ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 8 ฝืนชะตาคนไร้ค่า
ช่วงนี้ซูอู่รู้สึกใจคอเหี่ยวแห้งมาก เหี่ยวแห้งเป็นพิเศษ อันที่จริงนางคิดว่าซูจั้นกลับมาแล้วจะให้ทรัพยากรกับตัวเองสักหน่อย ให้ตนสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วที่สุด ใครจะไปรู้พี่ชายคนนี้พูดมาคำหนึ่งว่า ‘ยิ่งใจร้อนเร่งรีบจะยิงช้าเสียการเสียงาน’ แล้วเรียกคนให้พาตนไปเก็บตัวฝึกฝนที่ห้องฝึกฝนของตระกูล~
เก็บตัวฝึกฝนน้องสาวเจ้าสิ แม้ในห้องฝึกฝนนี้พลังวิญญาณเยอะเพียงพอ แต่ซูอู่คุณสมบัติไม่ดีโดยกำเนิด ความเร็วในการฝึกฝนจึงเชื่องช้าไร้ที่เปรียบเป็นพิเศษ! ที่นางฝึกอยู่ตอนนี้คือวิชาเคลื่อนวิญญาณที่เสี่ยวไป๋สอนนาง เป็นการฟูมฟักเลี้ยงดูอสูรวิเศษและอาวุธแต่ละชนิด ทำให้ศาสตราเหล่านี้กลายเป็นศาสตราวิเศษของตนเองเพื่อเพิ่มระดับพลัง
ศาสตราวิเศษที่ตัวเองเลี้ยงดูยิ่งมาก ระดับขั้นของอาวุธก็ยิ่งสูง อย่างนั้นพลังวิญญาณที่ตนเองได้รับในตอนสุดท้ายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
แต่ว่าในห้องฝึกฝนนี้ไม่มีแม้แต่กระบี่สักเล่ม แล้วจะให้ซูอู่เลื่อนระดับอย่างไร
ซูอู่เก็บตัวอยู่ในห้องฝึกฝนอย่างจนใจ นางไม่รู้เลยว่าเมื่อรอนางออกไปอีกครั้ง เมืองเหม่ยเท่อทั้งเมืองก็ได้เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบไปแล้ว…
เพราะการเลื่อนระดับอย่างต่อเนื่องของซูจั้น ตระกูลซูในเมืองเหม่ยเท่อจึงดูโดดเด่นน่าจับตาไม่เป็นสองรองใครในเวลาอันสั้น แม้กระทั่งตระกูลเซียวยังต้องหลบหลีกยอมให้กับความโดดเด่นนี้
อีกทั้งในเวลานี้เซียวเหยี่ยนกับหลงหลีที่เดิมทีต่างควรฝึกฝนอยู่ในบ้านของตัวเองดีๆ ก็เหมือนว่าจะถูกซูรุ่ยกระตุ้นเข้าให้ ทั้งสองคนจึงออกไปจากเมืองเหม่ยเท่อตามกันไป หลงหลีนั้นไปฝึกฝนหาประสบการณ์คนเดียว ออกไปตามหาโอกาสที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ส่วนเซียวเหยี่ยนพูดกันว่าได้ไปที่เมืองหลวงแล้ว
ในเมืองหลวงมีราชวิทยาลัยนักอัญเชิญที่ใหญ่ที่สุดในทั้งแคว้นเอ้าหลิน และเซียวหย่าพี่สาวของเซียวเหยี่ยนได้เข้าไปที่โรงเรียนนั้นตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ถึงแม้นางจะไม่ใช่อัจฉริยะในหมู่คนอัจฉริยะ แต่ในเมืองเหม่ยเท่อเล็กๆ นี้ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลโดดเด่น นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตระกูลเซียวครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองเหม่ยเท่อมาตลอดไม่เคยเสื่อมคลาย
เวลานี้ เซียวเหยี่ยนออกจากเมืองเหม่ยเท่อก่อนกำหนด ตระกูลเซียวจึงได้เก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆ ก็เพราะเหตุนี้
เพียงพริบตา ในเมืองเหม่ยเท่อทั้งเมืองก็พลันสุขสงบ
เพียงแต่ความสุขสงบนี้จะรักษาเอาไว้ได้นานเท่าใดกัน
