ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 23 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (ปัจฉิมบท)
ในคืนนี้ มหาสมุทรเหนือยังคงแดงฉาน
เลือดสีแดงสดของจอมเวทอาบย้อมทะเลเป็นสีแดงโลหิตยิ่งกว่าเดิม และนี่ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
วิญญาณของราชันมังกรดำออกมาจากร่างของซูรุ่ยแล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้าเรียกเขาว่า ‘เสี่ยวเย่ว์เย่ว์’ ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว
มารดาเถิด ข้าผู้เป็นราชันมีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ที่โหดร้ายถึงเพียงนี้มาก่อน!
ระดับของความโหดร้ายนั้นช่างทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
เขาไม่เพียงแต่ฆ่าจอมเวทเหล่านั้นด้วยมือของเขาเอง แต่ยังทำให้วิญญาณของพวกเขาตกเป็นทาสด้วย จากนั้นสั่งวิญญาณของพวกเขาให้สังหารมนุษย์ธรรดาทั้งโลกอย่างโหดเหี้ยม
โลกดีๆ ใบนี้ กลายเป็นนรกบนดินเพียงชั่วข้ามคืน…
กี่ครอบครัวที่บ้านแตกสาแหรกขาด
กี่ดวงวิญญาณที่เหมือนตายทั้งเป็น
ไม่พอ แค่นั้นยังไม่พอ!
บนสำนักซั่งชิงที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ในตอนนี้กลับกลายเป็นภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่ง บนเขาล่างเขา ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย แม้แต่นกตัวหนึ่งเขาก็ไม่เคยปล่อยให้บินผ่าน
โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมขนาดนี้ ราชันมังกรดำทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ…
มารดาเถิด โลกมนุษย์มันอันตรายเกินไปแล้ว ข้าผู้เป็นราชันควรรีบไสหัวกลับไปฝึกฌานที่บ่อมังกรอย่างเดิมดีกว่า~
“สวินหรานตู นายชอบจับผีไม่ใช่เหรอ”
ในเมืองที่โล่งเตียนสีแดงเลือด ซูรุ่ยยิ้มน้อยๆ พลางดีดนิ้วทีหนึ่ง วิญญาณสองสามดวงพลันบินออกมาอย่างสั่นกลัว พวกเขาเป็นญาติของสวินหรานตู
ตอนนี้ พวกเขาเป็นเพียงร่างวิญญาณไม่สมประกอบเท่านั้น
แน่นอน พวกเขาไม่ได้ตายอย่างน่าอนาถนัก แม่ทัพซูคนนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบค่อยๆ ทรมานคนอยู่แล้ว เขามักจะตัดหัวด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว หรือไม่ก็ห้าม้าแยกศพ
เรื่องวุ่นวายอย่างการแล่เนื้อเถือหนังพวกนั้น เขาไม่ชอบหรอก
“หม่าเย่ว์ แก…แกมันสัตว์เดรัจฉาน!”
ตอนนี้สวินหรานตูยังมีชีวิตอยู่ แต่พลังวิญญาณทั้งหมดบนร่างของเขาถูกซูรุ่ยปิดผนึกไว้ ตอนนี้เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธใดๆ
“นายด่าได้ตามสบาย ด่าคำหยาบทุกคำที่นึกออกมาได้ สวินหรานตูนายรู้ไหม ฉันมีชีวิตอยู่มาหลายปี ฉันได้ไปที่โลกอื่นมากมาย ได้เจอผู้คนมากมาย นาย คือคนแรก! คนแรกที่กล้าจะทำร้ายผู้หญิงของฉันต่อหน้าฉัน”
ขณะพูด ดวงตาสีแดงของซูรุ่ยพลันวาบประกายทีหนึ่ง สีหน้าเผยรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา “คิดไม่ถึงว่านายต้องการให้เธอตายงั้นเหรอ ถ้านายต้องการให้เธอตาย ฉันจะทำให้พี่น้องร่วมสำนักทั้งหมดของนาย ครอบครัวของนาย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่เกี่ยวข้องกับนาย ทั้งหมดไปตายซะ!”
