ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 12 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (12)
พระอาทิตย์ตกดิน แสงที่สุดขอบฟ้าส่องบริเวณรอบหมู่บ้านตระกูลซูเป็นสีแดงสว่างไสว คนในหมู่บ้านต่างยุ่งอยู่กับงานของตน วันนี้ผลงานของเหล่านายพรานนั้นไม่เลวทีเดียว พวกเขาล่าหมูป่าตัวใหญ่เป็นพิเศษมาได้สองตัว
หมูป่าโตเต็มวัยสองตัวพอที่จะแบ่งเนื้อให้คนในหมู่บ้านไปตามแต่ละบ้านได้ไม่น้อยเลยทีเดียว หนังหมูพร้อมขนและกระดูกที่เหลือยังสามารถนำไปแลกเป็นเงินทองจำนวนหนึ่งในเมืองที่ไม่ไกลจากนี่อีกด้วย
ในขณะที่พวกผู้ใหญ่กำลังยุ่งกับการพูดคุยหัวเราะอยู่นั้น เด็กๆ ในหมู่บ้านต่างรวมตัวอยู่หน้าหมู่บ้านมีหัวหน้าครูฝึกของหมู่บ้านเป็นผู้ฝึกสอนให้
เด็กๆ อายุแปดเก้าขวบเหล่านี้ เป็นความหวังของหมู่บ้านตระกูลซู หมู่บ้านนี้ให้กำเนิดซูหว่านขึ้นมา ได้รับรางวัลจำนวนมากจากบ้านหลักของตระกูลซู และเงินรางวัลที่ได้มานั้นใช้เป็นเงินทุนในการฝึกซ้อมของเด็กๆ เหล่านี้
หัวหน้าครูฝึกของหมู่บ้านตระกูลซูแซ่จาง เขาเป็นคนเดียวที่ใช้แซ่อื่น และเป็นส่วนน้อยของคนที่ปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จในหมู่บ้าน แม้ว่าตลอดชีวิตนี้ เขาจะเป็นเพียงแค่นักอัญเชิญขั้นเก้าซึ่งเป็นขั้นต่ำที่สุดของนักอัญเชิญ แต่ก็ไม่อาจจะขวางกั้นจิตใจที่อยากจะแข็งแกร่งขึ้นของเขาได้ ในตอนนี้เขากำลังสอนเด็กๆ เรื่องการทำจิตใจให้สงบนิ่งไร้สิ่งรบกวน ดึงพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ คนที่อัจฉริยะจะสามารถเข้าสู่สภาวะไร้สิ่งรบกวนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นโอกาสในการดึงพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายก็จะสูงไปด้วย เมื่อสามารถดึงพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้ในครั้งแรกแล้วนั้น อนาคตจะสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ เป็นนักอัญเชิญแน่นอน
ขณะที่ซูรุ่ยและซูหว่านเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านอย่างช้าๆ สิ่งที่เห็นก็คือบรรยากาศที่ครึกครื้นเรียบสงบแบบนี้
“นี่ พวกเจ้าเป็นใครกัน”
ในขณะที่กลุ่มเด็กๆ กำลังสงบจิตนั้น กลับมีเด็กชายที่ซุกซนคนหนึ่งแอบลืมตาขึ้น ผลลัพธ์คือเขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาพร้อมแสงตะวันที่กำลังตกดิน
ปีนี้ซูเช่อเพิ่งอายุเจ็ดขวบ จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับซูหว่านมากนัก เขาแค่รู้สึกว่าพี่ชายพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าหน้าตาดีมากทีเดียว อีกทั้งชุดที่ทั้งสองสวมใส่ก็ช่างคุ้นตายิ่งนัก เหมือนกับชุดที่นักอัญเชิญผู้เก่งกาจในสมุดภาพที่หัวหน้าครูฝึกจางถืออยู่นั้นสวมใส่
ในตอนนี้เอง สิ้นเสียงใสๆ ของซูเช่อ เด็กๆ ในบริเวณนั้นต่างก็ลืมตาขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจ
หัวหน้าครูฝึกจางก็ดึงตัวเองออกจากการทำสมาธิ หันมองซูหว่านและซูรุ่ย ชุดยาวสีครามที่มีลวดลายสีเงินตามขอบเป็นชุดที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับนักอัญเชิญระดับกลางสวมใส่
นี่เคยเป็นเป้าหมายที่หัวหน้าครูฝึกจางพยายามจะไปให้ถึงมาโดยตลอด
ส่วนชุดสีขาวเงินปักลวดลายสีทองอร่ามนั้นเป็นสัญลักษณ์ของนักอัญเชิญขั้นสูง เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าครูฝึกจางได้เห็นนักอัญเชิญขั้นสูงในระยะใกล้เพียงนี้ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นหนุ่มรูปงามขนาดนี้!
