ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 5 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (5)
เมื่อเห็นร่างวิญญาณที่พุ่งเข้ามาต่างก็ถูกซูหว่านจัดการไปแล้ว ในที่สุดซูเจินเจินก็ไม่กลัวเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว
“พวกนี้ วิญญาณพวกนี้ หรือว่าจะ…หรือว่าจะโดนบุญกุศลของฉันทำร้ายจริงๆ เหรอ”
ซูเจินเจินเบิกตากว้างและมองไปที่ซูหว่านอย่างไม่แน่ใจ
“แล้วเธอคิดยังไงล่ะ”
ซูหว่านถามกลับ และทันใดนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที และพูดว่า “มาอีกแล้ว!”
ในขณะที่พูด ซูหว่านก็ลอยไปอยู่ข้างหลังซูเจินเจินอีกครั้ง…
ประหยัดพลังจิตได้แค่ไหนก็จะประหยัด ซูเสียวหว่านยังคงเฉลียวฉลาดอยู่มากนะ
“ว้าย!”
เมื่อเห็นว่าซูหว่านหายไปจากที่เดิม และหน้าต่างก็มีกลุ่มวิญญาณก็พุ่งมา ซูเจินเจินก็กรีดร้องอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอดีขึ้น และเธอไม่ตกใจจนหลับตาลง
เห็นเงาพร่ามัวสีขาวที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ บางตนก็เผยสีหน้าที่น่ากลัวใส่ตัวเอง
ใบหน้าของซูเจินเจินซีดขาว กัดฟันไม่ปล่อย เมื่อวิญญาณพวกนั้นเข้ามาใกล้เธอ ชั่วขณะนั้น ซูเจินเจินก็เห็นแสงสีทองบนร่างของตนเอง และวิญญาณเหล่านั้นก็ถูกลวกและล้มลงไปด้านข้างในทันที ในเวลานี้ซูหว่านรีบพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่สามารถเก็บรวบรวมพลังของวิญญาณเหล่านั้นอย่างง่ายดาย
เมื่อวิญญาณชุดที่สองถูกกำจัด ร่างวิญญาณของซูหว่านก็แข็งแกร่งขึ้น เพียงแต่ใบหน้าของซูหว่านในขณะนี้ไม่ได้มีความสุขเลย
นอกหน้าต่าง มีเสียงลมพัดหวีดหวิวมา และความหนาวเย็นกำลังบีบบังคับผู้คน
ภายใต้เสียงครวญคราง วิญญาณที่อยู่นอกลานบ้านก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงอันตรายที่ร้ายแรงจึงต่างพากันหนีไป แต่ว่าแค่เพียงลมพัดในเวลายามค่ำนี้คืน วิญญาณน้อยก็ถูกกำจัดไปก่อนที่จะได้ส่งเสียงออกมา
เที่ยงคืน วิญญาณดุร้ายปรากฏตัว!
“เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก”
เสียงประหลาดและน่าขนลุกดังมาจากระยะไกลจนระยะใกล้
เมื่อเห็นใบหน้าของซูหว่านเปลี่ยนไปไม่ดีนัก ซูเจินเจินที่อยู่บนเตียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าอีกครั้งและพูดว่า “ซูหว่าน เธอเป็นอะไรไปเหรอ”
วูบ
ทันใดนั้นเสียงลมหนาวในยามค่ำคืนก็พัดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ และผ้าม่านที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงพึ่บพั่บ
เมื่อลมหนาวพัดผ่านไป ทันใดนั้นมีร่างสีแดงปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง เธอลอยอยู่ในท่ามกลางอากาศ ผมสีดำของเธอยาวกว่าชุดสีแดงบนร่างเสียอีก
เอ็มม่า วิญญาณสาวชุดแดง!
