ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 23 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (ปัจฉิมบท)
“ราชันมาร? นาย นายท่าน ทำไมท่านถึง… “
เสี่ยวไป๋มองไปยังซูรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าโดยเหงื่อซึ่งท่วมไปทั้งตัว ร่างที่ใหญ่และขาวโพลนดุจหิมะก้าวถอยหลังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ข้าคือมาร”
ซูรุ่ยเริ่มพูดด้วยที่น้ำเสียงที่กดต่ำ “ตอนนี้เจ้าก็รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของข้าแล้ว ข้าจะให้ทางเลือกกับเจ้าเพียงสองทาง คือยอมจำนน หรือไม่ก็ตาย!”
ให้ตายเถิด จะตายจะหรือจะมีชีวิตรอดมันก็ยากทั้งสองทางเลือกนั่นแหละ! เสี่ยวไป๋กล่าวในใจ
เสี่ยวไป๋ยังคงลังเล นัยน์ตาของซูรุ่ยเปล่งประกาย ตรงใจกลางของฝ่ามือกำลังอัญเชิญกระบี่สั้นสีดำ นี่เป็นกระบี่มารของเขายามอยู่ในห้วงลึก ตั้งแต่ที่เขามาถึงแผ่นดินใหญ่ตงชวน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอัญเชิญมันออกมา
พลังมารทำให้เสี่ยวไป๋ถึงกับหายใจไม่ออก จะตายแล้วหรือ จะตายแล้วหรือ
และในขณะเดียวกันนั้นเอง เสี่ยวไป๋พลันฉุกคิดได้…ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร พวกเขาล้วนแต่สาบสูญไปตั้งแต่หมื่นพันปีที่แล้ว ตอนนี้มนุษย์คือผู้ปกครองโลกใบนี้ ปัญหาระหว่างเทพและมารเหล่านั้นมีความหมายอันใดกันล่ะ
“นายท่าน นายท่าน คือข้า…”
แววตาของเสี่ยวไป๋พลันวาบประกาย กำลังจะเปิดปากพูด แต่ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบ ซูรุ่ยก็ลดกระบี่มารสีดำลง
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเลือกทางไหน!”
และตามมาพร้อมกับเสียงของซูรุ่ยที่กล่าวขึ้น ทั้งเขาและเสี่ยวไป๋นั้นมีพันธสัญญาต่อกัน ทุกความคิดของเขาซูรุ่ยสามารถได้ยินตั้งแต่แรกแล้ว
เสี่ยวไป๋ “…”
รู้แล้วยังจะถามอีก ให้ตายสิ นายท่านนี่มันมารชัดๆ~
ช่วงกลางดึก
ซูอู่ที่กำลังหลับใหลอยู่ภายในห้องของตน ทันใดนั้นภายในจวนก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“นั่นใคร”
ซูอู่ที่มีสัญชาตญาณของนักฆ่ามาทั้งชีวิตพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที แววตาพลันเย็นยะเยือกและเฉียบคมนั่น
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!”
เสียงรีบร้อนของซูเพ่ยก็ดังมาจากนอกห้อง “คุณหนูใหญ่ เปิดประตูเร็วเข้า! เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋ จะไม่ไหวแล้ว!”
“อะไรนะ!”
ซูอู่ที่ตอนนี้อยู่บนเตียงไม่ทันแม้แต่จะสวมเสื้อคลุม สวมเพียงเสื้อตัวในบางๆ รีบพุ่งตรงไปเปิดประตูห้องออกในทันที สีหน้าของซูเพ่ยที่อยู่นอกประตูดูร้อนรน นางกอดก้อนสีขาวเล็กๆ เอาไว้แนบอก
นี่คือ…เสี่ยวไป๋?
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ ตอนนี้เสี่ยวไป๋ไม่ได้มีรูปร่างใหญ่โต เหลือเพียงแค่ก้อนกลมๆ เล็กๆ ดูตัวเล็กกว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมาครั้งแรกเยอะเลย
“มันเป็นอะไร”
ซูอู่ยกมือขึ้นและจับเสี่ยวไป๋เข้ามาไว้ในอ้ออมแขนด้วยความเคยชิน และมองดูพร้อมกับเอ่ยถามซูเพ่ยออกไปด้วยความตึงเครียด
“ข้า ข้าไม่รู้ นายน้อยใหญ่บอกให้ข้าอุ้มมันมาหาท่าน ร่างของมันสั่นเทาไปทั่งร่างทั้งร้อนทั้งหนาวปะปนกันไป ดูท่าแล้วคงจะทรมานอยู่ไม่น้อย”
ซูเพ่ยก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋เป็นอะไร นางเพียงแค่ทำตามคำสั่งของซูรุ่ยเท่านั้น
“เสี่ยวไป๋?”
