ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 19 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (19)
ครั้งนี้ซูหว่านนอนหลับไปนานมาก นับตั้งแต่เธอกลายเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ในโลกนี้ เธอก็ไม่เคยได้นอนหลับนานขนาดนี้มาก่อน
ความจริงตามปกติแล้ววิญญาณจะไม่รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนแบบนี้ ซูหว่านก็คิดว่าวิญญาณของตนเองคงจะเกิดปัญญาอะไรขึ้นแล้ว ยังดีในตอนที่ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงนั้น ทั่วทั้งร่างเธอเต็มไปด้วยพลัง แม้กระทั่งภายใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยง พลังวิญญาณในร่างเธอก็ยังคงมีเต็มเปี่ยม
ข้างเตียงยังมีความอบอุ่นอยู่ ชัดเจนว่าซูรุ่ยก็จะเพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ตอนที่ซูหว่านออกมาจากห้องนอน ก็มองเห็นซูรุ่ยกินข้าวอยู่ในห้องโถงข้างๆ “คุณตื่นแล้วเหรอ อยากกินอะไรหน่อยไหม”
เห็นสีหน้าของซูหว่านไม่ค่อยดีนัก ซูรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้เธอ
“คุณกินเถอะ”
แม้ตอนนี้ซูหว่านจะมีร่างกายที่จับต้องได้เหมือนกับมนุษย์ปกติ สามารถทำกิจวัตรต่างๆ ได้ แต่เธอในตอนนี้ ไม่มีความรู้สึกหิวเลยสักนิดจริงๆ
ราชันมังกรดำที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของซูรุ่ยก็กลอกตามองบน น้องสาวเจ้าเถอะ เมื่อวานเจ้าแทบจะเอาวิญญาณทั้งเมืองไปป้อนให้ภรรยาเจ้าแล้ว ถ้านางยังรู้สึกหิวอีก อย่างนั้นนางต้องเป็นคนที่ตะกละตะกลามที่สุดในสามโลกแล้ว~
กินข้าวแล้ว ทั้งสองคนก็ลงไปที่ชั้นล่างเพื่อเช็กเอาท์จากไป ผลปรากฏว่าได้พบกับฉืออีปู้อีกครั้งที่ล็อบบี้ของโรงแรม
ฉืออีปู้ดูท่าทางไม่ได้นอนมาทั้ง ดวงตาที่มีรอยดำคล้ำใหญ่รอบๆ กำลังจ้องมองมา
“นี่พวกคุณกำลังจะไปไหนกัน ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไปทางเดียวกัน”
ทำท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมาทันที ฉืออีปู้เดินเข้ามาข้างๆ ซูรุ่ยและซูหว่านอีกครั้ง
ไปไหน?
ซูหว่านหันหน้าไปมองซูรุ่ย
“ไป…มหาสมุทรเหนือละมั้ง”
ซูรุ่ยพึมพำเบาๆ ปีศาจทะเลใกล้จะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ บรรดาภูตผีปีศาจต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่ทิศเหนือ ที่นั่นมีวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนรอให้เขาไปสังหารอยู่
อีกทั้ง เขาจำเป็นต้องกำจัดบั๊กในโลกนี้ด้วยตัวเอง
มหาสมุทรเหนือ เป็นเพียงตัวเลือกเดียว
“ช่างบังเอิญจริงๆ ผมเองก็จะไปมหาสมุทรเหนือเหมือนกัน ช่างเป็นพรหมลิขิตจริงๆ! พวกเราเดินทางไปด้วยกันดีไหม”
ฉืออีปู้มองซูรุ่ยด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่น้ำเสียงกลับแน่วแน่มาก
“ก็ได้”
ซูรุ่ยไม่ปฏิเสธ เขามักจะรู้สึกว่าฉืออีปู้คนนี้ลึกลับเหลือเกิน ในตัวเขามีความลับซ่อนอยู่มากมายนัก เมื่อเทียบกับให้เขาเพ่นพ่านไปทั่ว สู้ให้เขาอยู่ใต้จมูกตนเองตลอดเวลาจะดีกว่า อีกทั้งซูรุ่ยคนนี้มีพลังรับรู้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งมากมาตลอด เขาสัมผัสได้ว่าฉืออีปู้ไม่ได้คิดร้ายใดๆ กับเขาและซูหว่าน
“พี่ฉือ คุณดูซีดเซียวมาก เมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนเหรอคะ”