ขณะพูด ซูรุ่ยก็หยิบยันต์จำนวนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อตัวเอง จากนั้นเขาดีดนิ้วอีกครั้ง ฉับพลันนั้นวิญญาณจอมเวทที่ตกเป็นทาสเขากลุ่มหนึ่งก็วาดวงเวทวงหนึ่งขึ้นมา เมื่อยันต์เหล่านั้นถูกเผาไหม้ วิญญาณครอบครัวของสวินหรานตูก็ได้เริ่มกรีดร้องเสียงแหลมสูง วิญญาณของพวกเขาก็กำลังลุกไหม้เช่นกัน ขณะที่พวกเขาถูกเผาไหม้นั้น วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกอัญเชิญออกมา
นี่ คือเวทอัญเชิญวิญญาณของตระกูลหม่า วิญญาณของคนในครอบครัวที่มอดไหม้ จะอัญเชิญวิญญาณบรรพชนดวงอื่นๆ ที่กำลังหลับใหลอยู่ใต้ดินขึ้นมา
วิญญาณเหล่านั้นบางคนหลับใหลมาไปเป็นร้อยปี คราวนี้ถูกอัญเชิญมาทั้งหมด ทั้งตระกูลสวิน คนในตระกูลตามลำดับ แทบทุกคนล้วนปรากฏตัวขึ้นที่นี่…
“ทำร้ายภรรยาและบุตร ลงโทษสามชั่วอายุคน”
ในตอนนี้ ดวงตาทั้งสองของสวินหรานตูล้วนเป็นสีแดงเลือด “หม่าเย่ว์ ฉันสวินหรานตูได้ติดตามอาจารย์เข้าสำนักลี้ลับเรียนรู้วิชา ไม่เคยฆ่าผีแม้แต่ตัวเดียว ฉันใช้เวททำนายเพื่อทำนายถึงอนาคตสีแดงเลือด ทำนายได้ว่าอวสานของโลกมนุษย์กำลังใกล้เข้ามา ฉันแค่เพียงยืนหยัดเพื่อโลก ถึงได้แสดงตัวออกมา ถึงยังไงในคืนนั้นฉันก็ไม่ได้ฆ่าซูเจินเจิน ฉันไม่เคยฆ่าผู้บริสุทธิ์ บางทีวันนั้นฉันอาจทำผิด แต่เธอเป็นผีส่วนคุณเป็นคน เพื่อเธอแล้วคุณทำลายทุกอย่างบนใบโลกนี้ ความผิดนี้คุณรับผิดชอบไหวเหรอ”
“ความผิด? มีความผิดอะไรที่ฉันไม่รับไม่ไหว”
เมื่อซูรุ่ยได้ยินสิ่งที่สวินหรานตูพูด ก็ทำเพียงแค่มองเขาด้วยท่าทางเยาะเย้ย “ดังนั้นสวรรค์ก็เลยส่งคนลงมาจัดการ สวินหรานตู นายคือคนที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ น่าเสียดาย ชะตาชีวิตนายไม่ดี ทำให้นายได้เจอกับซูเจินเจิน อ้อไม่ เธอต้องบอกนายแน่ว่าเธอคือซูหว่าน เธอจะคู่ควรกับชื่อนี้ได้ยังไง เธอเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนที่มาจากต่างโลกก็เท่านั้นเอง”
ขณะพูด ซูรุ่ยโบกมือใหญ่ของเขาทีหนึ่ง วิญญาณของซูเจินเจินพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองทันที เมื่อสูญเสียร่างของซูหว่านไป ร่างวิญญาณของเธอก็แสดงให้เห็นรูปลักษณ์เดิม
เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่อาจธรรมดาได้ไปกว่านี้แล้ว อายุแก่กว่าสวินหรานตูรอบหนึ่งด้วยซ้ำ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
เมื่อมองเห็นวิญญาณแปลกหน้าเต็มตา มองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเลยใบหน้านั้น จิตใจของสวินหรานตูพลันสั่นสะท้าน
