ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 8 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (8)
ออกจากนครใต้ไปที่เขาเหมาซานพาหนะที่ใช้เดินทางได้เร็วที่สุดแน่นอนว่าคือเรือบิน แต่เหล่ากุ่ยกลับเช่ารถยนต์มาหนึ่งคัน
ไม่ผิด ผีแม้ว่าจะมีพลังวิญญาณแต่ก็ไม่อาจใช้พลังสุ่มสี่สุ่มห้าได้ วันหนึ่งไปได้ไกลเป็นพันๆ ลี้ ด้วยความสามารถของเหล่ากุ่ยก็อาจจะทำได้ แต่พฤติกรรมทำลายกิจการของครอบครัวแบบนี้เขาไม่มีทางทำ
ส่วนเรือบินนั้น ไม่ต้องคิด เรื่องเที่ยวบินผีอะไรนั่นล้วนแต่หลอกลวง พลังวิญญาณของผี ก็เหมือนกับสนามแม่เหล็ก ถ้าเหล่ากุ่ยและซูหว่านขึ้นเรือบิน อย่างนั้นเที่ยวบินของเรือบินลำนั้นก็ไม่อาจไปจากสนามบินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบินขึ้นไปในระดับความสูงนับหมื่นฟุตเลย
ดังนั้น เช่ายานยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีสมรรถนะไม่เลวหนึ่งคัน เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาตอนนี้
ซูหว่านคิดไม่ถึงว่าเหล่ากุ่ยจะขับรถได้ ช่างเป็นผีที่ทันยุคสมัยจริงๆ
รถของทั้งสองคนขับขึ้นบนทางด่วนไม่ได้หยุดเลยตลอดทาง เหล่ากุ่ยหลับตาก็สามารถขับรถได้ ส่วนซูหว่านนั่งทำสมาธิอยู่บนเบาะหลังตลอด
เวลาหนึ่งวันไม่นานก็ผ่านไปแล้ว หลังจากที่ท้องฟ้ามืดรถบนทางด่วนก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ที่หลงเหลืออยู่มากที่สุดก็คือรถบรรทุกพ่วงขนาดใหญ่ที่เคยชินกับการเดินทางยามค่ำคืน
พูดกันตามความจริง รถประเภทนี้อันตรายที่สุด อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขนาดใหญ่ก็สูงมากเป็นพิเศษ
“มาแล้ว”
เวลาเที่ยงคืน จู่ๆ เหล่ากุ่ยก็ลืมตา พึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค
ซูหว่านก็ออกจากการฝึกสมาธิทันที สายตาจับจ้องไปที่นอกหน้าต่าง ถนนทั้งสายมืดสนิท ความเร็วในการขับรถของเหล่ากุ่ยไม่เร็วนัก บางครั้งมีรถเก๋งบางคันขับแซงไปจากด้านข้างพวกเขา
สำหรับคนที่ยังกล้าเร่งความเร็วในบริเวณนี้พวกนั้น เหล่ากุ่ยก็ได้แต่หัวเราะหึๆ แล้ว
ปึง!
ทันใดนั้นด้านหน้าก็เกิดเสียงชนกระแทกอย่างรุนแรง เกิดอุบัติเหตุแล้ว!