ทั้งสามคนออกมาจากโรงแรม ซูหว่านมองเห็นรอยคล้ำรอบดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาประโยคหนึ่ง
“เอ่อ นี่ เมื่อคืนสวดมนต์อยู่จนดึกดื่น เฮ้อ”
พูดถึงตรงนี้ ฉืออีปู้ก็เหล่มองซูรุ่ยตามสัญชาตญาณแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาอีกครั้ง
“ลำบากพี่ฉือจริงๆ”
ซูหว่านยิ้มให้เขา จากนั้นก็เขยิบเข้าไปข้างกายซูรุ่ยอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ริมฝีปากเย็นเยือกแนบชิดใบหูของเขา “เมื่อคืน คุณทำอะไรเหรอ”
“เอ่อ”
ซูรุ่ยยิ้ม ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ซูหว่าน “อย่าโวยวาย มีเวลาแล้วจะบอกคุณ อย่าดื้อ”
“อ้อ”
ซูหว่านพยักหน้า แต่กลับยังพิงอยู่ในอ้อมอกของซูรุ่ยอย่างสบายๆ
ต่อหน้าเขา เธอยอมจะเก็บงำความฉลาดและความเจ้าเล่ห์แสนกลทั้งหมดของตัวเองไว้ เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีความสุขคนหนึ่งก็พอ
ตอนที่ทั้งสามคนออกจากเขาเหมาซานก็ขับรถยนต์ แน่นอนว่าด้วยฐานะของซูรุ่ย ก็ต้องซื้อรถคันใหม่หนึ่งคัน ประกันและป้ายทะเบียนจะมีหรือไม่ไม่สำคัญ ขับได้ก็พอแล้ว
ทั้งสามคนไม่ได้ขึ้นทางด่วน แต่ขับไปตามเส้นทางหลวง มองดูทิวทัศน์สองข้างทางที่ถอยหลังไม่หยุด ซูหว่านคลำที่ข้อมือของตนเองตามสัญชาตญาณ
ที่ตรงข้อมือขวาของเธอ ยังใส่สร้อยข้อมือสีทองเส้นนั้นอยู่
“สร้อยข้อมมือนี้…”
ฉืออีปู้ที่นั่งอยู่บนเบาะหลังตอนนี้มองเห็นสร้อยข้อมือซูหว่าน “สิ่งนี้ของคุณพิเศษมากเลย ขอผมดูหน่อยได้ไหม”
ซูหว่านโบกมือให้ฉืออีปู้ “ฉันลองหลายครั้งแล้ว สร้อยข้อมือนี้แกะยังไงก็ไม่ออก พี่ฉือคุณรู้จักของชิ้นนี้เหรอคะ”
“เปล่า ไม่รู้จัก”
ฉืออีปู้ยิ้มเขินๆ “เพราะว่าไม่รู้จัก ก็เลยยิ่งอยากรู้ ว่าของสิ่งนี้ ใครให้คุณมาหรือ”
นี่ ต้องไม่ใช่สิ่งของในยุคสมัยนี้แน่นอน แม้จะเป็นสิ่งของในโลกนี้ก็ตาม
“เพื่อนคนหนึ่งให้มาค่ะ”
น้ำเสียงของซูหว่านเบาลง เธอนึกถึงเหล่ากุ่ย คิดถึงเรื่องราวของเขา…คนผู้นั้น ไม่เคยมีรอยยิ้มอย่างแท้จริงมาก่อน
เห็นซูหว่านไม่อยากพูดอะไรมาก แววตาของฉืออี้ปู้เปล่งประกาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอาร่างอ้วนท้วมพิงไปบนเบาะอีก ช่างแสนสบาย ในที่สุดก็ได้หลับสบายแล้ว
ราชันมังกรดำ “…”
เจ้าอ้วนอย่างแกนี่ คนเดียวกินที่สองคนครึ่ง แกจะไม่เหลือที่ให้ข้าผู้เป็นราชันสักนิดเลยหรือ ห๊ะ
ซูรุ่ยขับรถอย่างตั้งใจโดยตลอด ได้ยินซูหว่านพูดถึงความเป็นมาของสร้อยข้อมือเส้นนั้น แววตาของซูรุ่ยก็เปล่งประกาย…
คนคนนั้น เป็นคนให้เธอเหรอ
น่าประหลาด ซูรุ่ยก็รู้สึกไม่สบายอย่างมาก
ที่แกะไม่ออกคือเรื่องบ้าบออะไรกัน
ต้องมีสักวันหนึ่ง เขาต้องเอาของบ้าๆ บอๆ นั่นออกจากข้อมือของภรรยาเขาให้ได้…
แน่นอน ซูรุ่ยในตอนนี้รู้ว่าตนเองไม่สามารถบอกเรื่องราวที่แท้จริงกับซูหว่านได้ เขากลัวจริงๆ ว่าหากตนเองบอกว่าเหล่ากุ่ยก็คือสวีเช่อเกรงว่าซูหว่านก็จะสติแตกไปทันที
ตอนนี้ สถานการณ์ของพวกเขาซับซ้อนมากพอแล้ว ซูรุ่ยจึงไม่สามารถเป็นฝ่ายสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาด้วยตัวเองได้
เส้นทางไปมหาสมุทรเหนือยาวไกล ยังดีที่ซูรุ่ยก็ไม่ได้รีบร้อน ทุกเมืองระหว่างทางที่ผ่าน เขาก็จะหยุดพักผ่อน ในตอนกลางวันเดินเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนซูหว่าน พอถึงกลางคืนซูรุ่ยก็แอบออกมาล่าวิญญาณอย่างเงียบๆ
