ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 11 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (11)
หุบเขาในป่าลึก กลิ่นหอมของดอกไม้ที่หอมฟุ้งกระชายทั่วทั้งป่า ต้นหญ้าสีเขียวพลิ้วไสว ที่ป่าและหุบเขาที่สวยงามแห่งนี้ยังมีลำธารเล็กๆ ที่มีน้ำใสบริสุทธิ์คอยไหลผ่าน
“ที่แท้ลำธารนี้ก็ยังอยู่”
ขณะนี้ซูหว่านและซูรุ่ยลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย และทั้งคู่ก็ร่อนลงตรงข้างลำธารใสนี้อย่างพอดิบพอดี
“อาบน้ำสักหน่อยไหม”
ซูรุ่ยกอดซูหว่านจากด้านหลังพร้อมกับกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของนาง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“อย่าซน น้ำนี้คือน้ำที่คนในหมู่บ้านเขาดื่มกัน”
ซูหว่านอดยิ้มตามไม่ได้ พลางตีแขนของซูรุ่ยเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “คนในหมู่บ้านนี้ก็ใช้ชีวิตไม่ง่ายนะ ต้องพึ่งพาภูเขาและธารน้ำเพื่อใช้ดื่มใช้กิน หลายปีมานี้ ที่นี่ไม่เคยมีนักอัญเชิญปรากฏให้เห็นเลย ส่วนมากผู้คนในหมู่บ้านตระกูลซูแห่งนี้ก็อาศัยการล่าสัตว์ตามภูเขาเลี้ยงชีพ”
อันที่จริงตอนซูหว่านเจ้าของร่างเดิมถูกเลือกเข้าตระกูลนั้น นางมีโอกาสพาบิดามารดาไปเมืองเหมยเท่อด้วย แต่คนที่หมู่บ้านแห่งนี้ใช้ชีวิตเรียบง่าย บิดามารดาของนางเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังวิญญาณ พวกเขากลัวเป็นภาระให้กับบุตรสาว อีกอย่างกลัวว่าจะไม่ชินกับชีวิตในเมืองเหมยเท่อ ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงยังอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลซูแห่งนี้มาโดยตลอด
ในตอนที่ซูหว่านกำลังย้อนนึกถึงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น นางก็ถูกซูรุ่ยกดไว้ที่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ของหมู่บ้าน “ภรรยา เราตกลงกันแล้วนะว่าเราจะทำเรื่องที่มีประโยชน์กัน แต่นี่ยังไม่ทันไรก็เหม่อลอยอีกแล้ว สมควรโดนลงโทษ”
กล่าวพร้อมกับลงโทษด้วยการกดจูบลงไปบนริมฝีปากของซูหว่าน ส่วนมือใหญ่ทั้งคู่ก็ปลดเสื้อคลุมสีครามของนางที่เป็นเสื้อคลุมตัวแทนของนักอัญเชิญระดับกลางออก
“อืม”
ซูหว่านส่งเสียงหอบออกมาเล็กน้อย เนื่องด้วยความประหม่าแขนทั้งสองจึงโอบรอบคอของซูรุ่ยแน่น “ซู ซูรุ่ย ที่นี่อาจจะมีคน”
ในความทรงจำของซูหว่าน คนในหมู่บ้านต้องเข้ามาล่าสัตว์ที่ภูเขาทุกวัน แม้ว่าสภาพอากาศในฤดูหนาวจะเลวร้ายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ต้องขึ้นภูเขาฝ่าลมหิมะเพื่อเอาชีวิตรอด
“กลัวอะไร”
มือของซูรุ่ยสัมผัสผิวอบอุ่นของซูหว่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “พวกเขามากวนพวกเราไม่ได้ ภรรยาคนดี ผ่อนคลายหน่อย”
ขณะพูด ซูรุ่ยก็จูบลงบนริมฝีปากของซู่หว่านอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีแสงของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมา ร่างกายของทั้งสองต่างกอดกระหวัดรัดเกี่ยวกัน
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นไม่ไกล
นั่นเป็น…
เป็นเสียงผิวปากของเหล่านายพรานในหมู่บ้านตระกูลซูซึ่งจะใช้กันในกรณีฉุกเฉิน
ดวงตาที่กำลังเคลิบเคลิ้มของซูหว่านพลันได้สติกลับมา “ซูรุ่ย มีคนมา”
แม้ว่าทุกวันนี้ นางเคยชินกับการอยู่กับแม่ทัพซูโดยไม่ละอาย แต่นั่นคืออยู่ที่บ้านของตัวเอง จะเกลือกจะกลิ้งบนเตียงนอนอย่างไรก็สามารถทำได้
แต่ตอนนี้อยู่ในที่ค่อนข้างทุรกันดาร ไม่เพียงแต่มีอสูรป่าบนภูเขาอยู่นับไม่ถ้วน และเหล่านายพรานก็สามารถเดินผ่านมาได้ทุกเวลาเช่นเดียวกัน นี่มันจะลุ้นระทึกมากเกินไปแล้ว ซูหว่านรู้สึกว่าตัวเองกลัวอยู่ไม่น้อย
ซูรุ่ยเองย่อมได้ยินเสียงผิวปากนั่น แต่แม่ทัพซูเองผู้บุกโจมตีเมืองมาแล้วกว่าครึ่ง เขาไหนเลยจะละทิ้งเมืองแล้วจากไป