รอบๆ เมืองเหม่ยเท่อยังมีเมืองเล็กใหญ่อื่นๆ มากมายรวมกันอยู่ ข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องตระกูลซูในเมืองเหม่ยเท่อมีอัจฉริยะเหนือคนกำเนิดขึ้น ก็เริ่มค่อยๆ เล่าลือออกไป และคำเล่าลือนั้นยิ่งลือก็ยิ่งผิดแปลกเหนือธรรมดา สุดท้ายถึงกับมีคนบอกว่าซูจั้นได้เจอสมบัติเก่าแก่สมัยบรรพกาลที่เทือกเขาลั่วรื่อ~
บ้านตระกูลซู เรือนส่วนใน
หลายวันมานี้ซูหยาทำหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา ตามที่พูดว่าต้นไม้ใหญ่ย่อมถูกลมพัด ตอนนี้ตระกูลซูยังไม่ได้พัฒนาให้แข็งแกร่งมั่นคงเลย ก็กลายเป็นหนามยอกอกของหลายๆ คนแล้ว โดยเฉพาะซูจั้นที่ช่วงนี้โดดเด่นเป็นที่สนใจเกินไป หลงเชียนจั้นก็พูดขึ้นมากับซูหยาอย่างคลุมเครือว่าแม้กระทั่งเบื้องบนก็เริ่มให้ความสนใจเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน
เดินมาถึงหน้าประตูเรือนของบุตรชายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ยังไม่ได้เข้าประตูไป ซูหยาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากข้างใน…
“ฝีมือของซูเลี่ยงนี่ยิ่งอยู่ยิ่งดีขึ้นจริงๆ เนื้อนี้ย่างได้แบบฉ่ำมันแต่ไม่เลี่ยน กรอบนอกนุ่มใน ข้าให้คะแนนเจ้าห้าดาว”
นี่เป็นเสียงของซูหว่าน ตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่อ้อมกอดของซูรุ่ย กำลังทำตาพริ้มเสพอาหารเลิศรสที่ซูเลี่ยงเพิ่งจะย่างเสร็จ
ส่วนซูเพ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังรับใช้เสี่ยวไป๋ที่อ้วนขึ้นมาอีกเท่าหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดอย่างระมัดระวัง
กินกินกิน รู้จักแต่กิน
เมื่อได้เห็นสภาพในเรือน ซูหยาสีหน้าเคร่งขรึมอย่างอดไม่ได้ เดินเข้าไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ท่านผู้นำตระกูล!”
เมื่อเห็นร่างของซูหยา ซูเลี่ยงกับซูเพ่ยรีบยืนขึ้นทันที คารวะทำความเคารพอย่างว่างาย ส่วนซูหว่านกะพริบตาแล้วยืนขึ้นจากอ้อมอกของซูรุ่ย “ท่านผู้นำตระกูล ท่านยังไม่ทานอาหารใช่ไหม ทานเนื้อย่างสักหน่อยไหม”
ซูหยา “…”
ข้าจะกินลงหรืออย่างไร เจ้าบอกข้ามา ทำไมเจ้าถึงได้ใจใหญ่ขนาดนี้นะ
“ซูจั้น เจ้ามากับข้า”
สายตาของซูหยามองไปยังซูรุ่ย ใช้น้ำเสียงเอาจริงเอาจังอย่างเห็นได้ยาก
“ขอรับ”
ได้ยินคำพูดของซูหยา ซูรุ่ยยืนขึ้นอย่างช้าๆ สีหน้าไม่ใส่ใจ “ภรรยา เจ้ากินไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องเหลือไว้ให้ข้า”
พูดพลาง เขาก็รีบเดินไปตามซูหยาออกไปจากเรือน
เห็นทั้งสองพ่อลูกเดินห่างออกไปแล้ว เสี่ยวไป๋ถึงได้แบกท้องกลมๆ กระเถิบมาถึงที่ขาของซูหว่าน “ซูหว่าน เจ้าว่าตาเฒ่าซูหยารังเกียจไม่แยแสเจ้าแล้วหรือเปล่า ข้าเดาว่าเขากำลังคิดจะหาภรรยาอีกคนให้นายท่านแล้ว ได้ยินว่าจ้าวชุ่ยอิ๋ง สาวน้อยตระกูลจ้าวคนนั้นก็เลื่อนระดับเป็นนักอัญเชิญขั้นห้าแล้ว นางอายุน้อยกว่ากว่าเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ แล้วคุณหนูตระกูลจ้าวคนนั้นนะ หุ่นแบบว่า จิ๊จิ๊จิ๊ เจ้าว่า นายท่านเขาจะนอกใจไหมนะ”
“นอกใจ?”
