ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 14 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (14)
ค่ำคืนของชุมชนบนเขา เงียบสงบ ลึกเปลี่ยว
ซูชิงไม่ได้ใส่เสื้อคลุม ใส่เพียงแค่เสื้อตัวในบางๆ ออกจากประตูแบบเงียบๆ ในเวลานี้ซูชวนและซูเหมยกำลังนอนหลับสนิด แต่ซูชิงก็ไม่ง่วงเลย
เขาจะนอนหลับได้อย่างไรล่ะ
เงยหน้ามองไปก็จะเห็นบ้านหินอีกหลังหนึ่งที่นอกกำแพงลานบ้าน นั่นเป็นบ้านของท่านลุงเต๋อ ซูชิงไม่ต้องมองไป แค่หลับตาเขาก็สามารถหาที่พักของซูหว่านได้
นางอาศัยอยู่ด้านในสุดของบ้าน ตั้งแต่วัยเด็กนางเป็นคนที่ท่านลุงเต๋อและท่านป้าเต๋อรักมากที่สุด และในวัยเดียวกันเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดที่สุด
ซูชิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ปล่อยให้ตัวเองจัดการความคิด นั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้านคนเดียว พยายามทำตามวิธีที่หัวหน้าครูฝึกจางเคยสอนไว้ ลองเข้าสู่สภาวะตั้งมั่นแห่งจิต
หลายปีที่ผ่านมา เขาฝึกยิงธนูอย่างหนัก ทุกคนคิดว่าเขาเลิกคิดที่จะเป็นนักอัญเชิญแล้ว ความจริงแล้วซูชิงไม่เคยยอมแพ้ ทุกคืนเขาจะฝึกด้วยตัวเองเงียบๆ แม้ว่าสองปีมานี้จะพัฒนาขึ้นทีละเล็กน้อย เขาก็ไม่เคยท้อ…
ใต้แสงจันทร์ เด็กหนุ่มที่ใส่อาภรณ์บางเบา นั่งขัดสมาธิเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน แสงจันทร์สาดส่องทั้งร่างเขา ดูนิ่งสงบอย่างมาก
“พลังจิตแข็งแกร่งมาก นิสัยก็หนักแน่นมาก น่าเสียดาย…”
ซูรุ่ยไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นที่ลานบ้านเมื่อไร มองดูซูชิงที่อยู่อีกลานบ้านอย่างเงียบๆ
“คุณสมบัติแย่มาก ใช่ไหม”
ซูหว่านใส่เสื้อคลุมยาวยืนอยู่ข้างซูรุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “แม้ว่าคุณสมบัติเขาจะแย่ แต่ความพยายามและพลังจิตของเขาแข็งแกร่งมาก เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกวิชาเคลื่อนวิญญาณ คุณจะเลือกเขาไหม”
“ทำไมจะไม่เลือกล่ะ”
ซูรุ่ยยกมือขึ้นแล้วลูบผมยาวของซูหว่าน “ผมเคยใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้นกล้าที่ดีควรแก่การบ่มเพาะ โดยเฉพาะ…”
คำพูดของซูรุ่ยหยุดอยู่ตรงนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาค่อยๆ คลี่ออก…
คิดจะแย่งคนรักของข้าผู้เป็นแม่ทัพ หึๆ ฝันไปเถอะ~
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซูรุ่ยและซูหว่านที่ไม่ได้ทำสงครามกันทั้งคืนตื่นตั้งแต่เช้า ทันทีที่ออกจากบ้าน พวกเขาเห็นซูชิงที่กำลังฝึกฝนร่างกายอยู่ที่ลานบ้านข้างๆ
“อรุณสวัสดิ์!”
