ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 9 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (9)
ในเวลาเดียวกันที่ซูหว่านยื่นมิตรไมตรีและโอกาสให้กับซูเลี่ยงและซูเพ่ย ในห้องหนังสือผู้นำตระกูลซู ซูรุ่ยก็บอกแผนการของตัวเองกับซูหยาอย่างคร่าวๆ
ได้ยินซูรุ่ยจะรวบรวมคนที่ยังปลุกพลังวิญญาณไม่สำเร็จทุกคนทั้งตระกูลสายหลักและสายย่อยกลับมาฝึกฝนใหม่ ซูหยาก็ถูกความมือเติบของบุตรชายตัวเองทำเอาตกใจไปเลย
“จั้นเอ๋อร์ พ่อไม่ได้สงสัยกังขาในประโยชน์ของวิชาเคลื่อนวิญญาณที่เจ้าพูดอะไรนั่น แต่ว่า คนที่ปลุกพลังวิญญาณล้มเหลวเหล่านั้นความสามารถน้อยมากจริงๆ บุคลิกนิสัยก็แตกต่างไม่เหมือนกัน ทุ่มเทกำลังทรัพยากรขนาดนั้นฝึกฝนพวกเขา เกรงว่าคนอื่นๆ ในตระกูลจะมีความเห็นได้”
ซูหยาเองก็เป็นคนมีความรู้ประสบการณ์ มีความทะเยอทะยาน วิสัยทัศน์ของเขาไม่ได้คับแคบ แต่ว่าตัวเขาเป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลใหญ่ เวลาส่วนมากของเขาต้องคิดคำนึงถึงผลประโยชน์และเกียรติยศของทั้งตระกูลเป็นอันดับหนึ่งก่อน
“สิ่งที่ท่านพ่อพูดนั้นถูกต้อง”
ซูรุ่ยได้ฟังคำพูดของซูหยาแล้ว อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ท่านพ่อ ท่านเพียงทำแค่ออกคำสั่งรวมพลตระกูลเรียกให้คนที่ปลุกพลังวิญญาณล้มเหลว แต่ยังหวังที่จะเป็นนักอัญเชิญมาก็ได้แล้ว เรื่องอื่นๆ ข้ากับซูหว่านจะจัดการเอง”
“ทุกคนหรือ ไม่กำหนดอายุใช่ไหม”
ได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหยาก็ขมวดคิ้วอีก จากที่เขามองแน่นอนว่าอายุยิ่งน้อยศักยภาพยิ่งมาก แต่คนที่ปลุกพลังวิญญาณล้มเหลวมาหลายปีจนกลายเป็นท่านลุงท่านป้าธรรมดาไปแล้วนั้น ยังจะมีสิทธิ์อะไรให้ทางตระกูลสิ้นเปลืองทรัพยากรเพื่อพวกเขาอีก
“ความตั้งใจไม่ได้อยู่ที่อายุมากน้อย”
ซูรุ่ยกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของซูหยา ในแผ่นดินใหญ่ตงชวนอายุของนักอัญเชิญยืนยาวมาก ยังจะยืนยาวยิ่งขึ้นตามระดับขั้นที่สูงขึ้น เปรียบเทียบกับอายุขัยเป็นร้อยเป็นพันปี สามสี่สิบปีหรือต่อให้เป็นห้าหกสิบปีจะนับเป็นอะไร
มีบางคนต่อให้อายุใกล้เจ็ดสิบแล้ว ในกระดูกและในหัวใจของพวกเขายังคงมีความหวังและความฝัน คนเช่นนี้ดีกว่าหนุ่มสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะแล้วก็อารมณ์เปราะบางกังวลเป็นทุกข์ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างอยู่มากโข
“ได้ เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเรื่องที่เจ้าตัดสินใจ ก็ตามนี้เถอะ”
สุดท้ายซูหยาก็ยอมประนีประนอมกับซูรุ่ย จากที่เขามอง เรื่องนี้ยิ่งเล่นใหญ่ยิ่งดี นี่เองก็เป็นผลดีกับตระกูลซูมากเหมือนกัน ช่วงนี้มักมีคนบางคนและขุมอำนาจบางกลุ่มคิดอยากจะแอบค้นหาความลับของซูจั้น ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ซูหยาก็ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เสียเลย ทำให้คนทั้งแคว้นในเอ้าหลินรู้ให้กันให้ทั่วจะดีที่สุด
คนนั้นไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก
ซูหยายังรู้ตัวเองดีอยู่ ถ้าหากตระกูลซูมีสมบัติหรือว่าเคล็ดวิชาที่ฝืนลิขิตฟ้าอะไรนั่นจริงๆ อย่างไรก็ต้องพาหายนะใหญ่หลวงมาให้สักวัน
ในครั้งนี้เขาสู้ใจกว้างสักหน่อย ในเวลาเดียวกันกับที่ยกระดับความสามารถตระกูลซู ก็ให้ผลประโยชน์แก่ราชวงศ์ด้วย