ซูหว่านได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ก็แค่เบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นสายตาของนางก็ตกลงบนตัวซูเลี่ยงกับซูเพ่ยอีกครั้ง ในช่วงคืนวันเหล่านี้ทั้งสองคนก็อยู่ข้างกายตนกับซูรุ่ยเสมอ ซูหว่านลอบสังเกตมาโดยตลอด นิสัยความประพฤติของสองคนนี้ไม่เลว กับตนและซูรุ่ยก็ถือได้ว่าซื่อสัตย์ เป็นต้นกล้าดีที่จะฝึกฝนดูแลได้อย่างวางใจ
ยิ่งไปกว่านั้น…
ซูหว่านคิดถึงคนในครอบครัวของตัวเอง ตระกูลสาขาย่อยที่นางเกิดมานั้นเป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลจากเมืองเหม่ยเท่อมาก นับเป็นหมู่บ้านในหุบเขาห่างไกล ในโครงเรื่องเดิมซูหว่านร่างเดิมเพราะการนอกใจของซูเหยี่ยนจึงได้กลายเป็นศัตรูทางใจที่ไม่ตายไม่เลิกรากับซูอู่
ซูอู่เดิมก็เป็นนักฆ่าหญิงอยู่แล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะออมมือกับศัตรู
ฉะนั้น เจ้าของร่างเดิมจึงกลายเป็นตัวรับกระสุน และหลังจากที่นางกลายเป็นตัวรับกระสุน คลื่นอสูรก็ได้เข้ามาโจมตี มีหลายพื้นที่ต่างเผชิญกับการถูกโจมตีชนิดทำลายล้าง คนตระกูลนางและคนในครอบครัวของนางทั้งหมดต่างก็เสียชีวิตจากคลื่นอสูรครั้งนั้น
ซูหว่านถึงแม้จะไม่มีความรักความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลของเจ้าของร่างเดิม แต่ว่าในเมื่อนางได้สืบสานตัวตนของเจ้าของร่างเดิมมา ครั้งนี้ก็ไม่สามารถเห็นครอบครัวเจ้าของร่างเดิมตายไปหมดต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรได้
ตอนนี้นางกับซูรุ่ยกำลังต้องการกำลังคนพอดี ต้องการกำลังคนมากมายที่คุ้มค่าจะเชื่อใจ…
“ซูเลี่ยง ซูเพ่ย พวกเจ้าอยากเป็นนักอัญเชิญไหม”
ซูหว่านถามขึ้นมากะทันหัน
อากาศในเรือนเหมือนหยุดนิ่งชั่วพริบตาหนึ่ง
“คุณหนูสาม?”