ที่แท้ก็มีรถเก๋งคันสีดำที่เพิ่งเร่งความเร็วเมื่อครู่คันนั้น ตอนถึงทางโค้งถูกรถพ่วงที่เสียหลักคันหนึ่งชนเข้า คนขับรถบรรทุกพ่วงคันนั้นเห็นชัดว่าอ่อนเพลียจากการขับรถ แม้วินาทีสุดท้ายเขาจะตั้งสติบังคับรถตนเองไม่ให้พลิกคว่ำได้ แต่รถเก๋งคันนั้นก็ยังถูกชนกระแทกอย่างแรงจนพลิกคว่ำไป รถทั้งคันร่วงลงไปในคูน้ำลึกข้างทางด่วน คนขับจะเป็นหรือตายไม่รู้
จากระยะไกล เหล่ากุ่ยก็มองเห็นอุบัติเหตุนั้นแล้ว เขาหรี่ตา ค่อยๆ ลดความเร็วของรถลง
“คุณจะไปช่วยคนเหรอ”
เห็นได้ชัดเจนมากว่าซูหว่านเข้าใจเจตนาของเขาผิดแล้ว
“ผมดูเหมือนคนปัญญาอ่อนหรือ”
เหล่ากุ่ยเหล่มองซูหว่านอย่างดูถูก “ผมจะจอดรถให้ดี ดูเอาเป็นเรื่องสนุกเท่านั้น ว่าค่ำคืนที่แสนยาวนานนั้น น่าเบื่อหน่ายขนาดไหน”
ซูหว่าน “…”
ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรจะจริงจังอะไรกับผีตนหนึ่ง
ตอนนี้เอง คนขับรถพ่วงคนนั้นเดินส่ายไปส่ายมาลงมาจากในรถ ในค่ำคืนที่มืดมิดก็มองความรู้สึกเขาไม่ออก ดูเหมือนว่าเขาจะวิ่งไปร้องเรียกเสียงดังสองสามครั้งจุดที่รถเก๋งพลิกคว่ำ จากนั้นก็กลับไปที่รถของตนเอง ขับรถหนีไปเลย
เอ๋
ซูหว่านหรี่ตามอง เธอยังสัมผัสได้ว่าคนขับรถที่อยู่ในรถคันนั้นยังมีลมหายใจอยู่ เขายังมีชีวิตอยู่
น่าเสียดาย…
ในเวลาเที่ยงคืนแบบนี้ถ้าไม่มีคนช่วยเขา ถึงตอนเช้าเขาก็คงเป็นได้แค่ผีตนหนึ่งแล้ว
ตอนที่ซูหว่านทอดถอนหายใจกับโลกที่ช่างไร้น้ำใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งค่อยๆ ขับผ่านรถของพวกเขาไป จากนั้นก็จอดลงไม่ไกล
คนขับรถคันนั้นคือชายอายุราวสี่สิบต้นๆ และคนที่ลงจากที่นั่งข้างคนขับน่าจะเป็นภรรยาของเขา
เห็นชัดว่าทั้งสองคนสังเกตเห็นสภาพที่อยู่อีกด้าน ภรรยารีบหยิบโทรศัพท์โทรแจ้งตำรวจ ชายวัยกลางคนผู้นั้นวิ่งที่ด้านข้างของรถเก๋งที่พลิกคว่ำ ออกแรงอยากจะเปิดประตูรถเพื่อช่วยคนขับรถที่อยู่ข้างในออกมา
มองภาพที่อยู่ตรงหน้า ซูหว่านไม่รู้ทำไม จู่ๆ ในใจก็ความเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
“เหล่ากุ่ย…”
“ชู่”
เหล่ากุ่ยทำมือแสดงความหมายไม่ให้ส่งเสียงกับซูหว่าน
ไม่นาน สองสามีภรรยาวัยกลางคนคู่นั้นก็ออกแรงช่วยคนขับที่บาดเจ็บสาหัสหมดสติอยู่ในรถคนนั้นออกมาได้
แต่ว่าทั้งสองคนกลับไม่ได้แบกเขาขึ้นรถของตัวเอง ชายวัยกลางคนผู้นั้นวิ่งมาที่ด้านของรถของเหล่ากุ่ยเคาะหน้าต่างรถเขา เหล่ากุ่ยลดกระจกลงเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาอ่อนเยาว์นั้น
เมื่อพบว่าคนขับเป็นวัยรุ่น ชายวัยกลางคนก็แปลกใจเล็กน้อย “น้องชาย…ท่านนี้ คุณดูสิมีคนบาดเจ็บแล้ว คุณช่วยพาเขาไปส่งโรงพยาบาลให้ผมได้ไหม”
“คุณเองก็มีรถทำไมไม่ไปส่ง ถ้าผมไปส่งเขา เกิดถูกเขาเข้าใจว่าเป็นคนชนจะทำอย่างไร”
เหล่ากุ่ยขมวดคิ้ว มองคนวัยกลางคนนอกรถด้วยสีหน้าเย็นชา
“รถ…รถของผม น้ำมันใกล้จะหมดแล้ว อีกทั้ง ใช่แล้ว! บนรถของเขามีกล้องบันทึกภาพอยู่ ผมจะไปเอามาให้คุณ คุณเอาไปที่สถานีตรวจ แบบนี้คุณก็ไม่ถูกเข้าใจผิดแล้ว! น้องชายช่วยชีวิตคนกุศลแรงกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก คุณจะปล่อยให้คนตายโดยไม่ช่วยไม่ได้นะ!”