เมื่อได้ยินซูเพ่ยกล่าวดังนั้น ซูอู่จึงหลับตาลงด้วยความเป็นห่วง ปากก็เอ่ยคำเรียกเบาๆ พร้อมกับมือที่ลูบขนของเสี่ยวไป๋อย่างอ่อนโยน
“เสี่ยวอู่ เสี่ยวอู่เด็กดี”
เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นอายของซูอู่ เสี่ยวไป๋ก็ซุกเข้าอ้อมแขนของนาง อาการเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเช่นนี้ทำให้เสี่ยวไป๋รู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังจะตายจริงๆ
พลังมารเข้าสู่ร่างกาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่อสูรเทพทุกตนจะสามารถผ่านมันไปได้ นายท่าน ท่านช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน
เมื่อได้เห็นร่างของเสี่ยวไป๋ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสั่นเทา ซูอู่เองก็ไร้หนทาง หลังจากที่สั่งให้ซูเพ่ยออกไป นางก็อุ้มเสี่ยวไป๋ไปยังเตียงนอนของตัวเอง นางทำเหมือนกับเมื่อก่อน ให้มันได้นอนบนเตียงที่อบอุ่น และมือของซูหว่านก็วางแตะไปบนร่างของเสี่ยวไป๋ นางถ่ายทอดพลังวิญญาณของนางให้กับมันอย่างช้าๆ ทำเช่นนี้อยู่สักพัก ในที่สุดความหนาวเหน็บที่มีของเสี่ยวไป๋ก็ค่อยๆ จางหายไป และมีเส้นสีขาวนวลพร่างพราวค่อยๆ ห่อหุ้มร่างของเสี่ยวไป๋เอาไว้ เส้นใยสีขาวนวลค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีดำตามเวลา ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ส่วนอีกครึ่งเป็นสีดำ นี่มันคืออะไรกัน
ซูอู่ไม่ได้เข้าใจนัก แต่เพื่อความปลอดภัยของเสี่ยวไป๋นางจึงคอยดูอยู่อย่างเงียบๆ จนเกือบถึงรุ่งเช้า และเมื่อแน่ใจแล้วว่าเสี่ยวไป๋พ้นขีดอันตรายแล้ว ซูหว่านจึงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงและหลับไปในที่สุด แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้หลับสนิท นางก็ตื่นขึ้นเพราะการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างๆ…
แขนที่เรียบเนียนและอบอุ่นทั้งสองข้างวางทับบนร่างของนางอย่างไม่รู้ตัว
ซูอู่ลืมตาขึ้นในทันที ค่อยๆ ยกแขนขึ้นแล้วฟาดลงไปเต็มแรง…
“โอ๊ย”
คนที่ถูกนางตีพลันกุมท้องของตัวเอง แววตาที่ใสซื่อไร้เดียงสา มองมาที่นางอย่างน่าสงสารพร้อมกับกล่าวว่า “เสี่ยวอู่ ตีข้าทำไม เจ็บนะ~”
ซูอู่ “…”
นี่มันอะไรกัน
ทำไมนางถึงได้ยินเหมือนกับว่าเสี่ยวไป๋กำลังพูดอยู่กับนาง
ทันทีที่ซูอู่หันกลับไปก็พบกับดวงตาของชายหนุ่มที่อยู่ข้างเตียง
“หลง…หลงหลี!”
เมื่อได้เห็นชายหนุ่มรูปงามที่นอนอยู่บนเตียงโดยได้สวมใส่เสื้อผ้า อีกทั้งชายหนุ่มรูปงามผู้นี้คือคนที่เจ้าของร่างเดิมนางเคยแอบหลงรัก ซูอู่จะสงบจิตสงบใจได้อย่างไรกัน!