ซูชิงเห็นเงาร่างของสองคน อดไม่ได้ที่จะหยุดท่าไว้ ยิ้มและทักทายกับพวกเขา
ภายใต้แสงแดดยามเช้า รอยยิ้มของเด็กหนุ่มช่างเรียบง่ายสดใส
บางทีนี่อาจเป็นเด็กหนุ่มใต้แสงอาทิตย์ลานบ้านข้างๆ ในตำนานก็ได้
“อรุณสวัสดิ์”
ซูหว่านส่งยิ้มให้ซูชิง ซูรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็เบะปากและเหลือบมองซูชิงทั้งตัวจากบนลงล่าง
เช้าตรู่ขนาดนี้ใส่เสื้อผ้าแค่นี้มาฝึกอะไรกัน กล้ามหน้าท้องใครไม่มีเหรอ
แน่นอน เพื่อรักษาเกียรติและความสง่างามของตระกูลซูไว้ ซูรุ่ยจึงไม่สามารถถอดเสื้อแล้วมาเทียบกับอีกฝ่ายได้
รู้สึกถึงความไม่พอใจของซูรุ่ย ซูชิงเอามือลูบหัวของเขาอย่างเขินอาย จากนั้นก็เหลือบมองทั้งสองคนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “ตอนเช้าข้าทำโจ๊กหมูไว้มันยังร้อนอยู่ พวกเจ้าจะกินไหม”
“ไม่ต้องแล้ว”
คราวนี้ซูรุ่ยตอบเร็วกว่าซูหว่านมาก “ภรรยาข้าจะกินอาหารฝีมือข้าเช้านี้ ใช่ไหม ภรรยา?”
เมื่อคืนบ้านซูเต๋อแบ่งเนื้อหมูมาจำนวนหนึ่งด้วย ในตอนนั้นเองแม่ทัพซูจึงตัดสินใจจะเข้าครัวด้วยตัวเอง
“อืม”
ซูหว่านพิงอ้อมแขนของซูรุ่ยและยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็มองซูชิงอย่างขออภัย “ขอบคุณน้ำใจของเจ้านะ รอวันไหนมีโอกาสจะลองชิมฝีมือของเจ้า”
“ได้”
ซูชิงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน จากนั้นจึงเดินไปอีกด้านหนึ่งของลานบ้านเพื่อฝึกฝนต่อ
“ห้องครัวอยู่ไหน”
เวลานี้ซูรุ่ยม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้ว เตรียมจะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่แล้ว
“คุณจริงจังจริงเหรอ”
ซูหว่านมองเขาและยิ้มแปลกๆ “ตอนนี้คุณเป็นนายน้อยใหญ่นะ สิบนิ้วของคุณแทบจะไม่เคยแตะน้ำ (ทำงานบ้าน) เลย ให้ฉันทำดีกว่านะ”
พูดจบ ซูหว่านก็หันหลังแล้วเดินไปที่ครัวอย่างรวดเร็วและคุ้นเคย
ฝีมือการทำอาหารของซูหว่านนั้นอยู่อันดับต้นๆ อย่างแน่นอน แม่ทัพซูได้กินอาหารเช้าสื่อรักจากภรรยาของเขา แม่ทัพซูย่อมดีใจเป็นที่สุด
“ภรรยาคุณระวังหน่อย!”
“น้ำนี้เย็น ผมช่วยคุณล้าง”
…
ต่งเย่ว์เดินเข้าไปในครัวด้วยความงุนงงตั้งแต่เช้า นางเห็นซูหว่านและซูรุ่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัว ซูหว่านกำลังต้มโจ๊ก ในขณะที่ซูรุ่ยกำลังเป็นผู้ช่วยอย่างกระตือรือร้น ทั้งสองกำลังพูดคุยและหัวเราะกัน เป็นภาพบรรยากาศที่ดูอบอุ่นมาก
ต่งเย่ว์ยืนอยู่หน้าประตูห้องครัวเป็นเวลานาน ในความทรงจำของนางบุตรสาวคนเล็กนั้นเย่อหยิ่งมาก ตั้งแต่เด็กจนโตนางไม่เคยเข้าครัวเลย
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ
เป็นเพราะนายน้อยใหญ่หรือเปล่า
ชื่อของซูจั้น ในตระกูลซูเป็นที่คุ้นหูกันอย่างมาก ทั้งตระกูลซูไม่มีใครไม่รู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะของตระกูลซู และอาจจะถูกเลือกเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป
