!”
ในขณะที่พูด ฉืออีปู้ได้หยิบแม่กุญแจอันประณีตที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมา แม่กุญแจนี้มองดูแล้วคล้ายวัตถุโบราณสมัยก่อนที่คนในบ้านจะให้เด็กใส่เป็นเหมือนดั่งกุญแจชีวิต วัสดุที่ทำมาจากเงินแท้ แต่ตัวหนังสือที่แกะสลักอยู่บนนั้นไม่ใช่คำว่า ‘อายุยืน’ แต่กลับเป็นอักษรโบราณที่ซับซ้อนมาก
นี่คือ…
เห็นอักษรที่คุ้นเคยนั้น ซูหว่านหรี่ตาลง “พี่ใหญ่ฉือ คุณก็จะเกรงใจเกินไปแล้ว”
“ไม่มีอะไรมากมาย ของชิ้นนี้ก็ไม่ได้มีค่าอะไร สิ่งสำคัญคือสามารถใช้ในที่ที่มันควรจะใช้ได้ ผมไปแล้ว พวกคุณไม่ต้องส่งแล้วนะ!”
หลังจากที่ฉืออีปู้มอบแม่กุญแจสีเงินให้กับซูหว่าน เขาก็หันหลังและโบกมือให้กับทั้งสองคน แล้วเดินวางมาดออกไป
บนทางเดินของโรงแรมก็ยังคงเงียบเหงาไร้ผู้คน มองดูวิญญาณที่ลอยล่องอยู่บนอากาศเหล่านั้น ฉืออีปู้ถอนหายใจแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “เป็นบุญ เป็นกรรม! ทำไมยังล่องลอยอยู่อย่างนี้ ทำไมไม่จากไปสักที รีบจากไปเถอะนะ! อมิตาภพุทธ~”
รอจนเสียงเท้าของฉืออีปู้จางหายไป ซูรุ่ยถึงได้เดินมาที่ข้างกายซูหว่าน มองดูแม่กุญแจสีเงินที่อยู่บนมือเธอ “นี่มัน…”
“แม่กุญแจผนึกวิญญาณ”
แม่กุญแจสีเงินนั้นสลักตัวอักษรโบราณคำว่า ‘ผนึก’ ตัวอักษรตัวนั้นซูหว่านรู้จัก เหมือนตัวอักษร ‘ผนึก’ ในเวทผนึกวิญญาณของตนเองทุกประการ
ได้ยินคำที่ซูหว่านพูด ซูรุ่ยพลันตกตะลึง…
แม่กุญแจผนึกวิญญาณ สามารถผนึกสามจิตเจ็ดวิญญาณของคนคนหนึ่ง
แล้วฉืออีปู้มอบแม่กุญแจนี้ให้กับซูหว่าน จะให้เธอไปผนึกวิญญาณของใครล่ะ
ราชันมังกรดำ?
ซูเจินเจิน?
หรือว่า…คนอื่น