นี่เป็น…ผู้สืบทอดของตระกูลไหนหรือ หรือจะเป็น…อัจฉริยะจากราชวิทยาลัยนักอัญเชิญกันนะ
ชั่วขณะหนึ่ง หัวหน้าครูฝึกจางนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
และในกลุ่มเด็กๆ เหล่านั้นก็มีเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังกะพริบตาดวงโตของนาง นางมองไปยังซูรุ่ย จากนั้นนางมองไปยังซูหว่าน ในตอนนี้เองดวงตาของนางเป็นประกายขึ้น “พี่หญิงเสี่ยวหว่าน พี่หญิงเสี่ยวหว่าน พี่กลับมาแล้วหรือ”
“อืม”
ซูหว่านส่งยิ้มให้เด็กหญิงคนั้น “ซูเหมย ไม่ได้เจอกันสองปี เจ้าตัวสูงขึ้นไม่น้อยเลยนะ!”
ซูเหมยเป็นน้องสาวของเอ้อร์ชวน และชื่อจริงของเอ้อร์ชวนแน่นอนว่าชื่อซูชวน เป็นลูกคนที่สองของบ้าน ดังนั้นทุกคนจึงเคยชินที่จะเรียกเขาว่าเอ้อร์ชวน (เจ้ารองชวน) แค่นั้นเอง
ที่บ้านของพวกเขาสามพี่น้องดูแลกันและกันมาตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่ข้างบ้านของซูหว่าน ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับซูหว่านเป็นอย่างดี
“คุณหนูสามซู”
ในตอนนี้หัวหน้าครูฝึกจางก็ได้สติมาแล้วเช่นกัน มองซูหว่านอย่างอึ้งๆ ไม่เจอกันสองปี ซูหว่านเปลี่ยนไปมากจริงๆ ใครๆ ต่างกล่าวกันว่าผู้หญิงเมื่อโตขึ้นเปลี่ยนแปลงได้สิบแปดแบบ คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยสักนิด
“หัวหน้าครูฝึกจางไม่ได้พบกันนานเลย”
ซูหว่านยิ้มให้หัวหน้าครูฝึกจางเช่นกัน จากนั้นสายตาไปตกอยู่ด้านในหมู่บ้าน “วันนี้ดูเหมือนจะคึกคักจังนะ!”