“มองดูคนตายโดยไม่ช่วยหรือ คนที่มองดูคนตายโดยไม่ช่วยมีเยอะแยะ”
เหล่ากุ่ยยิ้มอย่างเยือกเย็นให้กับคนวัยกลางคนนอกรถ “มนุษย์ก็ไร้น้ำใจแบบนี้ หรือว่าคุณ…ไม่รู้…”
“ผม…”
ทันใดนั้นในดวงตาที่มองเหล่ากุ่ยก็มีแสงสีเขียวพุ่งออกมา สีหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นซีดเผือดทันที “ผม…”
เขาอ้าปาก มีเลือดสดๆ ไหลอยู่นับไม่ถ้วนบนใบหน้าขาวซีด “ผมรู้ แต่ว่า…ผมไม่อาจมองดูคนตายโดยไม่ช่วยได้ นี่คือหนึ่งชีวิต ชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่! ”
“นายท่าน!”
ตอนนี้เอง หญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็วิ่งมา สภาพเธอที่มีเลือดเปรอะทั่วตัวเวลานี้ไม่ได้ดูดีไปกว่าสามีของตนเองนัก “นายท่าน พวกเราพลังต่ำต้อย ไม่สามารถออกจากทางหลวงนี้ได้ ได้โปรดช่วยเขาด้วยเถอะขอร้อง!”
“พวกคุณขอร้องเธอสิ”
เหล่ากุ่ยเบ้ปากเล็กน้อย ใช้สายตาแสดงความหมายให้ผีสองสามีภรรยาคู่นั้นไปหาซูหว่าน
ซูหว่าน “…”
สายตาของผีสองตนนั้นก็รวมประสานกันไปที่ซูหว่านทันที ซูหว่านถูกพวกเขามองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง “พวกคุณ…พวกคุณแบกเขาขึ้นมาเถอะ!”
เวลานี้ ซูหว่านจะปฏิเสธได้อย่างไรอีก
“ขอบคุณท่านทั้งสองมาก! ขอบคุณท่านทั้งสองมาก!”
มองดูผีสองสามีภรรยาคู่นั้นออกแรงแบกวัยรุ่นที่ไม่ได้สติคนนั้นมา นัยน์ตาของเหล่ากุ่ยสับสน “พวกเขาสองคนก็ตายตรงทางโค้งนี้ ตอนกลางคืนเหมือนกัน ถูกรถรถบรรทุกคันใหญ่ชนจนพลิกคว่ำเช่นกัน เพราะไม่มีคนที่ผ่านมายื่นมือเข้าช่วย สุดท้ายสองสามีภรรยาก็เสียเลือดมากจนตาย”
โลกใบนี้ก็เป็นแบบนี้ คนไม่เหมือนคน ผีไม่เหมือนผี
มองดูเหล่ากุ่ยขับรถพาวัยรุ่นที่ได้รับบาดเจ็บไป สองสามีภรรยาคู่นั้นยังคงยืนอยู่ที่นั่นโบกมือลาพวกเขาไม่หยุด
“พวกเขา ทำไมยังไม่ไปผุดไปเกิด”
ซูหว่านละสายตาตนเองกลับมา น้ำเสียงสับสนเล็กน้อย
“อาจเป็นเพราะยังมีห่วง หรืออาจจะ…พวกเขาเต็มใจอยู่ที่นี่ อยากจะช่วยคนให้มากยิ่งขึ้น”
เหล่ากุ่ยหัวเราะเยาะ “น่าเสียดาย พวกเขาคิดว่ามนุษย์จิตใจดีมากเกินไป”
“คุณหมายความว่าอะไร”
สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเย็นเยือกของเหล่ากุ่ย สีหน้าซูหว่านก็เปลี่ยนไปทันที
“ที่นี่เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านหากจะไปยังเทือกเขาเหมาซาน จะมีคนของสำนักลี้ลับจำนวนมากเดินทางผ่าน ซูหว่าน คุณรู้ดี”