“หือ”
‘หลงหลี’ ที่อยู่บนเตียงพลิกตัวกลับเป็นนอนคว่ำ ขนตาแพรยาวกะพริบตามองเสี่ยวอู่และใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวออกไปว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแบบนี้ มานี่สิ เสี่ยวอู่เด็กดี กอดหน่อย…”
“ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
ซูอู่รีบกระโดดลงจากเตียงด้วยความตกใจ “เจ้า เจ้า นี่เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าคือเสี่ยวไป๋?”
ไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้านางคนนี้ นางมั่นใจว่าเป็นอสูรเทพเสี่ยวไป๋ไม่ผิดแน่นอน
เมื่อคืนนี้ซูรุ่ยใช้กระบี่มารทำร้ายเสี่ยวไป๋ อันที่จริง เขาก็แค่ทำพันธสัญญาตามแบบฉบับของเผ่ามารกับมัน และตอนนี้เสี่ยวไป๋เองก็ได้ยอมรับซูรุ่ยเป็นเจ้านายแล้ว อีกทั้งพลังมารของซูรุ่ยเองก็ได้ทำลายผนึกมารหมื่นปีที่อยู่ในร่างของเสี่ยวไป๋ออกแล้ว
หลังจากที่ปลดผนึก และเสี่ยวไป๋เองก็ฟื้นฟูพลังวิญญาณของตน ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนร่างตามกฎเกณฑ์ของอสูรเทพ เขาสามารถเปลี่ยนร่างของตัวเองเป็นใครก็ได้ตามใจทีอยากให้เป็น
เพราะว่าเสี่ยวไป๋ถูกซูอู่ปลุกให้ตื่นขึ้น สำหรับเขาแล้วความรู้สึกที่มีต่อซูอู่นั้นมากมายนัก ก่อนหน้านี้ในตอนที่ได้อยู่กับซูอู่ เสี่ยวไป๋เองได้ยินคนอื่นพูดอยู่บ่อยๆ ว่าซูอู่นั้นแอบรักหลงหลี และตอนนั้นเสี่ยวไป๋เองก็พอได้เห็นลักษณะรูปร่างหน้าตาของหลงหลีจากที่ไกลๆ อยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้ตอนที่เขาแปลงร่าง เขาก็แปลงร่างเป็นหลงหลีอย่างไม่ได้ตั้งใจ…
กล่าวกันว่าหญิงสาวนั้นกลัวการผูกมัดเป็นที่สุด และครั้งนี้แม่ทัพซูก็เล่นใหญ่ด้วยอสูรเทพเสี่ยวไป๋
ไม่ผิดหรอก ความจริงแล้วเสี่ยวไป๋ก็คือพระรองหนึ่งเดียวที่คู่ควร และในเผ่าของเขานั้นเขาก็มีอีกนามหนึ่งว่าไป๋มู่หลิน
ตั้งแต่เสี่ยวไป๋แปลงร่างเป็นรูปลักษณ์ของหลงหลี เขาก็คอยตามหลังซูอู่เพื่อที่จะขอกอดจากนาง ทำให้ทั้งจวนของซูอู่เกิดความวุ่นวาย และ ‘คุณชายหลง’ ฉบับเลียนแบบนี้ต่างก็ทำให้คนในตระกูลซูตกใจเช่นเดียวกัน ทว่าจนถึงตอนนี้ทุกคนก็เฉยชาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะตอนได้เห็นว่าคุณชายไป๋ผู้เหมือนกับคุณชายหลงอย่างกับแกะท่านนั้นเป็นถึงนักอัญเชิญระดับสูง ซูหยาพลันดีใจเป็นอย่างมากเตรียมที่จะมอบบุตรสาวของตนให้กับเขาแล้ว
ซูอู่ “…”
จากการไตร่ตรองแล้ว ข้าเกิดมาจากแม่บุญธรรมใช่หรือไม่
เพื่อหลบหนีการถูก ‘คลุมถุงชน’ ของซูหยา ซูอู่จึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะพาซูชวนและผู้ติดตามอีกไม่กี่คนหนีออกจากเมืองเหมยเท่อไปยังเทือกเขาลั่วรื่อเพื่อหาประสบการณ์
