ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 6 ลอยนวล (6)
เมื่อฝานเคอและหลิวอวี่กลับออกไป พวกเขาได้ทิ้งเบอร์ติดต่อของตนเองไว้ให้ซูหว่านตามปกติ ในตอนนี้ซูหว่านกำลังนั่งมองดูรายชื่อ “เจ้าหน้าที่ฝาน” ทั้งสองในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เธออดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
“ฝานเคอ” นายเป็นเทวดามาจากไหนกันแน่นะ?
“ฮัดชิ้ว!”
ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามคอนโดของซูหว่านมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังใช้กล้องส่องทางไกลอยู่ จู่ ๆ เขาก็จามออกมาโดยไม่มีสาเหตุ
“มีใครคิดถึงฉันอีกแล้วเนี่ย?”
ชายหนุ่มเอามือถูจมูกไปมา และในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มมองดูสายเรียกเข้านั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กดปุ่มรับสาย ทันทีที่กดรับสาย ก็มีเสียงโกรธฮึดฮัดดังลอดมาจากปลายสาย “เซี่ยวจิน นายเอาชื่อของฉันไปแอบอ้างข้างนอกอีกแล้วนะ ฉันจะจับนายเข้าคุกด้วยข้อหาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจซะเลยดีไหม?”
“อุ้ย”
เซี่ยวจินนั่งลงบนโซฟา กดเปิดสปีกเกอร์โฟนด้วยความขี้เกียจ “ฝานเคอ นายอย่าโมโหขนาดนั้นสิ เมื่อกี้นี้ฉันเห็นนายหน้าดำคล่ำเครียดอยู่ตลอดเวลา ช่วงนี้ชีวิตกลางคืนของนายไม่สมดุลหรือไง ฮอร์โมนถึงได้แปรปรวนแบบนี้?”
“นายปล่อย…เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ นายเห็นฉันหรอ? นี่นายอยู่ที่ไหน? ตรงข้ามคอนโดของซย่าอวี่ซานงั้นหรอ? เซี่ยวจิน นายบ้าไปแล้วหรือไง? ตอนนี้นายไม่ใช่ตำรวจแล้วนะ! นายอย่ามาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้! ”
เสียงของฝานเคอในโทรศัพท์นั้นร้อนรนเป็นอย่างมาก
เซี่ยวจินเอนตัวไปผิงกับผนักผิงของโซฟา “ฝานเคอ นายไม่ต้องมาสนใจเรื่องของฉันหรอก ฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องการสืบสวนของพวกนาย ฉันก็แค่… นายน่าจะเข้าใจนะ ความรู้สึกของแฟนคลับตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยากจะปกป้องไอดอลของตัวเองน่ะ”
“ความรู้สึกบ้าบอของนายน่ะสิ”
ฝานเคอที่อยู่ปลายสายอดที่จะด่าออกมาไม่ได้ “ก็แค่เพลงความฝันฤดูร้อน ที่ป้าทั่วทั้งตลาดร้องกันได้เนี่ยนะ ถ้านายเจ๋งจริงล่ะก็ ลองร้องเพลงอื่นของซย่าอวี่ซานมาสักเพลงสิ แค่เพลงเดียวก็พอ!”
เซี่ยวจิน “…”
ที่เขาว่ากันว่าเพื่อนที่ไม่กลัวตาย ก็คงจะพูดถึงเพื่อนแบบนายสินะ หืม?
“โอ๊ย ฉันปวดท้องไม่ไหวแล้ว ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ แค่นี้แหละ!”
“ฮัลโหล ฮัลโหล…”
ไม่เหลือโอกาสใด ๆ ให้ฝานเคอได้พูดต่อ เซี่ยวจินรีบกดตัดสายในทันที
เซี่ยวจินลุกขึ้นมาจากโซฟา เขาเหลือบไปมองโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งของตัวเองที่ปิดเครื่องอยู่
ในแววตาของเขามีความสับสนและก็ความคาดหวังในขณะเดียวกัน
เข้าก้มลงไปหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมา เซี่ยวจินกดเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือพร้อมกับเดินไปที่หน้าต่าง เมื่อมองจากกล้องส่องทางไกล เขาสามารถมองเห็นห้องรับแขกในบ้านของซย่าอวี่ซานได้อย่างชัดเจน
เฮอะ น่าเสียดายจริง ๆ ทำไมถึงมองไม่เห็นห้องนอนของซย่าอวี่ซานนะ?
เซี่ยวจินสูดลมหายใจเข้า และมองดูซย่าอวี่ซานที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา ในมือของเธอถือโทรศัพท์เอาไว้ แต่สายตาของเธอช่างว่างเปล่านัก
เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ? คิดเรื่องสวีจื่อหมิงงั้นเหรอ?
หลังจากนั่งเหม่อลอยอยู่สักพัก ซย่าอวี่ซานก็ลุกขึ้นยืน และเปิดโฮมเธียเตอร์ในบ้าน จากภาพที่ฉายออกมา สามารถมองเห็นได้ว่าเธอกำลังเปิดอัลบัมของตัวเองฟังอยู่
เอาเถอะ อันที่จริงแล้วราชินีเพลงก็หลงตัวเองอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
เซี่ยวจินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา รอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาของเขา
ที่จริงแล้วฉันเป็นแฟนคลับของซย่าอวี่ซานจริง ๆ นะ ทำไมฝานเคอไม่ยอมเชื่อฉันบ้างนะ?
