ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 10 ลอยนวล (ปัจฉิมบท)
ในบางครั้ง พวกเราก็มักจะคาดเดาการเริ่มต้นของนิทานได้ แต่กลับไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจุดจบของมันจะเป็นอย่างไร…
สำนักงานตำรวจได้จัดงานแถลงข่าวขึ้นในปลายเดือนตุลาคม คนร้ายที่ฆ่าหลินลู่ลู่และถงซินเหยาถูกตำรวจยิงเสียชีวิตขณะกำลังพยายามลอบทำร้ายซย่าอวี่ซาน
หลังจากเหตุการณ์นี้ ราชินีแห่งวงการเพลงซย่าอวี่ซานได้ตัดสินใจออกจากวงการเพลง เธอออกจากวงการในช่วงที่กำลังโด่งดังและเจิดจรัสมากที่สุด เหลือทิ้งไว้เพียงตำนานให้ทุกคนได้นึกถึง
นิตยสารบันเทิงรายสัปดาห์หลายฉบับยังคงวิ่งตามซย่าอวี่ซานไม่ยอมปล่อย สื่อที่มีสายข่าวค่อนข้างไวบางแห่งได้ปล่อยข่าวว่าเธอมีแฟนและกำลังมีแผนจะแต่งงาน ว่ากันว่าชายหนุ่มคนนั้นของเธอเป็นนักสืบท่านหนึ่ง
ในเดือนพฤษจิกายน สายฝนเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
ณ หลุมฝังศพของสวีจื่อหมิง ซูหว่านยืนมองภาพถ่ายที่ยังคงความหล่อเหลาบนป้ายหลุมฝังศพนั้น เธอค่อย ๆ โค้งตัวลงและวางช่อดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุมฝังศพอย่างเบามือ
“จื่อหมิง ฉันสบายดีมาก คุณอยู่ที่นั่นสบายดีไหม?“
เธอยกมือขึ้นแตะรูปถ่ายบนป้ายหลุมฝังศพ และค่อย ๆ แนบหน้ากับป้ายหลุมฝังศพพลางพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ฉันได้…ส่งหลินลู่ลู่กับถงซินเหยาไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแล้วนะ คุณ จะไม่เหงาอีกแล้ว น่าเสียดาย..คุณคงไม่ได้พบซย่าเทียนที่คุณรัก เพราะฉันต้องใช้ร่างของเธอเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง”
สายฝน ความหนาวเย็น และสิ้นหวัง
ขณะที่หมุนตัวจากไป เธอโยนร่มสีดำในมือทิ้ง สีดำตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุมฝังศพ
ซย่าเทียนป่วย ความแค้น ความเจ็บ ความอาฆาต และบาดแผลของเธอ เมื่อรวมตัวกันเป็นบุคลิกที่สองนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ได้บ่งบอกถึงความใสซื่อบริสุทธิ์
ซย่าอวี่ซาน เธอเป็นตัวแทนของความมืดมิดและสิ้นหวังมาโดยตลอด…
“อวี่ซาน”
ด้านนอกของสุสาน เซี่ยวจินยืนกางร่มอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นซูหว่านตากฝนเปียกมาทั้งตัว เขาก็รีบกระชับร่มก้าวออกไปบังเม็ดฝนอันหนาวเย็นให้เธอทันที “ร่มของคุณล่ะ? เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
“ฉันไม่เป็นไร ร่มของฉันให้จื่อหมิงไปแล้ว ฝนตกหนักขนาดนี้ ฉันกลัวว่าเขาจะหนาว”
ใบหน้าซูหว่านขาวซีด เธอหันไปยิ้มให้เซี่ยวจินอย่างอ่อนเพลีย
“ยัยบ๊องเอ๊ย”
เซี่ยวจินยกมือขึ้นขยี้ผมยาวของเธอที่เปียกปอนไปด้วยสายฝนอย่างทะนุถนอม “ไป กลับบ้านกันเถอะ”
“อืม”
ซูหว่านพยักหน้า ปล่อยให้เซี่ยวจินโอบตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถแลนด์โรเวอร์คันสีแดงของเขา
ที่จริงแล้ว เซี่ยวจินก็พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง การเป็นตำรวจและนักสืบนั้นเป็นเพียงแค่งานอดิเรกของเขา…
“พี่เฉิงช่วยฉันย้ายคอนโดแล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ที่นั่นแล้ว”
ซูหว่านพูดเสียงเบาขณะที่พิงพนักที่นั่งข้างคนขับ
“คุณวางแผนหลังจากนี้ไว้อย่างไรบ้าง?”
