ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 6 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (6)
เมื่อซูหว่านได้สติอีกครั้งก็เป็นสองวันต่อไปมาแล้ว
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็รู้ว่าเธอได้ออกจากบ้านของตระกูลซูแล้ว และในขณะนี้เธอนอนอยู่บนเตียงของคนที่แปลกหน้ามากคนหนึ่ง
นี่เป็นห้องที่จืดชืดมาก ห้องนี้มีขนาดเล็กกว่าห้องนอนของซูหว่านมากๆ และในห้องก็มีของเป็นวางกองๆ ที่อยู่สะเปะสะปะกันไปหมด ดูก็รู้แล้วว่านี่คือห้องของผู้ชาย
“เธอตื่นแล้วหรือ”
ในเวลานี้ เสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของซูหว่าน
ทันทีที่เธอเงยหน้ามองขึ้นไป เธอก็เห็นเหล่ากุ่ยลอยลงมาจากเพดาน เขายังคงสวมชุดสูทจงซานสีดำของเมื่อคืนก่อน เสื้อที่ใส่อยู่บนสีร่างบางของชายหนุ่มดูไปแล้วค่อนข้างที่จะไม่เหมาะ
“เหล่ากุ่ยเหรอ”
ซูหว่านพูดเบาๆ และสายตาจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่ตรงหน้าเขา
หน้าตาเขาดูยังดูหนุ่ม และดูไปแล้วเหมือนว่าเขามีอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี แต่คุณอย่ามองว่าเขายังเด็ก เพราะแท้จริงแล้วชายหนุ่มที่ได้รับการเรียกขานว่า ‘เหล่ากุ่ย’ ผู้นี้ และเป็นราชันแห่งฝูงวิญญาณของนครใต้ เขาอยู่ในโลกนี้มานานมากแล้ว นานจนเขาจำไม่ได้ว่าตนเองอายุเท่าไหร่ แม้จะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร
‘เหล่ากุ่ย’ คือชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาใช้เรียกตัวเขาเอง
“คุณรู้จักฉันหรือ”
เหล่ากุ่ยลอยไปที่ตรงหน้าของซูหว่านและนั่งลงข้างเตียง จ้องมองไปที่ดวงตาสีเทาของซูหว่าน
“ฉันไม่รู้จักคุณ แต่วิญญาณสาวชุดแดงเรียกคุณแบบนี้เมื่อคืน”
ซูหว่านส่ายหน้า สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเหล่ากุ่ย เธอรู้มาจากแผนภารกิจเดิม และพล็อตเรื่องเดิมก็มีวิญญาณแบบนี้อยู่
ข้อมูลที่ซูหว่านรู้ก็มีเพียงแค่อ้างถึงว่า ‘มีราชันวิญญาณประหลาดตนหนึ่งในนครใต้ และสุดท้ายเขาก็ถูกสวินหรานตูทุบตีจนวิญญาณสลายไป…’
“เธอไม่รู้จักฉัน แต่ฉันรู้จักเธอ ซูหว่าน”
เหล่ากุ่ยมองไปที่ซูหว่าน แสงสว่างประหลาดชนิดหนึ่งวาบประกายพาดผ่านดวงตาสีเทาเขา
เมื่อเห็นใบหน้างงงวยของซูหว่าน เหล่ากุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมา และกระจกน้ำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูหว่าน
ผมยาวของซูหว่านก็เริ่มพัดปลิวขึ้นมาโดยที่ไม่มีลม ภายใต้ผมหน้าม้าของเธอ ก็มีจุดสีแดงปรากฏขึ้นอยู่รางๆ
นี่คืออะไร
เมื่อซูหว่านเห็นจุดสีแดงบนหน้าผากของเธอ และยังมีชุดกี่เพ้าสีเขียวสมัยสาธารณรัฐจีนที่เธอในสวมใส่อยู่ตอนนี้ผ่านกระจกน้ำที่เหล่ากุ่ยเรียกออกมา เธออดไม่ได้ที่จะมีแววตาที่เปลี่ยนไป
“จุดสีแดงนั่นคือสัญญาวิญญาณของคุณกับผม ซูหว่าน คุณจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ หรือ”
น้ำเสียงของเหล่ากุ่ยเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเล็กน้อยและพูดว่า “ชาติก่อน คุณเคยสัญญากับผมว่า ชาตินี้คุณจะอยู่กับผม”
ซูหว่าน “…”
ชาติที่แล้วมันคืออะไรกัน
“นี่ คุณดูสิ ผมยังใส่เสื้อผ้าของปีนั้นอยู่เลย”