……
แสงสีของเมืองในยามราตรีนั้นสวยงาม แต่ทว่าก็อันตราย
ซูหว่านอยู่แต่ในห้องมาทั้งวัน และเมื่อเธอมาเปิดตู้เย็นดูในตอนดึก เธอก็เพิ่งจะค้นพบปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด ในบ้านไม่มีของกินเลย!
ดูเหมือนว่าซย่าอวี่ซานคงไม่ค่อยได้ทำอาหารกินเองที่บ้าน ของในตู้เย็นมีไม่มาก เป็นนมกับเครื่องดื่มเสียส่วนใหญ่
ซูหว่านผู้น่าสงสาร ตอนเที่ยงก็มัวแต่นั่งคิดนู่นคิดนี่ ได้กินไปเพียงแค่ผลไม้ไปนิดหน่อย ตอนนี้กระเพาะของเธอกำลังประท้วงอย่างหนักหน่วงเลยล่ะ
โทรหาพี่เฉิงดีไหม?
ไม่ได้ ถ้าหากว่าพี่เฉิงเกิดสงสัยขึ้นมาล่ะ?
แต่ถ้าออกไปข้างนอกเอง แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะ?
ซูหว่านลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดเธอก็ค้นเจอเครื่องซ็อตไฟฟ้าสำหรับผู้หญิงและสเปรย์พริกไทยในห้องนอนของซย่าอวี่ซาน เธอจึงใส่เสื้อฮูด สวมหน้ากาก แล้วรีบเดินลงไปข้างล่างทันที
ไฟถนนหน้าคอนโดนั้นค่อนข้างสว่าง เวลานี้ยังคงมีเจ้าของบ้านบางคนที่เพิ่งจะกลับเข้ามาและขับรถผ่านซูหว่านไป พนักงานรักษาความปลอดภัยในโครงการก็กำลังทำหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อยอย่างเคร่งครัด มองดูทุกซอกทุกมุมก็มีกล้องวงจรปิดติดตั้งเอาไว้ เมื่อเห็นแบบนี้ซูหว่านก็ค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย
เอาเถอะ อย่าหาว่าเธอขี้ขลาดเลย เธอแค่รักตัวกลัวตายมากจริง ๆ
ตรงข้ามกับโครงการที่พักอาศัยอยู่นั้นเป็นห้างสรรสินค้า โชคดีที่ห้างยังเปิดคงให้บริการอยู่ ซูหว่านจึงเดินตรงไปยังศูนย์อาหารที่ชั้นหนึ่งเพื่อรับประทานอาหารก่อน หลังจากนั้นก็ลงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นใต้ดินเพื่อหาซื้ออาหารสำหรับหนึ่งเดือน ใช่แล้ว ซูหว่านเป็นคนซื้อของโหดแบบนี้แหละ
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว คนในซุปเปอร์จึงไม่เยอะมากนัก ซูหว่านเลือกซื้อพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเกี๊ยวแช่แข็ง สุดท้ายเธอก็ไปโซนขายเนื้อสัตว์เพื่อเลือกซื้อเนื้อสำหรับทำสเต็กอยู่ครู่ใหญ่ เธอได้เนื้อเกรดดีไว้สำหรับทำสเต็กมาหลายชิ้น เมื่อเลือกเนื้อเสร็จซูหว่านก็หันกลับไปยังรถเข็นของตัวเอง ทันใดนั้นก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น
ให้ตายเหอะ!
ใครมายุ่งกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของฉันเนี่ย?
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในรถเข็นได้อันตรธานหายไป!
ใครกัน?
ซูหว่านหันไปมองรอบข้างอย่างระมัดระวัง น่าเสียดายที่ไม่พบผู้ต้องสงสัยเลยสักคน แต่เธอรู้ดีว่าคนคนนั้นจะต้องอยู่บริเวณใกล้ ๆ อย่างแน่นอน
ซูหว่านเอาเนื้อสเต็กวางลงไปในรถเข็น แล้วไปเลือกซื้อพวกของกินเล่นและของใช้สำหรับผู้หญิงต่อ ครั้งนี้เธอตั้งใจเดินห่างออกไปไกลกว่าเดิม แล้วแอบอ้อมกลับไปหลบอยู่อีกแถวหนึ่งของชั้นวางสินค้าเพื่อแอบมองดูรถเข็นของตัวเองอยู่ห่าง ๆ ทว่าเธอแอบมองอยู่ตั้งนานแต่กลับไม่มีใครเข้าใกล้บริเวณนั้นเลย กลับกลายเป็นว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เห็นว่าซูหว่านแต่งตัวลึกลับแถมยังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ จึงจับตามองเธออย่างช่วยไม่ได้
ซูหว่าน “…”
เมื่อเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต ซูหว่านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
ความรู้สึกที่ถูกคนคอยติดตามจับจ้องอยู่ตลอดเวลาแบบนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย
เธอถือถุงเล็กใหญ่รวมกันหลายใบพลางเดินข้ามถนนด้วยสภาพจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก และในเวลานั้นเอง มีรถสปอร์ตสีเทาคันหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยความเร็ว
“ระวัง!”