เซี่ยวจินอดไม่ได้ที่จะถามเธอ
“ยังไม่รู้เลย”
ซูหว่านมองรอยสักสีทองหม่นบนข้อมือของเธออย่างเหม่อลอย “คืนนี้หลับให้สบายก่อน เรื่องของพรุ่งนี้…ใครจะไปรู้ล่ะ?“
“อืม คุณพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมไปหา ทานมื้อเช้าด้วยกัน”
“ได้ค่ะ”
ซูหว่านพยักหน้ารับ จากนั้นก็พิงพนักเก้าอี้บนรถของเซี่ยวจินและงีบหลับไป…
เที่ยงคืนแล้ว
เซี่ยวจินเคยชินกับการนอนดึก เขากำลังเตรียมจะไปพักผ่อน ทว่าจู่ ๆ เขาก็ได้รับอีเมลฉบับหนึ่งทางคอมพิวเตอร์
ผู้ส่งคือซย่าอวี่ซาน
เซี่ยวจินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเปิดอีเมลฉบับนั้นขึ้น ในอีเมลมีเพียงเลขที่ตู้เซฟธนาคาร และรหัสผ่านของมัน
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
เซี่ยวจินตกตะลึง เขาหยิบเสื้อคลุมแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ประตูบ้านของซย่าอวี่ซานไม่ได้ล็อค ทุกอย่างในคอนโดยังคงเหมือนเมื่อกลางวัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ ในตอนนี้ทั้งห้องนั้นว่างเปล่า ซย่าอวี่ซานหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย…
สีหน้าของเซี่ยวจินแย่ลงอย่างมาก เขาสันนิษฐานความเป็นไปได้ไว้เรื่องหนึ่ง เขาฝืนตัวเองไม่ให้คิดถึงความเป็นไปได้นั้น
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อธนาคารเปิดทำการ เซี่ยวจินมายังธนาคารเพื่อหาตู้เซฟที่ซย่าอวี่ซานเหลือไว้ให้ตนเองจนพบ ภายในนั้นมีเพียงมือถือวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวเครื่องหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นมือถือเครื่องที่ซย่าอวี่ซานทำหายไป
เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ เซี่ยวจินจ้องหน้าจอของมันอย่างเหม่อลอย รหัสล็อคหน้าจอได้ถูกปลดออกไปแล้ว ทั้งหน้าจอมีเพียงประโยคเดียว
ว่ากันว่านิ้วก้อยข้างซ้ายเชื่อมต่อกับบุพเพสันนิวาสของคนทั้งชีวิต เซี่ยวจิน คุณเชื่อไหม?
เมื่อเกี่ยวก้อยกันแล้ว นั่นหมายถึงการสัญญาชั่วชีวิต
คำสัญญาของนิ้วก้อยข้างซ้าย คือไม่ทอดทิ้งชั่วชีวิต
คนที่ผิดสัญญาควรได้รับความตายเป็นบทลงโทษ
สวีจื่อหมิงตายแล้ว ซย่าเทียนเองก็เสียใจมากจนคิดฆ่าตัวตาย แล้วพวกหลินลู่ลู่ล่ะ? พวกเธอมีสิทธิ์อะไรที่จะมีความสุขครั้งใหม่?