คนคนนี้ จะทำอะไรก็ต้องทำให้จบ อืมๆ
“ภรรยา กอดผมแน่นๆ”
ขณะกำลังกล่าว พลังวิญญาณในร่างกายของซูรุ่ยก็เริ่มโคจร ร่างของทั้งสองคนก็กระโดดขึ้นทันที ในตอนนี้ร่างกายของซูหว่านแทบจะเกยอยู่บนร่างของซูรุ่ย ทั้งสองยืนอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ โชคดีที่ต้นไม้ต้นนี้เก่าแก่ กิ่งก้านหนามาก สามารถรับน้ำหนักของทั้งสองคนได้อย่างสบาย
“ตรงนี้มีกิ่งไม้ใบไม้ที่ค่อนข้างเยอะ พวกเขามองไม่เห็นเราหรอกนะ”
ถึงแม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากไม่ไกล แต่แม่ทัพซูก็ไม่วายที่จะก้มลงกดจูบหนักเข้าที่ริมฝีปากของซูหว่านอีกครั้ง เขาจ้องมองริมฝีปากของนางพร้อมกับค่อยเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เพิ่มน้ำหนักจูบให้รุนแรงยิ่งขึ้น ไม่พูดไม่ได้ว่าทักษะในการจูบของแม่ทัพซูนี้ทั้งช่ำชองและคล่องแคล่วไม่ธรรมดา คงเป็นเพราะช่วงนี้ได้ฝึกซ้อมบ่อย
ซูหว่านถูกซูรุ่ยจูบจนตอนนี้สมองขาวโพลน ร่างกายตอนนี้แทบจะไม่มีแรงเสียด้วยซ้ำ ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือการให้ความร่วมมือกับการจูบของเขา และในเวลานี้ เสียงผู้คนพูดคุยกันก็อยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่..
“ท่านลุงเต๋อ ทำไมไม่เห็นหมูป่าตัวนั้นแล้วล่ะ เมื่อครู่ข้ายังเห็นว่ามันวิ่งผ่านมาทางนี้นี่”
ชายหนุ่มผิวสีเข้มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่มแล้ว ชายที่อยู่ด้านหลังซึ่งถูกเรียกว่าท่านลุงเต๋อเองก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็นั่งยองลงดูร่องรอยจากใบไม้ที่ร่วงอยู่ตรงพื้นดิน จากนั้นก็หยิบขึ้นมาดม “นี่มัน…”
สีหน้าของท่านลุงเต๋อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“มีอะไรหรือหท่านลุงเต๋อ เอ้อร์ชวน หมูป่าตัวใหญ่ที่เจ้าว่าล่ะ”
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามา ที่หลังของพวกเขามีซองธนูพาดอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ยินเสียงผิวปากจึงรีบตรงมายังที่ตรงนี้
“ทุกคนอย่าส่งเสียง!”
ท่านลุงเต๋อกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรนพร้อมกับมองซ้ายมองขวาหมุนกายไปรอบๆ “เมื่อครู่ ข้าได้กลิ่นสัตว์มารระดับสูงจากพื้นหญ้า”
“อะไรนะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของท่านลุงเต๋อ ทุกคนต่างก็พากันแตกตื่น ที่ภูเขาแห่งนี้อย่าว่าแต่สัตว์มารระดับสูงเลย ต่อให้เป็นเพียงแค่สัตว์มารระดับต่ำโผล่มา พวกเขาก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าจะรับมืออย่างไรได้~
“ท่านลุงเต๋อ ลุงไม่ได้ดมผิดแน่นะ”
คนที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา แต่ชายหนุ่มที่ชื่อเอ้อร์ชวนคนนั้นพลันขมวดคิ้ว “ท่านลุงเต๋อเคยพลาดด้วยหรือ”
เพียงแค่คำพูดเดียวของเขา ทำให้ชายที่อยู่ด้านข้างถึงกับหุบปากลง
“ทุกคนก็อย่าได้ตื่นตระหนกไป”
เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ด้านหลังพากันตึงเครียด ท่านลุงเต๋อจึงกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “นี่คือกลิ่นของสัตว์มารระดับสูง อินทรีล่าสายลม โดยปกติแล้วสัตว์มารระดับสูงชนิดนี้จะเป็นพาหนะของนักอัญเชิญระดับสูง หมูป่าตัวเมื่อครู่คงจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของอินทรีล่าสายลมได้กระมัง ถึงได้ไปซ่อนตัว ถ้าให้ข้าเดา ข้าว่าสัตว์มารตนนั้นคงพร้อมกับนักอัญเชิญ พวกเขาอาจจะแค่ผ่านทางมาก็เท่านั้น ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะไปแล้วก็ได้”
“อะไรนะ “
เมื่อได้ยินคำอธิบายของท่านลุงเต๋อ กลุ่มคนก็เริ่มมีการพูดคุยกันเสียงดังอีกครั้ง
อินทรีล่าสายลม! นักอัญเชิญระดับสูง!
