ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 7 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (7)
เรื่องราวของเหล่ากุ่ยเป็นเหมือนภาพมายาที่เกิดขึ้นจริง ซูหว่านยืนมองไฟดำด้านข้างที่คร่าชีวิตผู้คนนับสิบในบ้านตระกูลซูหลังนี้ทั้งหมด
นักพรตคนที่ได้รับเชิญมานั้น สุดท้ายถูกเหล่ากุ่ยกลืนกินวิญญาณอย่างทั้งเป็น นับเป็นการตายที่น่าสังเวชที่สุด
ความรักระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ มักจบลงด้วยโศกนาฏกรรมเสมอ
“เหล่ากุ่ย คุณปล่อยวางมันเถอะ”
ซูหว่านถอนหายใจและยืนขึ้นอย่างเบาๆ พูดว่า “ภรรยาของคุณ เธอหวังว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีต่อไป และมีชีวิตอยู่แทนตัวเธอ”
“ปล่อยวาง?”
ดวงตาของเหล่ากุ่ยมืดมน เปลี่ยนไปเล็กน้อย และดวงตาสีเข้มก็มีแสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งและพูดว่า “พุทธศาสนาสอนว่าให้วางดาบลง คุณก็จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า หากผมวางมันลง ร่องรอยการมีชีวิตของเสี่ยวหวั่นบนในโลกนี้ก็จะถูกลบล้างไปตามกาลเวลา ผมไม่อยากปล่อยวาง แม้ว่าคุณจะไม่ใช่เธอ คุณก็ต้องอยู่ที่นี่แทนเธอ”
เหล่ากุ่ยพูดพลางโบกมืออีกครั้ง และทั้งห้องก็กลับกลายมาเป็นสภาพเดิม
ที่นี่ ที่แท้ก็คือสถานที่ที่ซูหว่านเคยอาศัยอยู่เมื่อร้อยปีที่แล้ว หลังจากที่เธอตายไป เหล่ากุ่ยก็ไม่เคยออกจากดินแดนแห่งนี้
เขารอคอยอยู่ตลอด รอคอยการกลับมาของเสี่ยวหวั่น…
“เหล่ากุ่ย คุณช่วยฉันไว้ ฉันจะจำมันไว้ ฉันจะหาวิธีตอบแทนบุญคุณ แต่ฉันอยู่ที่นี่กับคุณไม่ได้ เพราะ…ฉันก็มีคนรักเหมือนกัน”
เมื่อนึกถึงซูรุ่ย ดวงตาของซูหว่านก็เปล่งประกายขึ้นมาและพูดว่า “เขาหาฉันไม่เจอ เขาก็จะเสียใจและสิ้นหวัง”
“คนรัก?”
เหล่ากุ่ยจ้องที่ดวงตาของซูหว่าน “ตอนนี้คุณเป็นวิญญาณแล้ว คนกับวิญญาณไม่อาจจบลงได้ด้วยดีหรอก คุณลืมแล้วหรือ”
“ใช่ ฉันเป็นวิญญาณ แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็น…นักปราบมาร”
ซูหว่านพูดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้และพูดว่า “ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่พวกเราก็ยังจะอยู่ด้วยกัน จะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
นักปราบมาร?
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน เหล่ากุ่ยได้แต่หัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “นักปราบมารบนในโลกนี้ทั้งเลือดเย็น โหดเหี้ยม และไร้ความรู้สึก พวกเขาต่อกรกับสวรรค์ ตัดขาดธุลีแดง ซูหว่านคุณยอมแพ้เถอะ เขาจะไม่มาหาคุณอีกแล้ว”
“เขามาแน่นอน”
ซูหว่านกระซิบเสียงเบา น้ำเสียงของเธอไม่ได้เน้นอะไรเลย ดูเหมือนเธอแค่เล่าความจริงออกมาอย่างใจเย็น
รู้สึกได้ว่าเธอมั่นใจในตัวคนนั้น ดวงตาของเหล่ากุ่ยมองมาและพูดว่า “ถ้าเขามา ผมจะถอนคำสัญญา และปล่อยคุณไป!”