“พี่หญิงเสี่ยวหว่าน วันนี้พวกพี่รองล่าหมูป่าตัวใหญ่มากมาได้สองตัวเลย คืนนี้ให้พี่ใหญ่ของข้าตุ๋นเนื้อให้พี่ทานดีไหม พี่ชอบเนื้อตุ๋นฝีมือพี่ใหญ่ที่สุดเลยไม่ใช่หรือ”
เอ่อ
ซูหว่านชะงักไปเล็กน้อย แล้วนึกขึ้นมาได้ พี่ใหญ่ของซูเหมยและซูชวนมีชื่อว่าซูชิง แค่กๆ ซูชิงคนนี้เป็นรักแรกของเจ้าของร่างเดิมซูหว่าน
แน่นอนว่า ที่จริงแล้วก็แค่เพื่อนเล่นสมัยเด็กที่ยังไม่รู้ความ บ้านของซูเต๋อมีบุตรสาวสามคน บ้านของซูชิงมีแค่สามพี่น้อง เพราะบิดามารดาของซูชิงเสียไปเร็วมาก เขาดูแลน้องชายน้องสาวตั้งแต่ยังเด็กมาก ส่วนคู่สามีภรรยาซูเต๋อนั้นจิตใจเมตตา บ้านทั้งสองก็อยู่ใกล้กัน ดังนั้นจึงทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อยๆ วันสำคัญตามเทศกาลต่างๆ ก็อยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของเด็กๆ นั้นจึงดีไปด้วย พี่สาวคนโตและคนรองของซูหว่านอายุมากกว่าซูหว่านมาก ต่างก็แต่งงานออกเรือนไปตั้งนานแล้ว สมัยเด็กซูหว่านจึงเที่ยวเล่นกับซูชิงอยู่บ่อยๆ ในตอนนั้น ทั้งสองต่างก็เป็นอัจฉริยะตัวน้อยของหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็คิดว่าทั้งสองจะต้องเป็นนักอัญเชิญพร้อมกัน จากหมู่บ้านไปเมืองเหมยเท่อพร้อมกัน เสียดายที่ภายหลังซูหว่านประสบความสำเร็จในการปลุกพลังวิญญาณ ส่วนซูชิงกลับไม่สำเร็จ หลังจากนั้นเขาเข้าร่วมกลุ่มล่าสัตว์ของหมู่บ้านกลายเป็นนายพรานที่เก่งที่สุดและอายุน้อยที่สุดของหมู่บ้านตระกูลซู
ตั้งแต่ซูหว่านสามารถอัญเชิญกระบี่วิญญาณออกมาได้ เส้นทางชีวิตของทั้งสองก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าทั้งสองจะเคยมีความรู้สึกดีๆ ที่ยากจะเข้าใจต่อกัน แต่ต่างก็ไม่เคยพูดออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ หลังจากนั้น ทั้งสองต่างก็ยุ่งกับสิ่งที่ตนต้องรับผิดชอบจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
เจ้าของร่างเดิมของซูหว่านเป็นหญิงสาวที่โอหังอวดดีมาก ตอนที่จากหมู่บ้านไปอยู่กับตระกูลหลักนางไปด้วยจิตใจที่ละโมบโลภมากไม่เคยคิดเลยว่าตนจะกลับมายังหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทนี่อีก
นางคิดว่าตัวเองนั้นเกิดมาเป็นหงส์สวรรค์ ไม่ควรถูกกักขังอยู่ในหมู่บ้านอันแสนยากจนแห่งนี้ แต่ต้องสยายปีกบินขึ้นสู่ที่สูง ส่วนซูชิงรวมทั้งคนในหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นเพียงแค่คนรู้จักในอดีตของนางที่ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
คิดถึงตรงนี้ ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจครั้งหนึ่ง แล้วตอบว่า “พี่ไม่ได้ชิมอาหารฝีมือพี่ใหญ่นานมากแล้วจริงๆ”
“แค่กๆ”
ในตอนนี้เองซูรุ่ยที่ถูกทุกคนละเลยอดไม่ได้ที่จะกระแอมไอออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่ของซูหว่าน “ภรรยา ทำไม กลับมาถึงบ้านเกิด ไม่แนะนำให้ข้าหน่อยหรือ”
“คุณหนูสาม ท่านนี้คือ…”
ที่จริงแล้วหัวหน้าครูฝึกจางเห็นซูรุ่ยตั้งนานแล้ว นักอัญเชิญขั้นสูงยืนเด่นขนาดนั้น ใครจะมองไม่เห็น เพียงแต่ฐานะของเขาห่างชั้นขนาดนั้น เขาไม่กล้าเอ่ยปากพูดกับซูรุ่ยโดยพลการ
“ข้าคือซูจั้น”
ในที่สุดตอนนี้หัวหน้าครูฝึกจางก็ถามถึงเขาเสียที ซูรุ่ยยิ้มให้หัวหน้าครูฝึกจาง “ข้าเป็นผู้ชายของซูหว่าน”
ประโยคสุดท้ายซูรุ่ยเน้นเสียงให้หนักขึ้น บ้าจริง ในหุบเขาชนบทขนาดนี้ยังมีคู่แข่งอีกคนซ่อนตัวอยู่ แม่ทัพซูไม่ชอบใจยิ่งนัก แค่ทำอาหารเป็นจะเจ๋งแค่ไหนเชียว
แม่ทัพซูแสดงออกให้เห็นว่าตนนั้นฝึกฝนจนได้คะแนนเต็มตั้งนานแล้ว
เป็นไปตามคาด การจะเป็นสามีที่ดีในยุคสมัยใหม่ ต้องเป็นยอดฝีมือด้านการทำอาหาร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่จะเอาชนะศัตรูได้
“ว้าว!”