พวกเธอควรลงนรกทั้งหมด พวกเธอควรไปอยู่เป็นเพื่อนจื่อหมิง ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องเหงามากแน่ ๆ …
ใช่แล้ว คนที่วางแผนฆ่าสวีจื่อหมิงคือซย่าอวี่ซาน แต่คำสารภาพของสวีจื่อหมิงก่อนตายได้กระตุ้นบุคลิกหลักของซย่าเทียน และเมื่อซย่าเทียนตื่นขึ้นมา ซย่าอวี่ซานที่เป็นบุคลิกรองก็หลับใหลลง
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ซย่าเทียนต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน จนถึงขั้นตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพื่อตามไปอยู่กับสวีจื่อหมิง ก่อนเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเคยกรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ก็ถูกพี่เฉิงพบเข้าและช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทัน
และเพราะการกระทำที่ค่อนข้างรุนแรงในครั้งนี้ของเธอ ได้ปลุกให้บุคลิกซย่าอวี่ซานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้ฆาตรกรลงมือก่อเหตุอีกครั้งหลังจากผ่านไปครึ่งปี
หลินลู่ลู่และถงซินเหยาถูกซย่าอวี่ซานฆ่าตาย สองคนนั้นไม่เคยเคลือบแคลงสงสัยเธอเลย ซย่าอวี่ซานคิดว่าการกระทำของเธอนั้นแยบยลมาก ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เธอก่อไว้นั้นได้อยู่ในสายตาของแฟนคลับที่คลั่งไคล้เธอมาก
ในวันนั้น เธอรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังตามเธออยู่ เธอจึงรีบถ่ายรูปไว้ทันที แต่ก็ถ่ายไว้ได้เพียงแค่แผ่นหลังเท่านั้น หลังจากนั้น คนคนนั้นก็เริ่มโทรมาก่อกวนเธออย่างไม่หยุดหย่อน
ในตอนนี้เอง ซย่าอวี่ซานที่กำลังว้าวุ่นใจเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเซี่ยวจินก็ปรากฏตัวขึ้น…
ดั่งบทละครฉากที่พระเอกและนางเอกได้พบกัน
อุบัติเหตุครั้งหนึ่ง ชีวิตสองชีวิต และความเกี่ยวโยงกับคดีเก่า ๆ
สวรรค์มีตา ใครกันจะหนีพ้นบทลงโทษไปได้? ใครกันล่ะจะสามารถลอยนวลได้?
ซย่าอวี่ซานหายไปแล้ว หายสาบสูญไปจากโลกของเซี่ยวจิน ภายหลังเซียวจินได้ทุ่มงบหนักเพื่อซื้อคอนโดของซย่าอวี่ซานกลับคืนมา ในคอนโดนั้น เขาเจอบันทึกประจำวันของซย่าอวี่ซาน เจออัลบั้มรูปที่เธอเก็บไว้ เจอกระทั่งที่ที่เธอซ่อนยาพิษและอาวุธที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมดเอาไว้
ที่แท้ เธอได้ทิ้งความจริงและคำตอบทุกอย่างเอาไว้ในที่แห่งนี้ เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยก็เท่านั้น
ผู้หญิงบ้าคลั่งได้เพราะความอิจฉาริษยา
แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวตนอีกคนของตัวเอง เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ้าคลั่งเพราะความอิจฉาริษยานี้
“อวี่ซาน แต่งงานกับผมนะ คุณจะเป็นฤดูร้อน(ซย่าเทียน)ของผม”
คำขอแต่งงานประโยคนั้นของสวีจื่อหมิงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ซย่าอวี่ซานอิจฉาริษยาซย่าเทียน ในเวลานั้นเธอเข้าใจแล้วว่า คนที่สวีจื่อหมิงรักคือซย่าเทียน
ความผิดบาปทั้งหมด เริ่มต้นที่ประโยคนั้น…
……
ณ ช่องว่างแห่งกาลเวลา
“ภารกิจไถ่บาปสำเร็จ!”