นั่นคือทั้งหมดที่เคยกล่าวเอาไว้ในตำนาน!
เมื่อได้ยินเสียงยกย่องชื่นชมจากทุกคน เอ้อร์ชวนที่อยู่ข้างๆ ก็กัดริมฝีปากแน่น “มีอะไรน่าอิจฉากัน พี่หญิงเสี่ยวหว่านบ้านท่านลุงเต๋อเองก็เป็นนักอัญเชิญ! นางคือคนที่เก่งที่สุดให้หมู่บ้านตระกูลซูของพวกเรา รอให้ถึงช่วงปีใหม่นางกลับมา ก็สามารถขี่อินทรีล่าสายลมได้เช่นกัน!”
โครม
ก่อนที่เอ้อร์ชวนจะได้กล่าวต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากต้นไม้ใหญ่
ต้องโทษที่แม่ทัพซูผู้คาดไม่ถึงว่าคนที่อยู่ใต้ต้นไม้นั่นคือพ่อตาของตนเอง จึงเสียหลัก จนชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ เข้าให้
เมื่อเห็นกิ่งไม้หักหล่นลงมาจากต้นไม้ กลุ่มคนที่อยู่ข้างต้นไม้ก็ไม่กล้าขยับ
“ใคร”
ล้วนพูดกันว่าลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ เอ้อร์ชวนพลันวิ่งไปยังต้นไม้เก่าแก่นั่น แต่เพราะต้นไม้นั้นปกคลุมไปด้วยกิ่งก้านและมีใบไม้ที่หนาแน่นจึงทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย
“อย่าเพิ่งตระหนก น่าจะแค่ลมพัด”
เหล่านายพรานอาวุโสที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเดินไปใต้ต้นไม้แล้วหยิบกิ่งไม้หักบนพื้นขึ้นมามองดูทีหนึ่ง
โบร๋ว…
เวลานั้นเองก็มีเสียงหอนดังขึ้นไม่ไกล ทุกคนต่างมองหน้ากันและคว้าคันธนูของตัวเองแล้วรีบวิ่งไปในทันที
รอจนคนกลุ่มนั้นวิ่งไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ต้นไม้จึงเริ่มขยับ ซูรุ่ยจึงพาซูหว่านกระโดดลงมาจากต้นไม้
ในเวลานี้ใบหน้าของซูหว่านเองยังคงแดงระเรื่อ เมื่อครู่นางรู้อยู่ก่อนแล้วว่านั่นเป็นเสียงของซูเต๋อ แต่ตอนนั้นนางเองก็ไม่กล้าขยับเพราะเกรงว่าจะถูกจับได้
ถึงแม้ซูหว่านไม่ใส่ใจที่จะมีประสบการณ์ใหม่ๆ น่าตื่นเต้นกับผู้ชายที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นของนาง แต่คราวนี้นางเป็นตัวแทนของเจ้าของร่างเดิมที่กลับมายังบ้าน ถ้าเกิดว่าถูกจับได้นางคงไม่มีหน้าที่จะไปพบกับคนในครอบครัวแน่ๆ
“ฮู้ว”
และเวลานี้เอง แม่ทัพซูที่พึงพอใจอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา “ภรรยา ดูท่าแล้วพ่อคุณคงไม่ใช่คนธรรมดาๆ นะ”
ซูเต๋อ…
ซูหว่านมีท่าทีที่เคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าหากว่าซูเต๋อเป็นเพียงแค่ชาวบ้านคนธรรมดา แล้วจะรู้ได้อย่างไรกันว่านั่นคือกลิ่นของสัตว์มารเพียงแค่เขาใช้จมูกดมเพียงเท่านั้น
นี่คือทักษะการแยกแยะสัตว์มาร มีเพียงนักอัญเชิญรับจ้างผู้ผ่านความเป็นตายในเทือกเขาลั่วรื่อมาหลายปีเท่านั้นจึงจะมีทักษะพิเศษแบบนี้ได้
หรือว่าซูเต๋อจะมีฐานะอะไรปิดบังเอาไว้อยู่
นี่ทำให้ซูหว่านงุนงง เพราะว่าในเนื้อเรื่องเดิมนั้นหมู่บ้านซูจะถูกคลื่นอสูรทำลายจนราบ ซูหว่านเจ้าของร่างเดิมก็ถูกซูอู่ใช้เป็นตัวรับกระสุนแล้ว ความลับของพวกเขาจะถูกฝังเอาไว้อยู่ในช่วงเวลานั้น
ถ้าหากว่าตระกูลของซูเต๋อมีความลับอะไรจริงๆ สิ่งเหล่านั้นก็หายไปเช่นกัน…