ซูรุ่ยนั้นรู้ดีว่าซูอู่มีจุดมุ่งหมายอะไร เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่กลับเตะส่งไป๋มู่หลินไปยังเทือกเขาลั่วรื่อด้วย ที่แห่งนั้นมีราชันสัตว์มารหนึ่งตนอยู่พอดี ถือโอกาสให้เขาไปแก้ปัญหาด้วยเลยจะได้เป็นการดีกับทั้งสองฝ่าย
สามปีต่อมา
หลงเชียนจั้นเพิ่งลาออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองเหมยเท่อเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เจ้าเมืองคนใหม่ก็ได้รับเลือกโดยราชสำนัก ในที่สุดตำแหน่งเจ้าเมืองเหมยเท่อก็ตกมาอยู่ที่ซูหยา
ในปีนี้ท่านผู้นำตระกูล ไม่เพียงแต่เลื่อนระดับจากนักอัญเชิญระดับสองเลื่อนขั้นไปเป็นระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากผู้นำตระกูลไปสู่ตำแหน่งเจ้าเมืองด้วย
สำหรับตระกูลซูแล้วนี่เป็นเรื่องน่าปีติยินดีทั้งคู่ ความจริงแล้วซูหยาเองยังคงห่วงเรื่องอีกเรื่อง…
เมื่อไหร่กันที่ลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาจะมีหลานตัวอ้วนให้กับเขาเสียที เพียงเท่านี้ผู้นำตระกูลอย่างเขาก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว
แต่ดูจากซูรุ่ยกับซูหว่านแล้ว ซูหยาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ทว่าพวกเขาทำไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ไม่ใช่หรือ
ยามได้เห็นซูอู่ที่ไม่ได้กลับบ้านมาสามปีกลับมาเมืองเหมยเท่อพร้อมกับครอบครัวของนาง เจ้าเมืองซูก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่า
แม้ว่าในตอนนี้ซูอู่จะไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายอย่างเนื้อเรื่องเดิม แต่นางก็ได้รับความซื่อสัตย์จากสามีที่เป็นถึงอสูรเทพของนาง และยังมีซาลาเปาตัวน้อยด้วยอีกหนึ่งคน สามคนครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่บนเทือกเขาลั่วรื่อพร้อมกับอสูรพาหนะราชันสัตว์มารที่เก็บมาได้อีกตนหนึ่ง~
ฮืออออ เคราะห์ร้ายยิ่งนัก! หากตอนนั้นข้าไม่ถูกเจ้าราชันมารนั่นทำร้ายจนเจ็บหนัก มีหรือว่าพวกเจ้าจะเอาชนะข้าได้ ราชันงูเหลือมสีทองบางตัวกล่าวในใจ
นี่คือโชคชะตา! ไป๋มู่หลินกล่าว
ใช่ นี่คือโชคชะตา
ทุกคนทุกชีวิตล้วนอยู่ภายใต้โชคชะตาอันแตกต่างด้วยกันทั้งนั้น
เซียวเหยี่ยนและจ้าวชุ่ยอิ๋งก็ตามไปอยู่ด้วยกันที่อยู่เมืองหลวง อีกทั้งจ้าวชุ่ยอิ๋งเองก็มีจิตใจที่ร้ายกาจคิดแย่งพี่เขยมาเป็นของตัวเอง ช่างเป็นตัวประกอบหญิงที่ชั่วร้ายเสียจริง!
ในปีนั้นผู้ติดตามที่มาถึงเทือกเขาลั่วรื่อพร้อมกับซูอู่ก็พากันประสบความสำเร็จกันทุกคน เนื่องจากนักอัญเชิญกลุ่มใหญ่ที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้านั้นล้วนจากเมืองเหมยเท่อ ตอนนี้เมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นตัวแทนของแคว้นเอ้าหลินไปแล้ว
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในแคว้นเอ้าหลิน แต่คนทุกคนทั้งแผ่นดินใหญ่ต่างก็รู้ว่า เมืองแห่งนี้ มีแซ่ซู!