เสียงแจ้งภารกิจสำเร็จดังก้องอยู่ในหูของซูหว่าน เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เรื่องราวในโลกภารกิจทั้งหมดเหมือนฝันไป
ที่จริงแล้วตอนที่ซูหว่านกลับเข้าไปยังคอนโดของซย่าอวี่ซานในวันนั้น เธอได้ตรวจสอบบ้านทั้งหลังอย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว เธอจึงได้พบอาวุธก่อเหตุและเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด
ในตอนนั้นเอง ซูหว่านจึงได้เข้าใจว่า ซย่าอวี่ซานเป็นนางเอกของโลกภารกิจนี้ และภารกิจของเธอนั้นไม่ใช่การหนีให้พ้นจากการไล่ล่าของคนร้าย แต่กลับเป็นการทำอย่างไรให้สามารถหลอกตาพระเอกและตำรวจไปได้
ลอยนวล เป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของซย่าอวี่ซาน
ความหมายของคำว่า “มีชีวิตอยู่” คือสิ่งนี้
เมื่อออกจากห้องปฏิบัติภารกิจ ซูหว่านมองรอยสักสีทองหม่นบนข้อมือตัวเองครู่หนึ่ง ในวันนั้นตอนที่เธอกำลังอาบน้ำที่บ้านของซย่าอวี่ซาน ซูหว่านสังเกตเห็นรอยแผลเป็นลักษณะเป็นเส้น ๆ ซ่อนอยู่ใต้รอยสักสีทองหม่น นั่นน่าจะเป็นรอยที่เกิดจากการกรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย
หลังจากนั้นซูหว่านได้ติดต่อพี่เฉิงในกลางคืน เธอได้ข้อมูลจากพี่เฉิงพอสมควรจากการเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม เธอจึงตั้งสมมติฐานว่าซย่าอวี่ซานน่าจะเป็นคนสองบุคลิก
ในสถานการณ์ที่ไม่มีบทให้อ่าน ซูหว่านตัดสินใจเสี่ยงอันตราย เล่นละครฆ่า “ตัวเอง” ตาย เพื่อตบตาพระเอกอย่างเซี่ยวจิน
จากประสบการณ์ปฏิบัติภารกิจที่ผ่านมาของซูหว่าน การที่พระเอกอย่างเซี่ยวจินปรากฏตัวอยู่รอบ ๆ ซย่าอวี่ซาน ย่อมแสดงว่าเขาจะต้องกุมหลักฐานบางอย่างไว้ในมือเป็นแน่ หรือไม่ก็เพราะสงสัยในตัวของซย่าอวี่ซานตั้งแต่แรก และเพราะการแสดงละครฉากนี้จึงทำให้ซูหว่านได้รู้ความจริงของเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อนจากปากของเซี่ยวจิน…
ในฐานะพระเอกของโลกใบหนึ่ง ความฉลาดไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เซี่ยวจินนั้นฉลาดมากเกินไป อย่างว่าคนฉลาดมักตกหลุมพรางความฉลาด เมื่อเขาเห็นซย่าอวี่ซานพยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นจึงทำให้เขามั่นใจว่าซย่าอวี่ซานไม่ใช่ฆาตกร…
ทั้งหมดผ่านไปแล้ว
ซูหว่านบอกกับตัวเองในใจ
เธอไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับภารกิจนั้น เธอแค่กำลังนึกถึงความลำบากที่ซูรุ่ยได้รับเท่านั้น
ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ที่รัก
ณ ช่องว่างแห่งกาลเวลา ดินแดนนักโทษ
ดินแดนนักโทษอันแสนอลหม่าน เสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณดังไปทั่วทุกสารทิศ
“ซูรุ่ย ครบกำหนดพ้นโทษ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องจักรดังขึ้น
ซูรุ่ยลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดที่วุ่นวาย ภายในวิญญาณของเขายังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการถูกบีบคั้นและทุบตีอย่างต่อเนื่อง
“ซูรุ่ย ยินดีต้อนรับกลับมา”
เสียงของสวีเช่อยังคงนิ่งเรียบราวสายน้ำ
“คุณควรจะพูดว่า ยินดีต้อนรับกลับสู่โลกมนุษย์”
เกิดแสงสีแดงแวบหนึ่งในดวงตาของซูรุ่ย ร่างกายยังคงส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเห็นแสงแวบหนึ่งภายในตาของซูรุ่ย แววตาของสวีเช่อก็เปล่งประกาย “คุณช่างน่าทึ่งเสียจริง ไม่เคยมีใครที่กลับมาจากดินแดนนักโทษและยังมีชีวิตชีวาขนาดนี้”
“จริงหรือ?”
ซูรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “นั่นเป็นเพราะว่าผมมีภรรยาที่มากความสามารถ คุณรู้ใช่ไหม?”
“อืม”
สวีเช่อพยักหน้า “ผมได้อ่านบทภารกิจไถ่บาปของเธอแล้ว เธอทำได้ดีมากจริง ๆ”
มีตกใจบ้างแต่ก็ไม่ได้รับอันตราย นับว่าโชคดีไม่น้อย
“ไม่คิดว่าคุณจะเป็นห่วงเธอขนาดนี้?”
ซูรุ่ยก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและมองสวีเช่อที่อยู่ตรงหน้าของตนอย่างแน่วแน่ “ผมไม่สนว่าคุณกับเธอเคยมีเรื่องอะไรกัน ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงของผม ผู้หญิงของผม และไม่ต้องการให้ผู้ชายคนอื่นมาคอยเป็นห่วงอีก”
“โอ้?”
สวีเช่อกลับรู้สึกสนุก เขามองซูรุ่ยด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน “ซูรุ่ย คุณรู้ไหม? ช่วงนี้อันดับของคุณร่วงลงมาอีกแล้วนะ”
“แล้วยังไง? ผมมีความสุขดี”
แม่ทัพซูแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ และเขาก็เต็มใจที่จะโดนหักคะแนนเพื่อจะได้ตามภรรยาของเขาไปทุกที่
“ที่จริงผมแค่อยากบอกคุณ…”
สวีเช่อหยุดครู่หนึ่ง และมองซูรุ่ยด้วยแววตาแหลมคม “ที่ผมเป็นหมายเลขหนึ่งของฝ่ายนี้ เป็นเพราะว่า บนโลกใบนี้ไม่มีภารกิจไหนที่ผมทำไม่สำเร็จ”
“นี่ท่านหัวหน้าฝ่ายกำลังท้ารบผมอยู่หรือเปล่า?”
ซูรุ่ยเริ่มมีท่าทีที่จริงจังขึ้น เขามองสวีเช่อที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา
“เปล่า ไม่ใช่การท้ารบ ผม…แค่อยากรู้ว่า…”
อะไร คือความรัก
สวีเช่อไม่ทันได้พูดคำที่เหลือออกมา เพราะในตอนนี้เสียงเครื่องรับส่งสัญญาณของซูรุ่ยดังขึ้น อันที่จริงแล้วเป็นเสียงของเครื่องแสดงพิกัดของเขาที่ดังขึ้น
ซูหว่านกำลังเข้าสู่ภารกิจอย่างร้อนอกร้อนใจ
“ผมต้องทำภารกิจแล้ว”
ซูรุ่ยโบกมือและเดินผ่านตัวสวีเช่อไป ในขณะที่เดินกระทบไหล่นั้น แววตาของเขาหม่นลง ก่อนพูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ
สวีเช่อ คุณเป็นได้เพียงอดีตของซูหว่านตลอดกาล ส่วนผม เป็นปัจจุบันและอนาคตของเธอ