‘ซูเจินเจิน’ ถึงจะเป็นซูหว่านตัวจริง ส่วนภรรยาของตนเอง ‘ซูหว่าน’ กลับเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนที่ใช้ชื่อว่าซูเจินเจิน
เธอใช้ร่างของซูหว่าน ใช้ชื่อเธอมาหลอกตนเอง
“เพราะอะไร เพราะอะไรถึงหลอกพวกเรา”
ในตอนนี้ เยี่ยอวี้ฉีนางเอกผู้ถูกซูรุ่ยไว้ชีวิตเหมือนกันกับสวินหรานตู น้ำตาโลหิตไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองขณะมองไปยังซูเจินเจิน
พวกเขาถูกเธอหลอกทั้งหมด เธอเคยบอกว่าคุณหนูซูที่ติดตามศิษย์พี่หม่าเป็นวิญญาณสาว!
แท้ที่จริงแล้ว เธอต่างหากที่เป็นวิญญาณเร่รอนเอง!
เยี่ยอวี้ฉีเกลียดชังเรื่องแบบนี้ที่สุดในชีวิต แม้ว่าเธอจะชื่นชอบศิษย์พี่หม่ามาโดยตลอด แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งชิงกับคนอื่นหรือเรียกร้องอะไรเลย เธอเพียงแค่ได้ยินว่าคุณหนูซูเป็นวิญญาณ ความรู้สึกแรกคือต้องช่วยศิษย์พี่หม่าที่ถูกวิญญาณสาวครอบงำ เธอแค่อยากจะช่วยเขาเท่านั้นเอง
เยี่ยอวี้ฉีไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะจบลงแบบนี้…
“คืนนี้สีเลือดกำลังพอดี ฉันจะเล่านิทานให้พวกคุณทั้งสองฟัง”
เมื่อเห็นน้ำตาโลหิตของเยี่ยอวี้ฉี ดวงตาของซูรุ่ยก็วาบประกาย พูดช้าๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด’ …”
ซูรุ่ยค่อยๆ บอกทุกอย่างในเนื้อเรื่องเดิมด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่เพียงแค่เยี่ยอวี้ฉีกับสวินหรานตู ยังรวมถึงซูเจินเจินและราชันมังกรดำที่ตะลึงงันอยู่ด้านข้างด้วย
ซูเจินเจินจนกระทั่งตอนนี้ถึงรู้ว่า ที่แท้แล้วคนที่ครอบครองนิ้วทองคำเรื่องเนื้อเรื่องนั้นไม่ใช่ตนเอง
“แค่นั้นแหละ”
หลังจากบอกทุกอย่างแล้ว ซูรุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยอวี้ฉีกับสวินหรานตู “รู้ไหมว่าทำไมพวกคุณทั้งสองถึงมีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้าย เพราะพวกคุณคือตัวเอกของโลกนี้ ตอนนี้โลกนี้กำลังจะถูกทำลาย ตราบใดที่คุณสองคนตาย กฎของมันจะพังลงทันที”
“พี่ฆ่าฉันเถอะ ศิษย์พี่หม่า”
คุณพ่อตายไปแล้ว ศิษย์ร่วมสำนักทุกคนตายไปหมดแล้ว เยี่ยอวี้ฉีผู้สิ้นหวังในการแก้แค้นปิดดวงตาทั้งสองลงแน่น…
นางเอกอะไรกัน
เธออยากจะเป็นแค่คนธรรมดา เป็นจอมเวทธรรมดา สามารถปราบปีศาจกำจัดมาร
ถ้าการเป็นตัวเอกต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากและความผิดหวังมากมายที่คนอื่นไม่ต้องเจอ เธอก็อยากจะเป็นแค่คนที่เดินผ่านไปมาโดยไม่มีใครรู้จัก
“ตามที่เธอปรารถนา”