ทันใดนั้นเองเสียงทุ่มต่ำของผู้ชายดังขึ้นที่ข้างหูของซูหว่าน กว่าเธอจะได้สติกลับมา เธอก็ถูกดึงตัวมาอยู่ยืนอยู่ที่ริมถนนแล้ว ข้าวของในถุงช้อปปิ้งกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น ซูหว่านรีบหันหน้าไปมองด้านหลังเพื่อจะดูว่าใครที่ช่วยชีวิตเธอไว้ ปรากฏว่าในเสี้ยววินาทีที่เธอหันไป เธอทันเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินผ่านมุมถนนและหายไปแล้ว
นั่นมัน…
หัวใจของซูหว่านเต้นรัวขึ้นมาทันที เธออยากที่จะวิ่งตามผู้ชายคนนั้นไป แต่ทว่าคนที่อยู่ข้างตัวกลับดึงแขนของเธอเอาไว้ “ซย่าอวี่ซาน คุณกำลังทำอะไรอยู่?”
“หืม?”
ซูหว่านหันกลับมามองดูคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง เขาคือ “ฝานเคอ”
“ฝานเคอ? ไม่สิ คุณไม่ใช่ฝานเคอ คุณเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องปลอมตัวเป็นตำรวจมาเข้าใกล้ฉันด้วย?”
เมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ซูหว่านก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างหวาดระแวง
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอกครับ ผมไม่ใช่คนร้าย”
ชายหนุ่มส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดให้ซูหว่าน “ผมชื่อเซี่ยวจิน เมื่อก่อนผมเคยเป็นตำรวจนายหนึ่ง ส่วนตอนนี้…ผมเป็นนักสืบเอกชน”
นักสืบเซี่ยวจิน
“นักสืบ” เป็นอาชีพที่ไม่เลวเลย หากเมื่อไหร่มีนักสืบเข้ามาปรากฏตัวในคดีที่จัดการได้ยากแล้วล่ะก็ เหล่าคุณตำรวจทั้งหลายก็แทบจะกลายเป็นตัวประกอบไปในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูหว่านลอบสังเกตเซี่ยวจินอย่างเงียบ ๆ ใช่แล้ว บนตัวของผู้ชายคนนี้มีลักษณะพิเศษบางอย่าง และลักษณะพิเศษที่ว่านี้ ถ้าจะต้องให้คำนิยามแล้วล่ะก็ คำนั้นก็คือ ราศีพระเอก!
เซี่ยวจิน พระเอกของโลกใบนี้
ซูหว่านรู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของบทบาทในโลกนี้อย่างช้า ๆ
“นักสืบ?”
เธอมองไปที่เซี่ยวจินด้วยสีหน้าสงสัย “คุณสะกดรอยตามคอยจับจ้องฉันอยู่ตลอด? คุณเป็นคนหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของฉันไปใช่ไหม?”
เซี่ยวจิน “…”
ผมเกลียดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่สุดเลย
“เปล่าครับ ผมไม่ได้สะกดรอยตามคุณ ผมแค่ปกป้องคุณ อีกอย่าง ผมไม่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็เลยอยากจะขอให้คุณกินมันน้อย ๆ หน่อย”
เซี่ยวจินตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“คุณปกป้องฉัน? แต่ฉันไม่รู้จักคุณเลยนะ”
ซูหว่านถามด้วยความสงสัย จากนั้นจึงย่อตัวลงเพื่อเก็บข้าวของที่หล่นกระจายอยู่บนพื้น
“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเราเคยเจอกันมาก่อนครั้งหนึ่ง”
สายตาของเซี่ยวจินจับจ้องไปที่ดวงตาของซูหว่านอย่างไม่วางตา “ครึ่งปีก่อน ในงานศพของสวีจื่อหมิง”
ครึ่งปีก่อน ในงานศพ
ร่างกายของซูหว่านแข็งทื่อในทันที สีหน้าของเธอดูย่ำแย่มาก
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องที่ทำให้คุณเสียใจ”
เซี่ยวจินนั่งลงเพื่อช่วยซูหว่านเก็บของ “เถ้าแก่สวีเป็นคนจ้างวานผม ให้ผมตรวจสอบสืบหาความจริงในการตายของสวีจื่อหมิง ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ผมไม่พบข้อมูลอะไรเลย จนกระทั่ง…”
เซี่ยวจินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่คำพูดของเขากลับทำให้หัวใจของซูหว่านเต้นรัวราวกับถูกคลื่นลูกใหญ่ซัด
เธอยื่นมือมาจับข้อมือของเซี่ยวจินไว้แน่น “คุณพูดว่า…อะไรนะ? จื่อหมิงเขา เขาไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุ? หรือว่าเขาจะถูก…ลอบฆ่าอย่างนั้นหรอ?”