เหล่ากุ่ยจัดการกับเสื้อสูทจงซานที่อยู่บนตัวเขาและพูดว่า “ยังมีอีกชุดที่คุณชอบมากที่สุดในชาติก่อน หลายปีมานี้ฉันยังเก็บไว้อย่างดี”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”
ซูหว่านสงบสติจิตใจที่ว้าวุ่นลง และมองไปที่เหล่ากุ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจังและพูดว่า “คุณบอกว่า ฉันกับคุณมีสัญญากันตั้งแต่ชาติก่อน ชาติก่อนฉันน่าจะเป็นคนเหมือนกัน และคุณ…ตอนนั้นก็น่าจะเป็นวิญญาณมาตั้งนานมาแล้วใช่ไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน พูดเหล่ากุ่ยก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ใช่”
เขาถอนหายใจออกมา ใบหน้าแสดงถึงความเหงาและความผิดหวัง แล้วพูดว่า “ผมเป็นวิญญาณเร่ร่อนโดดเดี่ยวที่อยู่ในโลกมาเนิ่นนาน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมเคยเจอนักปราบมาร ยังมีนักพรตผู้ขับไล่วิญญาณ และมารปีศาจนักล่าวิญญาณมากมากมาย รวมถึงยังมีผู้ที่สามารถมองเห็นวิญญาณเหล่านั้นด้วย ทุกคนต่างก็อยากฆ่าผม ไม่ก็อยากจับผม ส่วนที่เหลือต่างก็กลัวผม มีเพียงคุณที่แตกต่าง คุณสามารถมองเห็นผม แต่คุณกลับไม่กลัวผม คุณเต็มใจที่จะอยู่ใกล้ผม คุณเต็มใจที่จะสอนหนังสือผมให้รู้จักอักษร และยังตั้งชื่อให้ผม คุณเป็นเด็กผู้หญิงที่มีจิตใจดีและสวยที่สุดในโลก แต่ว่าพวกเขา…พวกเขาต่างบอกว่าคุณเป็นคนอัปมงคล พวกเขาทุกคนสมควรตาย ทุกคนสมควรตาย!”
เมื่อพูดถึงจุดที่โมโห วิญญาณของเหล่ากุ่ยก็เริ่มพลุ่งพล่านไปด้วยหมอกสีดำ และเมื่อมองไปก็เหมือนจะกลายเป็นร่างเดิม ซูหว่านรีบพูดทันทีว่า “คุณอย่าโมโหไป คุณต้องใจเย็นๆ! สิ่งเหล่านั้นต่างผ่านไป ผ่านไปทั้งหมดแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าในยุคนั้น พวกคนที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้จะถูกเรียกว่า ‘คนอัปมงคล’ และส่วนใหญ่ก็มีจุดจบที่น่าเศร้ามากๆ
ซูหว่านจินตนาการได้ ชายหนุ่มที่โดดเดี่ยวมาหลายร้อยปีก็ได้พบกับหญิงสาวที่เขาชอบ และยังมีจิตใจที่ดี เรื่องราวของทั้งสองจะต้องสวยงามและให้คนคิดถึงแน่ๆ
น่าเสียดายที่สมัยนั้นคนกับวิญญาณอยู่กันคนละเส้นทาง และไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในชาตินี้
และ…
“เหล่ากุ่ย หรือว่าฉันอาจจะเหมือนเธอมาก แต่ในใจคุณก็รู้ว่า ฉันไม่ใช่เธอ”
ซูหว่านเงยหน้าขึ้น และตั้งใจมองตาเหล่ากุ่ย
“เป็นคุณ! คุณคือเสี่ยวหว่านของผม คุณจะไม่ใช่เธอได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าคุณเหมือนเธอทุกประการ แม้แต่ชื่อก็เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน แววตาของเหล่ากุ่ยก็วาบประกาย เขากระตุ้นพลังจิตของตนเอง ทำให้ทุกอย่างของห้องนี้บิดเบี้ยวเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทั้งห้องก็เปลี่ยนจากห้องนอนปัจจุบันเป็นยุคโบราณสมัยใหม่ที่มีอารมณ์เก่าๆ
ที่นี่คือ…
ซูหว่านหันหน้าไปตามความรู้สึก และเห็นเพียงหน้ากระจกที่ส่องสว่าง หญิงสาวที่ดูเหมือนกับตัวเองทุกประการกำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกอย่างเงียบๆ
ใบหน้าเธอไม่แสดงความเศร้าหรือความสุข และแววตาที่สวยงามของเธอก็ไม่มีสีสันใดๆ ทั้งสิ้น
ปึง!
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผู้คนผลักออก พวกเขาเดินมาด้วยความเกรี้ยวโกรธและพูดตะโกนอย่างโมโหว่า
“นางตัวอัปมงคล! มันเป็นความผิดของแกทั้งหมด!”