เมื่อเจ้าเมืองซูมีหลานตัวน้อย จึงถึงเวลาที่ควรจะยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้แก่ซูรุ่ย ส่วนตนนั้นก็กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน
ทั้งเมืองเหมยเท่อ ทั้งแคว้นเอ้าหลิน แม้แต่ผู้คนทั่วแผ่นดินใหญ่ต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเพื่อดูว่านายน้อยซู ผู้เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้จะพัฒนาเมืองเหมยเท่ออย่างไร ทว่าซูรุ่ยกลับโบกมือปฏิเสธ และส่งมอบตำแหน่งเจ้าเหมืองเหมยเท่อนี้ให้กับคู่สามีภรรยาซูอู่และไป๋มู่หลิน
“เสี่ยวไป๋ ข้าจะกลับโลกมารสักหน่อย ส่วนเจ้ากับเสี่ยวอู่ก็ดูแลครอบครัวเราให้ดีๆ ล่ะ! ถ้าหากว่าข้าไม่กลับมา พวกเจ้าห้ามออกจากเมืองเหมยเท่อเด็ดขาด!”
ในตอนนั้น เขาจากไปพร้อมกับคำพูดที่ยังคงดังก้องอยู่ในหู จนถึงตอนนี้…
น้องสาวเจ้าสิ! น้องเขยเจ้าสิ! (แค่กๆ เหมือนข้ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่นะ) สรุปก็คือ ซูจั้น เจ้ามันคนจิตใจไร้คุณธรรม เจ้ากับพี่สะใภ้พูดว่าจะไปก็ไป แล้วจะไปครั้งนี้ ให้ตายเถิด จะไปทั้งชีวิตเลยอย่างนั้นหรือ! อย่ามาล้อเล่นกับคนอื่นเช่นนี้จะได้ไหม
อสูรเทพที่ยังหนุ่มยังแน่นอย่างข้าเองก็อยากพาลูกและภรรยาของข้าออกไปท่องแผ่นดินใหญ่เช่นกัน แต่นี่กลับถูกคำพูดไม่กี่ประโยคของเจ้าตรึงไว้ที่เมืองแห่งนี้ตลอดทั้งชีวิต ทั้งชีวิตเลยนะ~
ใช่แล้ว หลังจากที่พวกเขาสามคนบิดามารดาบุตรได้กลับมายังบ้านแล้ว ซูหว่านก็ได้รับข่าวดีว่าภารกิจสำเร็จ
ตอนนี้บนโลกนี้ทุกคนต่างล้วนมีพรสวรรค์ ซูอู่เองก็ไม่ใช่นางเอกที่วางตนสูงส่งอีกต่อไป นางเองก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเซียวเหยี่ยน แต่ว่า…ไม่ใช่ตัวเอกก็จะไม่มีความสุขหรือ
และในหลายๆ ครั้ง ความสุขนั้นอยู่ในกำมือ ขอแค่คว้าจับมันเอาไวให้ดีๆ มันก็จะไม่หลุดลอยจากไปไหน
ก่อนที่ซูหว่านและซูรุ่ยออกจากแผ่นดินใหญ่นี้ พวกเขาไปพบกับซูชิง และในตอนนี้ซูชิงก็ได้เป็นนักอัญเชิญระดับหนึ่งแล้ว
อนาคตของเขานั้นยังอีกยาวไกล หรือจะกล่าวได้ว่า เขาเป็นตัวเอกคนใหม่ที่ซูหว่านและซูรุ่ยเป็นคนสร้างขึ้นมาบนโลกนี้
“ลองชิมดูว่าฝีมือทำอาหารของข้าตกลงหรือไม่”
ก่อนที่จะเลิกรากัน ซูชิงเองได้ทำอาหารมื้อใหญ่ให้กับคนทั้งสอง
ปีนั้นเมื่อตอนที่ซูหว่านอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลซู ซูหว่านได้ให้สัญญากับซูชิงเอาไว้ว่าถ้าหากมีเวลาจะมาชิมฝีมือการทำอาหารของเขา และตอนนี้ นางได้ทำตามที่เคยสัญญาเอาไว้แล้ว
นี่คือสิ่งที่นางทำแทนเจ้าของร่างเดิมเนื่องจากนางได้สูญเสียรักแรกของนาง
หลังจากทานอาหารเสร็จ ซูรุ่ยก็พาซูหว่านจากไป พวกเขาไม่ได้กลับไปแดนมาร แต่จากแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ไป
ซูชิงยืนอยู่บนเนินเขามองดูเงาหลังทั้งสองคนจากไปด้วยกัน เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอยู่เช่นนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้…
เสี่ยวหว่าน เจ้ามีความสุขจริงๆ
แต่ข้า ก็จะหาความสุขที่เป็นของข้าเช่นเดียวกัน