ซูเจินเจินรีบซ่อนตัวเองใต้ผ้าห่มด้วยความกลัวทันที…แกไม่เห็นฉัน ไม่เห็นฉัน ไม่เห็นฉัน
ซูหว่าน “…”
วิญญาณสาว “…”
“หนึ่งร่างสองวิญญาณเหรอ”
ในเวลานี้สายตาของวิญญาณสาวชุดสีแดงเปลี่ยนจากมองที่ซูเจินเจินไปเป็นร่างของซูหว่าน และสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนบนวิญญาณซูหว่าน เธออดไม่ไหวที่จะเลียริมฝีปากสีแดงของเธอและพูดว่า “เป็นกลิ่นวิญญาณที่น่าดึงดูดใจจริงๆ เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก ถ้าวันนี้ได้สูบวิญญาณของพวกเจ้า ข้าก็จะเหนือกว่าเหล่ากุ่ย และจะกลายเป็นผู้นำกลุ่มวิญญาณในเขตพื้นที่นี้!”
ในขณะที่วิญญาณสาวชุดแดงกำลังพูดอยู่นั้น ทันใดตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และนิ้วทั้งสิบของเธอก็งอกเล็บที่ทั้งดำทั้งแหลมคมและมุ่งตรงไปที่ซูหว่าน
ความคับแค้นใจอย่างหนักและความเจตนาสังหารอย่างเลือดเย็นกำลังมาถึง
ซูหว่านควบคุมพลังจิตทั้งร่างอย่างใจเย็น และใช้ทั้งสองมือวาดในอากาศ พลังจิตทั้งหมดก็กลายเป็นม่านแสง ปกคลุมตนเองอยู่ตรงหน้าเธอ
“กรี๊ด!”
การโจมตีของวิญญาณผู้หญิงนั้นมาพร้อมกับเสียงคำรามของวิญญาณที่เสียบแก้วหู สีหน้าของซูหว่านเปลี่ยนไปทันที และม่านจิตที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มสั่นไหวไม่หยุด
ไม่ได้ พลังจิตยังมีไม่เพียงพอ และเวลาการฝึกฝนของตัวเองนั้นสั้นเกินไป!
นี่อาจเป็นภารกิจที่ยากที่สุดหลังจากที่ซูหว่านมาเป็นผู้ทำภารกิจ
ไม่มีร่างกาย มีเพียงร่างวิญญาณที่ฝึกซ้อมมาได้สองวัน แต่ต้องรับมือกับวิญญาณดุร้ายที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานแค่ไหน
และยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่มีโอกาสที่จะบังคับให้ตนเองออกจากโลกนี้ด้วยซ้ำ
เมื่อวิญญาณของเธอถูกทำลาย ซูหว่านก็จะหลับใหลอยู่ในโลกนี้ จนกว่ากฎของโลกนี้จะถูกแก้ไข และเธอก็จะถูกส่งกลับไปยังห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญโดยอัตโนมัติ
และยิ่งไปกว่านั้น เพราะตอนนี้เธออยู่ในโลกนี้ในฐานะวิญญาณ ถึงแม้ว่าสักวันเธอจะได้กลับไปที่สำนักงานใหญ่ แต่เจ้าของร่างวิญญาณอย่างเธอก็จะได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งเนื่องจากการบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้…
แน่นอนว่า ซูหว่านไม่ได้กลัวว่าตนเองจะถูกทำร้าย เธอเพียงแค่เป็นห่วงซูรุยว่า ถ้าหากตนเองเป็นอะไรไปและด้วยนิสัยของซูรุ่ยแล้วก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
ซูหว่านไม่อยากให้ซูรุ่ยตกอยู่ในอันตรายเพราะตัวเธอเอง…
เมื่อเธอสัมผัสได้ว่าเกราะพลังจิตของเธอใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองซูเจินเจินที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ซูเจินเจิน เร็ว รีบกัดนิ้วของเธอให้เลือดไหลออก!”