“จริงเหรอ”
ซูหว่านคิดไม่ถึงว่าเหล่ากุ่ยจะพูดง่ายๆ ออกมาขนาดนี้
“หึ คุณอย่าพึ่งดีใจไป มนุษย์น่ะ เจ้าเล่ห์จะตาย”
เหล่ากุ่ยพูดเบาๆ แล้วค่อยๆ หายไปตรงหน้าซูหว่าน
จนกระทั่งหลังจากที่เหล่ากุ่ยหายไป ซูหว่านถึงมีเวลาตรวจร่างวิญญาณของเธอ ในตอนนี้ร่างวิญญาณของเธอสามารถผนึกตัวกันได้แม้จะอยู่ในเวลากลางวัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอกลืนวิญญาณสาวเสื้อแดงเข้าไป
ซูหว่านเดาว่าวิญญาณสาวตนนั้นมีชีวิตอย่างน้อยร้อยกว่าปี และพลังก็อยู่ในระดับสูง การที่ตนเองรอดจากมือของเธอเป็นเพราะโชคล้วนๆ
ตอนนี้ในเมื่อเธอถูกขังอยู่ที่นี่ ก็ทำได้แค่ทำใจให้สบาย และฝึกฝนอย่างวางใจ ขอแค่ซูรุ่ยมาที่นครใต้ เขาก็จะสามารถหาตนเองเจอได้เอง
ซูหว่านเริ่มฝึกฝนตนเองในรังที่ซ่อนของเหล่ากุ่ย ผ่านไปครึ่งเดือนกว่ายังไม่มีข่าวคราวของซูรุ่ยเลย
ซูหว่านนึกถึงโครงเรื่องหลักอย่างละเอียด เธอเดาว่าเวลานี้น่าจะเป็นช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการทำพันธสัญญาระหว่างหม่าเย่ว์และวิญญาณมังกร ดังนั้นซูหว่านจะรีบร้อนไม่ได้ แต่ขอความช่วยเหลือจากเหล่ากุ่ย ให้เขาช่วยดูความเคลื่อนไหวละแวกบ้านตระกูลซู
ผลสุดท้ายผ่านไปอีกครึ่งเดือนก็ยังคงไม่มีข่าวซูรุ่ย แต่กลับเป็นคนฝั่งบ้านตระกูลซูเริ่มกระจายข่าวตามหาคุณหนูใหญ่ซูที่หนีออกจากบ้าน!
ซูเจินเจินจากไปแล้ว!
จู่ๆ ซูหว่านก็รู้สึกไม่สู้ดี…
ซูเจินเจินใช้ร่างกายของเธอ และตอนนี้ธาตุหยินของเธอกำลังรั่วไหล ภายใต้ความตื่นตระหนกเธอจะต้องไปเหมาซานเพื่อหาสวินหรานตู และระหว่างทางจากนครใต้ไปเหมาซานจะต้องเจอปัญหาอีกเท่าไหร่
และถ้าหากเธอโชคไม่ดีเจออันตราย เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ซูรุ่ยรู้แล้ว และเข้าใจผิดว่าซูเจินเจินเป็นตัวเองจะทำยังไง
และถ้าหากซูเจินเจินโชคดีรอดไปได้ ข่าวของเธอก็จะไปถึงหูของซูรุ่ยได้ และถึงเวลานั้นซูรุ่ยอาจจะไล่ตามซูเจินเจินไปเพราะคิดว่าเป็นซูหว่าน แบบนี้ก็จะอยู่จากซูหว่านไปเรื่อยๆ
“เหล่ากุ่ย ฉันจะไปหาเขา ไม่อย่างนั้นกลางคืนนี้คงคิดมากจนเก็บไปฝัน”
ซูหว่านรู้ว่าซูรุ่ยจะไม่จำคนผิด แต่จะทำอย่างไรถ้าหากเขาตกอยู่ในอันตรายเพราะซูเจินเจิน ถึงอย่างไรโลกนี้เป็นโลกที่มีอันตรายแฝงอยู่ตลอดเวลา
“คุณไม่รอเขาแล้วหรือ”
ในหนึ่งเดือนนี้ เหล่ากุ่ยคอยเฝ้าดูซูหว่านอยู่ข้างกายตลอด เห็นกับตาเลยว่าจากตอนแรกที่นิ่งเฉยจนถึงตอนนี้กลายเป็นรีบร้อนใจ “คุณก็รู้ว่าจากระดับพลังของคุณตอนนี้ ยังไม่ทันได้ออกจากนครใต้ก็คงจะถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก อ้อ ผมลืมไป วิญญาณไม่มีกระดูก”
เหล่ากุ่ยยากจะมีอารมณ์ขันสักครั้ง
ซูหว่านจ้องตาเหล่ากุ่ยอย่างจริงจังและพูดว่า “ให้ฉันไปตามหาเขา ฉันจะไปหาเขาแน่”
“คุณอาศัยอะไร”
ทันทีที่เหล่ากุ่ยยกมือขึ้น ก็มีเปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือของเขา “เชื่อไหมว่าผมทำให้วิญญาณของคุณแตกสลายไปตอนนี้ได้”
วิญญาณแตกสลาย?