กระบี่วิญญาณในมือของซูรุ่ยสะบัดทีหนึ่งดีก็แทงเข้าที่ร่างของเยี่ยอวี้ฉีทันที
ในอากาศ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น
“สวินหรานตู เหลือแค่นายแล้ว มองดูคนอื่นตายไปทีละคน นายกลัวไหม อ้อ ใช่ นายคือพระเอก นายคือจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุด นายมีความพยายามที่น่าทึ่ง นายจะกลัวได้ยังไง “
ซูรุ่ยยกมือขึ้นและหยิบมีดอวี้หลิงออกมาแล้วหมุนในมือสองสามครั้ง
“คุณเป็นใครกันแน่”
ในตอนนี้ สวินหรานตูรู้นานแล้ว จากท่าทางคำพูดของซูรุ่ยก็พอเก็บข้อมูลและเดาได้ว่า “คุณไม่ใช่หม่าเย่ว์”
“ใช่ ฉันไม่ใช่หม่าเย่ว์”
ซูรุ่ยพยักหน้า เขายกมือขึ้นและจุดยันต์เพลิงแท้ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาจากตระกูลหม่า ไฟนรกก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
วิญญาณทุกดวงกำลังถูกแผดเผา
“หรานตู ช่วยฉัน! ช่วยฉัน!”
วิญญาณของซูเจินเจินดิ้นรนในเพลิงไฟ ขอร้องอย่างยากลำบาก
แต่สวินหรานตูจ้องมองแต่ดวงตาของซูรุ่ย นัยน์ตาเป็นความเกลียดชังสลักลึกถึงกระดูก
“ชื่อของแก บอกฉันมา แม้ว่าฉันจะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี ผ่านไปหลายร้อยชั่วอายุคน ฉันจะตามหาแกเพื่อแก้แค้น!”
“ฉันชื่อ…ซูรุ่ย”
มีดอวี้หลิงของซูรุ่ยตกลงมาบนแขนของสวินหรานตู กรีดเป็นรอยเลือดสายหนึ่ง “นายรู้ไหม ฉันกลัวความยุ่งยากที่สุด แต่ฉันไม่รังเกียจที่จะสับ นาย เป็น หมื่น ชิ้น”
“หึ หึๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาถูกเฉือนตัดออกทีละชิ้นๆ ดวงตาของสวินหรานตูเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ “ฉัน จะจำแกไว้”
“ฉันไม่ต้องการ”
ซูรุ่ยยักคิ้ว ก้มตัวลงมองสวินหรานตู “ฉันรู้ นักพรตจางสอนวิชาลับที่สามารถทำให้จิตวิญญาณของนายไม่แตกสลาย แต่…ดูเหมือนนายจะลืมเรื่องที่ฉันเพิ่งพูดไป เมื่อนายตาย โลกใบนี้จะพังทลาย มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางโลกนับหมื่นพันมิติ ไม่ว่านายจะเก่งกาจขนาดไหน วิญญาณของนาย ทุกสิ่งของนายจะทำได้แค่ถูกฝังลงพร้อมกัน”
นอกเสียจาก…
นอกเสียจากนายสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ทำภารกิจได้
เสียดาย…ฉันไม่ให้โอกาสนายอีกแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ใบหน้าของสวินหรานตูก็เปลี่ยนไป และในเวลานี้ ไฟแห่งกรรมก็เกือบจะมอดไหม้จนหมดแล้ว
วิญญาณของซูเจินเจินกำลังจะดับสูญ “ฉันขอสาปแช่ง สาปแช่งแกไอ้ปีศาจ! แกกับซูหว่านจะไม่จบลงด้วยดี พวกแกทุกคนต้องไม่ตายดี! ไม่ตายดี!”