ให้เลือดไหลออกมาเหรอ
ซูเจินเจินโผล่หัวออกมานอกผ้าห่ม และเห็นว่าร่างกายของซูหว่านค่อยๆ โปร่งแสง ซูเจินเจินก็ตื่นตระหนกในทันที
ให้เลือดไหล ให้เลือดไหลออกมา
ด้วยความกังวลเธอจึงใช้ฟันกัดนิ้วชี้ของตนโดยตรง
เลือดสีแดงสดไหลออกจากปลายนิ้วของเธอ และหยดเลือดสีแดงของเธอก็กลิ้งอยู่บนปลายนิ้วสีขาวและไม่ยอมที่จะหยดลง
“ด้วยเลือดของข้า … “
ทันใดนั้นซูหว่านก็หลับตาและพึมพำคาถาว่า “ด้วยเลือดของข้า จงทะลวงฟ้าให้สวรรค์สดับ องค์เทพหลิงเป่าเทียนจวิน โปรดยอมยินปลอบประโลมกาย…”
ร่างวิญญาณบิดเบี้ยวอยู่ตลอดเวลาตามเสียงของซูหว่าน และบนร่างของซูเจินเจินยังคงเปล่งแสงสีขาวอ่อนโยน ออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่คือ…
คำร่ายมนต์! คาถาขจัดมารชำระกาย!
วิญญาณสาวชุดสีแดงได้ยินเสียงของซูหว่าน และร่างทั้งร่าง (วิญญาณ) ก็นิ่งอึ้งไปเลย
บ้าไปแล้ว โลกนี้มันต้องบ้าไปแล้วจริงๆ!
แค่ผีบำเพ็ญเพียรตนหนึ่งก็กล้าจะอัญเชิญองค์เทพของจอมเวทออกมา นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ ไม่ใช่หรือ
และยิ่งกว่านั้น แค่ผีบำเพ็ญเพียรตนหนึ่งทำไมถึงใช้เวทมนตร์ของจอมเวทได้
ดวงตาสีแดงของวิญญาณสาวเสื้อแดงฉายแววโหดร้ายพูดว่า “อยากจะกำจัดข้า พวกแกยังไม่มีคุณสมบัติหรอก!”
ทันใดนั้น ผมเธอก็ปลิวไสวไปรอบๆ และผมที่ยาวขึ้นในทันใดนั้นก็เหมือนหนามแหลมที่ปกคลุมอยู่ตรงหน้าม่านพลังจิตขอซูหว่านอย่างท่วมท้นในทันที
เพล้ง
ม่านโปร่งใสแตกสลายในทันที และเสียงของซูหว่านก็หยุดลงฉับพลัน
“เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก”
วิญญาณสาวเสื้อแดงรีบพุ่งเข้าไปหาซูหว่านด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยวและพูดว่า “ตาย ซะ!”
“หึ”
ในเวลานี้ วิญญาณของซูหว่านที่กำลังสั่นสะท้านก็ลืมตาขึ้นและพูดอย่างรวดเร็วว่า “มังกรฟ้าพยัคฆ์ขาว กวัดแกว่งศาสตราเจ้า หงส์แดงเต่าทมิฬ พิทักษ์กายาข้า!”
ร่ายมนต์สำเร็จ!
เลือดปลายนิ้วของซูเจินเจินก็กลายเป็นยันต์สีทองแผ่นใหญ่ บินไปตกลงบนร่างวิญญาณสาวเสื้อแดง…
“อา!”
เมื่อวิญญาณสาวชุดสีแดงเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็จะหลบหนีออกไป และซูหว่านก็อยากใช้โอกาสนี้ในการจบชีวิตของเธอในครั้งเดียว แต่เมื่อครู่เธอพึ่งใช้พลังจิตของตนเอง ทั้งร่างวิญญาณก็กลายเป็นไม่ชัดเจน ดูไปแล้วเหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าด้วยพลังจิตของเธอในปัจจุบัน การไปฝืนใช้เวทแบบนั้น อย่างเบาก็จะทำร้ายผู้อื่นและตนเอง แต่อย่างหนักวิญญาณก็จะสลายไป…
หรือว่า จะเป็นเคราะห์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าอีกนิดเดียวแท้ๆ ซูหว่านพลันรู้สึกไม่พอใจ สายตาเธอพร่าเลือนเล็กน้อยและสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของเธอใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว ซูหว่านมองออกไปนอกหน้าต่างเขม็ง
ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำวาบผ่านมา และขวางทางวิญญาณสาวเสื้อแดงไว้ทัน
เมื่อเห็นเงาปรากฏขึ้นทันใดนั้น ใบหน้าของวิญญาณสาวเสื้อแดงก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน “เหล่า เหล่ากุ่ย!”