คนของสำนักลี้ลับทั้งหมด เจอผี ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาไม่มีทางฟังคำอธิบายของคุณ และก็ไม่มีทางปล่อยคุณเพราะเห็นว่าคุณไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
จอมเวทกับผี ต่างก็เป็นคู่ปรับกันมาแต่ไหนแต่ไร
กฎระเบียบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งสองคนสุดท้ายแล้วก็เอาตัววัยรุ่นคนนั้นส่งถึงโรงพยาบาล ทั้งยังทิ้งกล้องที่ติดในรถยนต์อันนั้นไว้เป็นหลักฐาน…
ในเขตอำนาจของเทือกเขาเหมาซาน บนแท่นบูชาชิงจง สำนักซั่งชิง
พอซูหว่านเข้ามาในเขตของเทือกเขาเหมาซาน ก็สัมผัสได้ถึงอาการใจสั่นอย่างประหลาดทันที
เหล่ากุ่ยที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเธอ ก็ยกมือขึ้นมือจับข้อมือของซูหว่านทันที ไอสีดำจากปลายนิ้วของเหล่ากุ่ยพุ่งเข้าไปที่ร่างของซูหว่าน
“คุณเป็นอะไร”
“อันตราย เขามีอันตราย!”
ซูหว่านสัมผัสได้ถึงลมหายใจของซูรุ่ย อันตรายมาก สับสนวุ่นวายมาก
“เร็ว!”
ซูหว่านหันไปจับแขนของเหล่ากุ่ยเอาไว้แน่น “ฉันขอร้องคุณ พาฉันไปหาเขาที”
เหล่ากุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย มองซูหว่าน มองสองมือนั้นของเธอที่จับแขนของตนเองเอาไว้แน่นอีกครั้ง “คุณแน่ใจนะ คุณกำลังขอร้องผมอยู่หรือ”
“เหล่ากุ่ย!”
ซูหว่านมองกลับไปยังดวงตาของเหล่ากุ่ยอย่างจริงจัง เวลานี้ สายตาของทั้งสองคนสอดประสานอยู่ด้วยกัน “ผมสามารถพาคุณไปได้ ผมยื่นมือไปช่วยเขาได้ แต่ผมมีเงื่อนไข”
ทันใดนั้นเหล่ากุ่ยก็ยิ้มให้ซูหว่าน “ถ้าผมไม่ตาย คุณแต่งงานกับผมได้ไหม”
สีหน้าซูหว่านเปลี่ยนไปทันที “นอกจากเงื่อนไขนี้แล้ว…คุณจะยื่นข้อเสนออะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“หือ”
แววตาของเหล่ากุ่ยเย็นเยือกทันที “ทำไม”
“ชีวิตนี้ของฉัน ไม่ว่าเกิดหรือตาย จะแต่งงานกับคนเพียงคนเดียว”
ซูหว่านชำเลืองมองเหล่ากุ่ยแวบหนึ่ง “แม้ว่าวันนี้คุณและเขาล้วนตายที่โลกนี้ พวกเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวของกันและกันแบบนี้”
“หึ หึๆ”
ได้ยินคำตอบของซูหว่าน จู่ๆ เหล่ากุ่ยก็หัวเราะ จากนั้นเขาเอามือของซูหว่านมากุมเอาไว้ในมือของตนเองแน่นแทน “คุณหลับตา”
ซูหว่านหลับตาอย่างเชื่อฟัง วินาทีต่อมาร่างของทั้งสองคนก็หายไปจากที่เดิม…