ซูเพ่ยมองขึ้นมา ใช้สายตาที่สับสนมองซูหว่าน “แน่นอนว่าข้าอยากเป็นนักอัญเชิญ แต่ว่า…ข้าอายุสิบหกปีแล้ว ยังคงไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ”
“เฮ้อ ต่อให้ปลุกพลังวิญญาณสำเร็จแล้วมีประโยชน์อะไรกัน”
ซูเลี่ยงที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะวางมีดที่หั่นหมูของตัวเองลง “ข้าอายุสิบห้าปีก็ปลุกพลังวิญญาณสำเร็จแล้ว น่าเสียดายที่เรียกได้แค่ศาสตราวิเศษไร้ประโยชน์แบบนี้ หั่นเนื้อน่ะได้ แต่สังหารสัตว์มารไม่ได้เลย “
ในแผ่นดินใหญ่ตงชวน นักอัญเชิญเป็นสิ่งมุ่งหวังและความฝันของคนหลายคน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นนักอัญเชิญได้ และไม่ใช่ว่านักอัญเชิญทุกคนจะสามารถเรียกศาสตราวิเศษหรืออสูรวิเศษที่มีพลังยิ่งใหญ่ได้
บางคนถึงแม้เคยปลุกพลังวิญญาณสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่หากเรียกศาสตราวิเศษหรืออสูรวิเศษที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ออกมาไม่ได้ ทั้งชีวิตนี้ของพวกเขาก็เป็นได้เพียงแค่นักอัญเชิญผู้ต่ำต้อย เรียกไม่ได้ว่าเป็นนักอัญเชิญโดยสิ้นเชิง
ซูเลี่ยงกับซูเพ่ยต่างก็เกิดมาในตระกูลสาขาย่อย ในสมัยเด็กก็เป็นความหวังของทั้งตระกูล พวกเขาถูกเลือกเข้ามาในตระกูลหลักเมื่อสมัยยังเด็ก ต่างมีใจเด็ดเดี่ยวอยากเป็นนักอัญเชิญที่เก่งกาจ แต่ว่าตอนนี้ผ่านไปหลายปี ทั้งสองกลับกลายเป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลซู สิ่งเดียวที่ยังทำให้รู้สึกชื่นใจก็คือ พวกเขาดวงดี เจอเจ้านายที่ฐานะดีนิสัยดีสองคน
“ถ้าหากว่า…”
เห็นสีหน้าที่สับสนบนใบหน้าของทั้งสองคน ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดอีกครั้ง “ถ้าข้าสามารถทำให้พวกเจ้ากลายเป็นนักอัญเชิญที่เก่งกาจได้สำเร็จ แต่ว่าข้อแลกเปลี่ยนที่ตามมาคือชั่วชีวิตนี้ของพวกเจ้า พวกเจ้าจะยิมยอมลิ้มลองมันไหม เพียงแค่พวกเจ้ายินยอมที่จะใช้วิญญาณของตัวเองสาบาน ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่หักหลังข้าและนายน้อยใหญ่ ข้าก็จะให้คุณชายใหญ่ถ่ายทอดวิชาลับของนักอัญเชิญให้แก่พวกเจ้า!”
“คุณหนูสาม ที่ท่านพูดมาจริงหรือ”
ได้ยินคำพูดของซูหว่าน ดวงตาของซูเลี่ยงกับซูเพ่ยก็แดงเรื่อ
“พวกข้ายินยอมที่จะติดตามท่านกับนายน้อยใหญ่ พวกข้าไม่หักหลังพวกท่านแน่นอน!”
ทั้งสองคนตอนนี้แทบอยากจะให้คำสาบานกับฟ้าดินเสียตอนนี้เลย
เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ของพวกเขาซูหว่านรู้สึกพอใจมาก…
ฝืนชะตาคนไร้ค่า?
ขอแค่มีดัชนีทองคำที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่พอ คนไร้ค่าคนไหนก็มีความเป็นไปได้ที่จะฝืนชะตา ใครก็ตามก็สามารถเป็นตัวเอกในชีวิตของตัวเองได้
ซูอู่เป็นนนางเอกของโลกนี้ จุดแข็งที่ใหญ่ที่สุดของนางก็คือวิชาเคลื่อนวิญญาณนั่น ถ้าหากคนที่คุณสมบัติไม่ดีทั้งตระกูลซูทุกคนต่างศึกษาวิชาเคลื่อนวิญญาณจนใช้มันเป็นล่ะ
คนไร้ค่าทุกคน ขอแค่ยอมขยันพยายาม ขอแค่มีแหล่งทรัพยากรก็สามารถเลื่อนระดับเป็นนักอัญเชิญที่ยิ่งใหญ่ได้ทีละก้าว
และทั้งหมดนี้นั้นซูจั้นจะเป็นคนมอบมันแก่พวกเขา สิ่งที่ต้องแลกมานั้น คนเหล่านี้ไม่ว่าจะสำเร็จยิ่งใหญ่ขนาดไหนในอนาคต ต่างก็ห้ามหักหลังตระกูลซู…