สายตาของต่งเย่ว์ตกกระทบลงบนตัวซูรุ่ย มองออกว่าเขารักและชอบบุตรสาวของตนเองจริงๆ ต่งเย่ว์แย้มยิ้ม แต่เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่าง สีหน้าของนางก็ค่อนข้างซับซ้อน
น่าเสียดายซูชิงก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง แต่ไม่มีวาสนากับเสี่ยวหว่าน
“ไม่ต้องดูแล้ว ไปเตรียมโต๊ะอาหารสักหน่อย เดี๋ยวจะกินข้าวกันแล้ว”
ซูเต๋อไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังต่งเย่ว์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินคำพูดของสามีตัวเอง ต่งเย่ว์ก็พยักหน้าทันที แล้วรีบหันหลังกลับเข้าห้อง ซูเต๋อมองเข้าไปในห้องครัวครู่เดียว ก็ค่อยๆ หันหลังกลับอย่างเงียบๆ
ได้กินอาหารเช้าอันหรูหราอร่อยมาก หลังกินข้าวแม่ทัพซูก็รีบแย่งเก็บโต๊ะอาหาร สรุปได้ว่าลูกเขยที่สามีภรรยาซูเต๋อคาดหวังนั้นทำให้พวกเขาแย้มยิ้มเบิกบาน ดวงตาของต่งเย่ว์เริ่มแดง
ในปีนั้น ยามนางให้กำเนิดซูหว่าน เวลานั้นทั้งคู่ถูกล่าสังหาร พูดได้เลยว่า บุตรสาวคนสุดท้องของพวกเขาเกิดระหว่างความเป็นและความตาย ดังนั้นต่งเย่ว์จึงรักบุตรสาวคนนี้มากมาตั้งแต่นางยังเด็ก
ตอนนี้บุตรสาวโตแล้ว รู้ความแล้ว และยังมีคนรักที่ดีมั่นคงเช่นนี้ ต่งเย่ว์รู้สึกว่าในชีวิตของตนเองนั้น ในที่สุดก็ไม่มีอะไรน่าเสียดายแล้ว…
เช้าตรู่ หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ก็ถึงเวลารวมพลนายพรานในหมู่บ้าน เพราะว่าซูหว่านกลับมาแล้ว วันนี้ซูเต๋อจึงไม่ขึ้นไปบนเขา ซูชวนที่อยู่ข้างบ้านกลับร้องเพลงพลางดึงพี่ชายของเขาขึ้นเขาอย่างมีความสุขแต่เช้า
นี่เป็นวันสุดท้ายของพวกเขาในหมู่บ้านตระกูลซูแล้ว คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อพวกเขาคิดว่าจะสามารถเข้าสู่เมืองเหมยเท่อ ในอนาคตอาจได้เป็นนักอัญเชิญ
อันที่จริง ที่ตื่นเต้นดีใจไม่ใช่เพียงแค่พวกเขา
ความคิดบางอย่างนอนนิ่งอยู่ในใจนานเกินไป เมื่อแสงแห่งความหวังสว่างวาบขึ้นมา มันก็จะส่งผลมาถึงก้นบึ้งหัวใจทันที
หัวหน้าครูฝึกจางมาถึงลานบ้านซูเต๋อตั้งแต่เช้าตรู่ กำลังลังเล ไม่รู้ว่าตัวเองควรก้าวขาเข้าไปในประตูบ้านนี้หรือไม่
“จางจื้อ มาแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน”
ซูเต๋อเห็นหัวหน้าครูฝึกจางที่เดินวนไปมาที่ลานหน้าบ้านตัวเอง รีบเสียงดังเรียกเขาไปที่ลานบ้าน
“พี่เต๋อ”
จางจื้อพยักหน้าให้ซูเต๋อ “คุณหนูสามกับนายน้อยใหญ่ ตื่นแล้วหรือยัง”
“เจ้านี่นะ เรียกคุณหนูสามอะไรกัน เสี่ยวหว่านบ้านพวกข้าและซูจั้นตื่นแต่เช้าแล้ว พวกเขาสองคนกำลังคุยกับแม่ของนางในบ้าน จางจื้อ เจ้ามาหาซูจั้นหรือ”