ก็เป็นแบบนี้ ผ่านไปค่อนเดือน ทุกที่ที่พวกเขาเดินทางผ่าน วิญญาณทั้งหมดล้วนถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้าน ปรากฏการณ์ที่ผิดปกตินี้ปลุกระดมความตื่นตัวของผู้คนในสำนักลี้ลับ ทุกคนต่างแอบคาดเดากันว่าคนของเผ่านักล่าผีจะปรากฏตัวอีกครั้งหรือไม่ พวกเขาอาศัยอยู่โดยการล่าผีมาโดยตลอด เป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษมาก
ต่อมาจากการสืบหาของหลายๆ คน ทุกคนก็ได้พบเบาะแสบางอย่าง สุดท้ายเบาะแสทั้งหมดก็พุ่งเป้าไปที่คนสองคน…
หม่าเย่ว์และฉืออีปู้
ทั้งสองคนเดินทางไปด้วยกัน ระหว่างทางก็ไม่ได้จงใจปิดบังสถานะที่แท้จริงของตนเอง โดยเฉพาะซูรุ่ยทุกเมืองที่เดินทางไปถึงเขาจะใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ซูหว่านซื้อของและของที่ระลึกมากมาย
ร่องรอยของการเดินทางของพวกเขา ใกล้เคียงกับร่องรอยของการหายตัวไปของวิญญาณเลย
ฉืออีปู้เป็นคนดีที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าไม่มีใครไปสงสัยเขา ส่วนหม่าเย่ว์ถึงตอนนี้แน่นอนว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับต้นๆ
แน่นอนว่า ในฐานะนักปราบมารคนหนึ่ง ความจริงแล้วการปราบผีเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่การสังหารตามอำเภอใจ จำนวนมากและกว้างขวางยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจมาก
หม่าเย่ว์ทำไมต้องไล่ล่าสังหารวิญญาณอย่างบ้าระห่ำขนาดนี้ด้วย
ตอนที่ทุกคนมีความสงสัยอยู่เต็มหัวใจ ก็มีข่าวน่าตกใจแพร่งพรายออกมาจากภายในสำนักซั่งชิง…
หม่าเย่ว์เขา อาศัยอยู่กับผีสาวตนหนึ่ง!
ข่าวลือว่า วิญญาณสาวตนนี้บำเพ็ญเพียรมานับพันปี พลังเวทสูงส่ง เธอยั่วยวนหม่าเย่ว์ให้หลงใหล ทำให้เขาช่วยตนเองสังหารวิญญาณตนอื่น เพื่อเพิ่มพลังตนเอง…
ผีสาว…
ทุกคนต่างตกใจอ้าปากค้าง จากข่าวที่พวกเขาได้ยินมา ข้างกายของหม่าเย่ว์และฉืออีปู้ไม่ใช่ว่ามีหญิงสาววัยรุ่นติดตามอยู่คนหนึ่งตลอดเวลาหรือ
สำนักลี้ลับตอนนี้ คัมภีร์เวทรวมทั้งอาวุธวิเศษส่วนใหญ่สาบสูญไม่ได้รับการสืบทอดมา ไม่มียันต์ส่งตัวของสำนัก และก็ไม่มีหินสื่อสารพันลี้
ยังดีที่ ตอนนี้เทคโนโลยีทันสมัย ทุกคนสามารถใช้โทรศัพท์ได้
ตอนที่ฉืออีปู้สะลึมสะลืออยู่บนรถ ก็รับสายของเพื่อนเก่าคนหนึ่ง หลังจากได้ยินข่าวลือจากทางเพื่อนเก่าคนนั้น ฉืออีปู้ก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที
“อะไรนะ หม่าเย่ว์เหรอ ฉันอยู่ด้วยกันกับเขา ผีสาวเหรอ มีผีสาวอะไรที่ไหนกัน พูดจาเหลวไหลกันจริงๆ”
หลังจากวางสายแล้ว สีหน้าของหม่าเย่ว์ก็เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างไม่เคยเห็น
“ทำไมเหรอ”
ความจริงแล้วซูหว่านได้ยินเนื้อหาที่เขาคุยในโทรศัพท์แต่แรกแล้ว แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ไม่มีอะไร”
พอฉืออีปู้เงยหน้า ใบหน้ากลมๆ มีรอยยิ้มเขินอายตามมาตรฐานอีกครั้ง “เจินเจิน ตอนที่คุณอยู่ที่สำนักซั่งชิง ได้ไปผิดใจกับใครหรือเปล่า”
ผิดใจใคร?
ซูหว่านขมวดคิ้ว เธอไม่ได้ผิดใจอะไรกับสวินหรานตู แต่ว่าสวินหรานตูดูเหมือนจะอยากฆ่าตนเองอยู่ตลอด
แต่ว่า สถานะของตนเองมีเครื่องรางปิดบังอำพรางที่เหล่ากุ่ยให้ ตามหลักเหตุผลแล้วไม่มีทางถูกสวินหรานตูจับได้ นอกเสียจาก…
“เป็นซูเจินเจิน”
ในน้ำเสียงของซูรุ่ยแฝงด้วยความอาฆาต
มีเพียงซูเจินเจินที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของซูหว่าน มีเพียงเธอ!