“ตายซะ”
เสียงเย็นยะเยือกอันแผ่วเบาดังขึ้น วิญญาณสาวเสื้อแดงที่ถูกยันต์ทำร้ายก่อนหน้านี้ ในขณะนี้เธอก็ถูกเหล่ากุ่ยโจมตีและกรีดร้องออกมาจนวิญญาณของเธอสลายไปในทันที
พลังวิญญาณที่กระจัดกระจายก็ถูกเหล่ากุ่ยเก็บไว้ในมือ
“อยากได้ไหม”
เหล่ากุ่ยลดดวงตาสีเทาของเขาลง และมองไปยังวิญญาณของซูหว่านที่กำลังพังทลายลง
แสงจันทร์เยือกเย็น ลมราตรีฮือโหม
ชายหนุ่มที่พิงอยู่ขอบหน้าต่าง ในมือกุมพลังวิญญาณที่ส่องแสงระยิบระยับเหมือนดวงดาว นี่คือโอกาสเดียวที่ซูหว่านจะสามารถมีชีวิตในในตอนนี้
“เงื่อน…ไข…”
ซูหว่านอ้าปาก และในเสี้ยววินาทีนี้เธอไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว
เมื่อเห็นวิญญาณของเธอใกล้จะกระจัดพลัดพราย ร่างเหล่ากุ่ยพลันกะพริบวาบหนึ่ง แสงสีเขียววิบวับเหล่านั้นพลันจมลงไปในร่างของซูหว่านทั้งหมด เติมเต็มดวงวิญญาณของเธอ
ซูหว่านถูกล้อมรอบไปด้วยพลังอันทรงพลัง แต่จิตสำนึกของคนคนนี้กลับค่อยๆ เลือนรางไป
เธอตกอยู่ในอาการหลับลึก
“ซูหว่าน ซูหว่าน!”
เมื่อเห็นซูหว่านหลับตาลง ซูเจินเจินที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนและรีบพุ่งเข้าไปหา
ปึง!
วินาทีต่อมา เหล่ากุ่ยก็โบกมือเล็กน้อย และโยนซูเจินเจินให้ไปข้างๆ อย่างแรง ซูเจินเจินกระแทกที่กำแพงจนกระอักเลือดออกมาในทันที
เจ็บมาก!
ชายหนุ่มที่ชื่อว่าเหล่ากุ่ยคนนี้ โหดและไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!
“อย่าแตะต้องเธอ”
ตอนที่ดวงตาสีเทาของเหล่ากุ่ยมองไปยังซูเจินเจินด้วยความอาฆาตพยาบาท
ซูเจินเจินรู้สึกตกใจกลัวอย่างมาก เธอหดตัวในทันที และเช็ดเลือดจากริมฝีปากพลาง ตัวสั่นระริกๆ อยู่มุมกำแพงไปพลาง
เมื่อเห็นว่าซูเจินเจินสงบลงแล้ว เหล่ากุ่ยค่อยยอบตัวลง และก้มมองซูหว่านที่อยู่หลับอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ
“ให้ฉันพาเธอไป ฉันรักษาเธอ นับจากนี้ เธอจะเป็นคนของฉัน”
เหล่ากุ่ยที่กระซิบกับตัวเองเบาๆ พลาง และยกมือขึ้นเบาๆ ไปพลาง วิญญาณของซูหว่านก็ลอยไปในกลางอากาศทันที และลอยไปสู่ในอ้อมแขนของเขา
“เฮ้ย”
เมื่อเห็นว่าเหล่ากุ่ยกำลังจะพาซูหว่านไป ซูเจินเจินก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “เธอ เธอออกจากคฤหาสน์ตระกูลซูไม่ได้ เธอจะตาย”
“หึ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเจินเจิน เหล่ากุ่ยก็ยิ้มอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “นั่นคือเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ เธอเป็นคนของฉัน ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน เธอก็ต้องอยู่ที่นั่น!”