ซูหว่านยิ้มและพูดว่า “คุณจะไม่ทำหรอก ถ้าหากคุณเห็นฉันวิญญาณแตกสลายจริงๆ วันนั้นคุณก็คงไม่ตั้งใจมาช่วยฉันเป็นพิเศษ”
ซูหว่านตัดสินใจแล้ว
“ฮึ”
เหล่ากุ่ยส่งเสียงอย่างเย็นชา และเมื่อเขายกมือขึ้นอีกครั้งก็มีโซ่สีทองอยู่ในฝ่ามือของเขา
นี่คือ…
ดวงตาของซูหว่านขยายและหดตัวลง เธอรู้สึกได้ถึงพลังปราณจากโซ่สีทองที่ทำให้หัวใจของเธอสั่นสะท้านและหวาดกลัว
นี่มัน…ศาสตราเซียน!
ศาสตราเซียนในตำนาน!
“คุณเป็นใครกันแน่”
ในเวลานี้ สายตาที่มองไปยังเหล่ากุ่ยของซูหว่านนั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ในโลกนี้จะมีศาสตราเซียนที่ฝืนลิขิตสวรรค์อย่างนี้อยู่จริงๆ ได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอยู่ตามกฎของโลกนี้
ตัวตนของเหล่ากุ่ยดูเหมือนจะลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมเป็นแค่เหล่ากุ่ยเท่านั้น”
ทันทีที่เหล่ากุ่ยยกมือขึ้น โซ่สีทองก็ลอยไปยังฝ่ามือของซูหว่าน “นี่คือศาสตราเสมือนเซียน ไม่มีความสามารถในการโจมตีใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันสามารถปกปิดกลิ่นอายผีบนตัวคุณได้ จะช่วยให้คุณเดินทางอยู่ในโลกมนุษย์นี้ได้อย่างปลอดภัย”
ที่แท้อย่างนี้นี่เอง แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย
ซูหว่านถอนหายใจด้วยความโล่งใจ โซ่สีทองพันรอบข้อมือของซูหว่านโดยอัตโนมัติ เมื่อแสงสีทองสลายไป ข้อมือของซูหว่านก็มีสร้อยข้อมือสีทองเข้มเพิ่มขึ้นมาในทันที
“เก็บของสักหน่อย เดี๋ยวพวกเราจะออกเดินทางกัน”
เหล่ากุ่ยดีดนิ้ว แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายซึ่งกำลังเป็นที่นิยมที่สุดในเวลานั้นทันที เขายังสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่ เหมาะสมกับใบหน้าอันเยาว์วัยของเขา ดูไปแล้วก็เหมือนนักเรียนมัธยมปลายปลายจริง ๆ
“คุณจะไปกับฉัน?”
ซูหว่านมองไปที่เหล่ากุ่ย คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปหาซูรุ่ยด้วยกันกับตน
“แน่นอน ผมอยากเห็นคุณยอมแพ้ในตัวเขาด้วยตาของผมเอง จากนั้นจะได้ยอมกลับไปพร้อมผมอย่างเชื่อฟัง” เหล่ากุ่ยสีหน้ามั่นใจ
ซูหว่าน “…”
คุณจะดื้อดึงอีกนานแค่ไหน ฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ซูหวั่น~
สำหรับความดื้อดึงของเหล่ากุ่ย ซูหว่านก็พูดอะไรไม่ออก แต่ว่าถ้าตลอดทางมีเขาดูแล ซูหว่านก็สามารถสบายใจได้ และด้วยระดับพลังของเหล่ากุ่ย ก็น่าจะทำให้ตนได้เจอกับซูรุ่ยอย่างราบรื่นละมั้ง
ซูรุ่ย คุณอยู่ที่ไหนกันแน่
ในเวลานี้ เหมาซานที่ห่างไกลออกไปพันลี้
พรวด
ซูรุ่ยกระอักเลือดออกมาเต็มปาก และใบหน้าของเขาก็ซีดเซียว
การฝืนใช้คาถาลับน่าตายนั่น ถึงแม้จะอัญเชิญวิญญาณมังกรออกมาได้ แต่ คิดไม่ถึงว่าที่เรียกออกมามันจะเป็นมังกรดำตัวหนึ่ง!