ไม่ตายดี?
สายตาของซูรุ่ยเริ่มเย็นชา ทันทีที่ยกมือขึ้นพลังวิญญาณก็ทะลวงผ่านร่างวิญญาณของซูเจินเจิน ทำให้วิญญาณเธอสลายไป…
เขาและซูหว่านไม่เคยเป็นคนดี พวกเขาเตรียมพร้อมล่วงหน้าที่จะตายไม่ดีไว้แล้ว
เพียงแต่ น่าเสียดายจริงๆ ถึงตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ดี
นี่ หรือจะเป็นที่คนเขาเรียกกันว่าคนดีอยู่ได้ไม่นาน คนชั่วอยู่ได้เป็นพันปี
เมื่อไฟนรกดับลง ทั่วทั้งแผ่นดินก็มองไม่เห็นวิญญาณเลยสักดวง
มีดอวี้หลิงในมือของซูรุ่ยโผตวัด ลงบนร่างของสวีนหรานตูครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่เรียกว่าสับเป็นหมื่นชิ้น เป็นทักษะอย่างหนึ่งแน่นอน
“โลกนี้กำลังจะพังทลายลงจริงๆ ฉันสัมผัสได้ถึงเสียงร่ำไห้ของเขา”
ราชันมังกรดำถอนใจยาว หันไปมองดูฉืออีปู้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิกับซูหว่านที่ยังคงสลบอยู่ข้างเขา
“หลวงจีน ข้าผู้เป็นราชันจะกลับไปที่บ่อมังกรแล้ว เจ้าล่ะ กลับไปแดนสวรรค์หรือ”
แดนสวรรค์…
ฉืออีปู้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ถอนใจอย่างแผ่วเบา…
ซูรุ่ยผู้อำมหิตเป็นคนทำลายโลกใบนี้ หรือว่าเป็นซูเจินเจินผู้เห็นแก่ตัว หรือเพราะโชคชะตากันนะ
เมื่อสวินหรานตูหลั่งเลือดจนหยดสุดท้ายในร่างกายของเขาออกมา โลกทั้งใบก็สั่นสะเทือน
ราชันมังกรดำกลายร่างเป็นมังกรยักษ์และบินจากไป ส่วนฉืออีปู้นั่งสวดมนต์อย่างสงบ ทั้งตัวของเขากลายเป็นแสงสีทองและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายใต้ท้องฟ้าสีเลือด มีเพียงซูรุ่ยที่ยืนอยู่คนเดียวอยู่ตรงนั้น มีดบนฝ่ามือของเขายังคงมีเลือดหยดลงไม่หยุด
“ผนึก!”
เวลานั้นเอง พลันมีเสียงดังมาจากข้างหลังเขา
ทันทีที่ซูรุ่ยหันไป ก็เห็นว่าซูหว่านไม่รู้ตื่นตั้งแต่เมื่อไร เธอกำลังใช้พลังวิญญาณทั้งหมดของตน เพื่อผนึกวิญญาณที่แตกสลายของสวินหรานตูไว้ที่ตรงนั่น พื้นที่ทั้งหมดถูกปิดผนึกไว้แล้ว
“แบบนี้ แม้ว่าเขาจะฟื้นจากความตายได้ แต่ก็ทำได้แค่ล่มสลายไปพร้อมกับโลกนี้เท่านั้น”
ซูหว่านกระซิบเบาๆ กับซูรุ่ย เดินไปอยู่ตรงหน้าเขาช้าๆ จับมือเขาไว้แน่น “คุณรอฉันนะ ฉันจะช่วยคุณเอง”
“อืม”
ซูรุ่ยพยักหน้า เมื่อโลกทั้งใบพังทลาย จิตสำนึกของเขาก็จมดิ่งสู่ความมืดมิด…