“โห!”
ในตอนนี้ ได้ยินคำพูดของซูรุ่ยเมื่อครู่นี้ กลุ่มเด็กๆ ที่กลัวว่าแผ่นดินจะไม่วุ่นวายนี้ต่างอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดขึ้น หัวหน้าครูฝึกจางที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับอึ้งจนพูดไม่ออก
นี่…คุณหนูสามแต่งงานนอกหมู่บ้านแล้วหรือ แถมยังแต่งกับนักอัญเชิญขั้นสูงอีกด้วย
ในขณะที่หัวหน้าครูฝึกจางกำลังอึ้งอยู่นั้น ซูรุ่ยกลับโบกมืออัญเชิญกล่องเหล็กขนาดเล็กสวยงามออกมา ไม่ผิดแน่ นี่เป็นศาสตราวิเศษประเภทหนึ่ง แต่พอตกอยู่ในมือของแม่ทัพซู เพราะคุณลักษณะของมันแย่เกินไป จึงเป็นได้เพียงกล่องใส่ของขวัญเท่านั้น
นักอัญเชิญก็จะสะดวกเช่นนี้ อยากได้อะไร แค่เรียกก็ได้มา แค่ปัดก็หายไป
“เอ้า นี่เป็นของขวัญที่ข้าให้พวกเจ้า”
ซูรุ่ยยิ้มพลางเปิดกล่องใบเล็กเผยให้เห็นลูกอมกลิ่มหอมยั่วยวนที่อยู่ภายในและยังมีเนื้อสัตว์มารตากแห้งที่มีพลังวิญญาณอีกด้วย นี่เป็นของขวัญสุดหรูสำหรับเยี่ยมญาติและผองเพื่อนของเมืองเหมยเท่อ
“มามามา เรียกพี่เขยแล้วพี่จะให้พวกเจ้า” ซูรุ่ยโบกมือไปมาพร้อมส่งรอยยิ้มอันน่าหลงใหลให้กับเด็กๆ
โปรดอภัยที่นางฟ้าตัวน้อยทั้งหลายไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่มากด้วยมารยาขนาดนี้ เพียงครู่เดียวก็ถูกแม่ทัพซูซื้อใจไปหมดแล้ว
“สวัสดีเจ้าค่ะพี่เขย!”
ประโยคนี้ดังขึ้นพร้อมเพรียงกันราวกับลากเป็นเส้นตรง เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครม ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซูรุ่ยกว้างขึ้น และในตอนนี้เองคนในหมู่บ้านที่กำลังยุ่งอยู่นั้นสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นหน้าหมู่บ้านที่สุด
“หัวหน้าครูฝึกจาง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
คนที่อยู่ใกล้หน้าหมู่บ้านที่สุดคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบวิ่งมายังหน้าหมู่บ้าน ผลคือพวกเขาได้ยินเด็กๆ ตอบอย่างพร้อมเพรียงด้วยความตื่นเต้น “พี่หญิงเสี่ยวหว่านพาพี่เขยกลับมาแล้ว!”
ซูรุ่ยนึกในใจ เชื่อฟังดีมาก อย่างคำกล่าวที่ว่าเด็กโตทุกคนล้วนเคยเป็นนางฟ้ามาก่อน