มังกรดำ ร้ายกาจ หื่นกาม เป็นความอับอายของตระกูลมังกร
การจุติของมังกรดำ ทำให้บ้านตระกูลหม่าสั่นคลอน เกี่ยวกับเรื่องความเห็นแก่ตัวของหม่าเย่ว์ที่ใช้คาถาต้องห้ามนั่น ก็ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลไม่พอใจอยู่แล้ว บวกกับเรื่องที่ผู้คนยังให้ความคาดหวังบนตัวเขาสูง แต่เขากลับเรียกมังกรดำที่ห่วยที่สุดออกมา ผู้อาวุโสในตระกูลก็ได้แต่ทำตามคำแนะนำของทุกคนโดยการลงโทษให้เขาไปที่ภูเขาหลังบ้านตระกูลหม่าเพื่อสำนึกผิดเป็นเวลาหนึ่งปี
ทว่าแม่ทัพซูจะยอมรับการลงโทษที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร และด้วยความโกรธเขา ก็ได้ทำร้ายสมาชิกในกลุ่มผู้อาวุโสและออกจากบ้านตระกูลหม่าในชั่วข้ามคืน แต่ผลสุดท้ายคนของตระกูลหม่าก็ตามเขาตลอดทางอย่างไม่ยอมแพ้ ยังมีผู้คนที่อิจฉาหม่าเย่ว์และแอบลอบทำร้าย ทำให้เขาต้องเกือบถึงแก่ชีวิต!
เนื่องจากซูรุ่ยใช้คาถาต้องห้ามในห้องลับในวันนั้น ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาต้องคอยสู้และหนีอยู่ตลอดทาง เดิมทีเขามุ่งหน้าไปทางใต้ วางแผนจะไปนครใต้เพื่อไปหาซูหว่าน แต่ใครจะไปรู้ในระหว่างครึ่งทางก็ได้ข่าวคุณหนูใหญ่ของตระกูลซูไปเหมาซานเพื่อขอความช่วยเหลือ
เมื่อรู้ว่าร่างกายของซูหว่านมีปัญหา ซูรุ่ยจึงรีบเปลี่ยนทิศทางและมุ่งหน้าไปยังเหมาซาน ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่เขาเข้าสู่เขตเหมาซานก็ถูกอดีตศัตรูของหม่าเย่ว์คนหนึ่งเข้าลอบทำร้าย…
“เสี่ยวเย่ว์เย่ว์ ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว”
ทันใดนั้นเองก็มีร่างสีดำปรากฏขึ้นอยู่ข้างซูรุ่ย และชายหนุ่มรูปงามนั้นยังยิ้มด้วยความชั่วร้ายและพูดว่า “เสี่ยวเย่ว์เย่ว์ อยากได้พลังของข้าผู้เป็นราชันไหม ไอ้พวกมนุษย์โง่เหล่านั้นไม่รู้ว่าความเก่งกาจ ความชั่วร้ายของข้านี้มีมากเพียงใด และนี่เป็นพลังดั้งเดิมทีทรงพลังที่สุดในโลกนี้”
“หุบปาก”
ซูรุ่ยเช็ดเลือดที่มุมริมปากของเขา และมองไปยังวิญญาณมังกรคู่พันธะสัญญาของตนเองอย่างเย็นชา “แกคิดว่าฉันถึงจุดที่ต้องให้แกมาช่วยฉันแล้วเหรอ”
น่าตลกจริงๆ
ซูรุ่ยนั่งอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ เพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณของตนเอง เขาคอยวิ่งหนี คอยหลบหลีกอยู่ตลอดเวลา แค่เขาไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเขาจนถึงขีดสุด เพราะว่า เขายังต้องการรักษาพลังปราณไปเพื่อช่วยซูหว่าน…
แหมๆ เสี่ยวเย่ว์เย่ว์โกรธแล้วหรือ!
มังกรดำที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบ ไม่ต้องการข้าอย่างนั้นหรือ สักวันหนึ่ง เจ้าจะต้องได้ใช้ข้าแน่ เพราะข้าสัมผัสถึงความชั่วร้ายในกายเจ้าได้
วันนั้นข้าผู้เป็นราชันถูกอัญเชิญออกมาด้วยความมืดในกายเจ้า มัน ช่างเป็นพลังที่สุดแสนแกร่งกล้าเหลือเกิน…