ที่จริงแล้ว ซูเต๋อมองแวบเดียวก็รู้ความในใจของจางจื้อได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็เป็นคนรู้จักเก่า ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาตรงๆ
“ใช่”
จางจื้อแสดงท่าทีกังวลออกมา “พี่เต๋อ ข้าไม่ใช่คนของตระกูลซู แต่ข้าอยากจะเป็นนักอัญเชิญที่แท้จริง ข้าไม่รู้ว่านายน้อยใหญ่เขา…จะให้โอกาสครั้งนี้กับข้าได้ไหม”
“โอกาสต้องได้มาด้วยความพยายามของตัวเอง เพียงแค่เจ้ามีใจ มุ่งมั่นด้วยใจ ผลลัพธ์ก็จะดีเอง”
ซูเต๋อยิ้มและตบไหล่จางจื้อ “ซูจั้นเป็นเด็กดี เจ้าบอกเขาดีๆ ข้าคิดว่าเขาจะเห็นด้วย”
“อืม”
จางจือได้รับกำลังใจจากซูเต๋อ พยักหน้าตอบรับ กำลังจะก้าวเดินเข้าไปในบ้าน ในตอนนั้นเอง ม่านประตูห้องก็ถูกเปิดออก ซูรุ่ยฉีกยิ้มปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคนอยู่ตรงประตู “ท่านลุงเต๋อ หัวหน้าครูฝึกจางข้าได้ยินสิ่งที่พวกท่านพูดแล้ว หัวหน้าครูฝึกจาง ท่านอยู่ในตระกูลซูของเรามาหลายปีแล้ว ท่านลุงเต๋อไว้ใจท่าน ข้าซูจั้นย่อมเชื่อใจเช่นกัน แต่ว่า หัวหน้าครูฝึกจางเมื่อคุณท่านมาในตระกูลซู จากนี้ไปต้องเปลี่ยนเป็นแซ่ซู ท่านต้องสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อตระกูลซูตลอดไป เหล่านี้ ท่านสามารถทำได้ไหม”
“ได้ ข้าทำได้!”
จางจื้อฟังคำพูดของซูรุ่ยแล้วก็รีบพยักหน้าอย่างจริงจัง หลายปีมานี้เพื่อการฝึกฝนเขาจึงยังไม่มีครอบครัว อีกทั้งครอบครัวของเขา ที่ตายก็ตายไปนานแล้ว ที่แยกย้ายก็แยกย้ายกันไปแล้ว ตอนนี้จางจื้อโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว ให้เขาเปลี่ยนเป็นแซ่ซู เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไรเลย
“ดี”
เมื่อเห็นว่าเขารับคำอย่างรวดเร็ว ซูรุ่ยก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั่นท่านกลับไปเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนี้เข้าเมืองไปกับพวกเรา”
“ได้ได้ได้ ขอบคุณนายน้อยใหญ่! ขอบคุณพี่เต๋อ!”
จางจื้อจากไปอย่างพึงพอใจ ขณะที่ซูรุ่ยยังคงยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาของเขาจ้องไปยังซูเต๋ออย่างลึกซึ้ง “ท่านลุงเต๋อ ท่านต้องการจะเป็นนักอัญเชิญไหม”
นักอัญเชิญ…
ซูเต๋อนิ่งไปครู่เดียว พร้อมยิ้มและส่ายหัว “ข้าแก่แล้ว ข้าไม่ได้คาดหวังและไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก เป็นคนธรรมดาเช่นนี้ดีอยู่แล้ว”
ไม่มีการต่อสู้และเข่นฆ่า ไม่มีการหักหลังและแผนร้าย เป็นเพียงคนธรรมดา ฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือ เกิดแก่เจ็บตาย
นี่ นี่คือชีวิตที่เขาใฝ่หาในยามนี้
“เป็นคนธรรมดาก็ดีมากอยู่แล้ว”
ซูรุ่ยส่งยิ้มให้ซูเต๋อ แล้วหันหลังกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง…
ไม่ว่าซูเต๋อจะเคยผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง เขาล้วนเข้าใจแล้ว ชาตินี้ที่ยังมีอยู่ ยากต่อการลองเปิดใจ