“เป็นแกที่ฆ่าทุกคน! แกสมควรตาย!”
“เผาเธอให้ตาย! เผาเธอให้ตาย!”
…
เสียงตะโกนวุ่นวายที่ดังอยู่ข้างหู ซูหว่านเฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ มองดูหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีเขียว ผู้ไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืนที่ถูกคนลากออกจากห้องนอน
ฉากที่อยู่ต่อหน้าเปลี่ยนไป และภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด มีกองไฟลุกโชนอยู่
หญิงสาวถูกมัดอย่างแน่นหนากับเสาเหล็กที่แข็งแกร่ง และใต้เท้าของเธอมีเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ตลอดเวลา
แสงไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มชั่วร้ายของคนเหล่านั้น แต่หญิงสาวยังคงสงบนิ่ง
“เสี่ยวหว่าน”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำมาโผล่ข้างกองไฟตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ดวงตาของหญิงสาวที่ไม่เคยมีแววตา ทันใดนั้นก็เปล่งประกายขึ้นในทันที จากนั้นก็แววตาก็เปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลและพูดว่า “อาชู คุณอย่าเข้ามา คุณอย่าเข้ามานะ!”
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของหญิงสาว เขาเดินเข้าไปที่กองไฟทีละก้าว และไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน แม้แต่เปลวไฟก็ยังต้องหลีกทางให้เขา
“เสี่ยวหว่าน ผมมาช่วยคุณ”
เมื่อเดินไปที่ร่างของหญิงสาว ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นปลดเชือกบนตัวของเธอ…
“ไอ้สารเลว! รอแกนานเกินไปแล้ว!”
ในขณะนี้ จู่ๆ ก็มีลมกระโชกแรงอยู่ด้านหลังเขา
ร่างของชายหนุ่มแข็งตัวอยู่กับที่ เขาไม่สามารถขยับได้ แต่ยังคงยิ้มให้กับหญิงสาวและพูดว่า “เสี่ยวหว่านไม่ต้องกลัว”
“อาชู บนเชือกเส้นนี้คือ…”
ในเวลานี้หญิงสาวก็พบบางอย่างผิดปกติ ที่แท้เชือกที่มัดตัวเธอมีคาถาสะกดร่างซ่อนอยู่
เมื่อมองเห็นอาวุธของนักพรตผู้ขับไล่วิญญาณซึ่งมีแสงสีทองวาบสะท้อนออกมาที่ด้านหลัง ทันใดนั้นหญิงสาวก็ยืนเขย่งและจูบเบาๆ ลงที่ริมฝีปากของชายหนุ่มผู้นั้น วินาทีต่อมา เธอก็ใช้ร่างของเธอช่วยเขากันดาบเล่มที่พุ่งเข้าใส่
เลือดสด ทั้งสายตาเขาเต็มไปด้วยเลือด ด้วยเลือดซึ่งแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณ ทำให้เชือกที่มีคาถาสะกดร่างใช้การไม่ได้
“ไม่!”
ชายหนุ่มกรีดร้อง และบ้านทั้งหลังก็สั่นสะท้าน
“ทำไม เสี่ยวหว่าน ทำไม”
“ฉันเหนื่อยมากแล้ว อาชู ฉันไม่อยากเป็นภาระของคุณอีก ชาติหน้า พวกเราค่อยเจอกันใหม่ในชาติหน้า!”
ชาติหน้า?
ถ้ามนุษย์มีวิญญาณ สามารถกลับชาติมาเกิดได้ แน่นอนว่าต้องมีชาติหน้า แต่เธอได้รับบาดเจ็บจากอาวุธของนักพรต และวิญญาณของเธอก็แตกสลายไปแล้ว จะมีชาติหน้าได้อย่างไร
เมื่อเห็นเธอสิ้นลมหายใจสุดท้ายอยู่ในอ้อมแขนของตนกับตา รอบกายของชายหนุ่มก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ
เขา ถูกทำให้โกรธแล้ว
ในคืนนั้น บ้านทั้งหลังถูกไฟสีดำเผามอดไหม้ และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่เลย
‘สถานที่ฝังศพซูหวั่นภรรยาของข้า’
ในวันที่สอง บนซากปรักหักพังที่ถูกไฟไหม้ ก็มีหลุมฝังศพที่ใหม่เอี่ยมปรากฏอยู่ท่ามกลางอากาศ และบนหินนั้นก็สลักตัวหนังสืออยู่บนหลุมฝังศพ
แดงเหมือนเลือดสด
ที่แท้ เธอชื่อซูหวั่น ไม่ใช่ซูหว่าน