“จั้นเอ๋อร์ เคล็ดวิชาเคลื่อนวิญญาณนั่น เจ้าใช้ม้วนคัมภีร์วิญญาณคัดลอกมาฉบับหนึ่ง ข้าจะเอาตรงไปที่เมืองหลวง”
ซูหยาเคยฟังซูรุ่ยพูดเรื่องประโยชน์ของเคล็ดวิชานี้กับตัวเอง ฟังดูแล้วรู้สึกมหัศจรรย์จริงๆ แต่ว่ากลับเหมาะกับแค่คนที่มีความสามารถแย่มากเท่านั้น และเคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งมีค่าหนึ่งเดียวที่ทำให้คนพัฒนาได้รวดเร็วอย่างน่าตกใจได้จริงๆ แต่ว่าตอนนี้ซูรุ่ยได้ตัดสินใจเอาเคล็ดวิชานี้เผยแพร่ไปทั่วทั้งแคว้นเอ้าหลิน ถ้าอย่างนั้นต่อไปมันก็จะกลายเป็นเส้นทางนักอัญเชิญสายใหม่ ผู้คนมากมายร่วมแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัด ถึงท้ายสุดแล้วจะมีการพัฒนาไปได้มากขนาดไหนกัน
แน่นอน ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่อย่างไรเสียก็เป็นการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินใหญ่ตงชวน จากนี้ไป ก็จะมีนักอัญเชิญใหม่เกิดขึ้นมากมาย และนักอัญเชิญเหล่านี้ก็จะไม่มีวันลืมตระกูลซู ไม่มีวันลืมซูจั้น
คิดได้ว่าตระกูลซูของตัวเองไม่แน่อาจจะมีชื่อเสียงสืบทอดต่อไปแสนนานด้วยเหตุนี้ ใจของซูหยารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ได้ยินคำพูดของซูหยา ซูรุ่ยก็ยิ้มน้อยๆ…
ซูหยาเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายจริงๆ วิธีที่ดีที่สุดที่จะเก็บความลับไว้ ก็คือทำให้มันไม่ถูกเรียกว่าความลับอีก
การอภิปรายหารือเกี่ยวกับวิชาเคลื่อนวิญญาณของสองพ่อลูกสุดท้ายนั้นต่างก็เป็นที่ยินดีพอใจ และก่อนที่ซูรุ่ยจะออกจากห้องหนังสือ ซูหยาเหมือนจู่ๆ ก็คิดอะไรได้และเรียกเขาเอาไว้อีกอย่างห้ามไม่ได้ “จั้นเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของท่านผู้อาวุโสตระกูลจ้าว พ่อจะออกจากเมืองเหม่ยเท่อไปเมืองหลวงเดี๋ยวนี้แล้ว เจ้าไปเข้าร่วมงานวันเกิดของพวกเขาแทนข้าเถอะ ถือโอกาสใกล้ชิดกับคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวให้มากหน่อย”
ตระกูลจ้าว?
ได้ยินคำพูดของซูหยา ฝีเท้าของซูรุ่ยชะงัก “ข้าไม่รู้สึกสนใจตระกูลจ้าว”
“แค่ก”
ซูหยาไอเบาๆ อยู่ด้านหลังของเขา “นี่น่ะ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ อย่างไรก็ไม่มีผลเสีย นอกจากนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวนั้นเป็นคนสะสวยที่ขึ้นชื่อเชียวนะ นางเองก็รู้สึกดีกับเจ้ามากด้วย ผู้ชายน่ะ มีสามอนุสี่ภรรยาก็เป็นเรื่องปกติ”
ซูหยาก็รู้สึกว่า บุตรชายตัวเองต้องเป็นเพราะอยู่ในเทือกเขาลั่วรื่อมาสามปี ทนอดกลั้นดั่งหลวงจีนมานานเกินไป ไม่อย่างนั้นทำไมกลับมาถึงก็กลายร่างเป็นหมาป่าเลยล่ะ
และดูร่างกายตัวเล็กของซูหว่านนั้น ไม่น่าจะเหมือนคนที่จะทนเรื่องเช่นนี้นานๆ ได้
ตามพลังการรบของบุตรชายตัวเองแล้ว แต่งภรรยาสักสี่ห้าคนไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงเวลานั้นยังให้กำเนิดหลานๆ ที่เป็นปีศาจอัจฉริยะให้ตนอีกสามสี่คน อืม ความรู้สึกนั้นเยี่ยมจริงๆ~
ได้ยินคำพูดของซูหยา สีหน้าของซูรุ่ยในที่สุดก็เย็นเยือกลงมา “เรื่องของข้าข้ามีความคิดของตัวเอง ข้าไม่หวังให้ใครก็ตามมายุ่งเรื่องชีวิตของข้า ใต้เท้าผู้นำตระกูล ต่อให้ท่านเป็นบิดาของข้า ก็ไม่มีข้อยกเว้น!”
ระหว่างที่พูด ไอสีม่วงระลอกหนึ่งกระจายอออกมาจากรอบตัวของซูรุ่ย นั้นเป็นเสียงคำรามต่ำอย่างปีติของจื่อหมิง…
มันไม่ได้สังหารไม่ได้ดื่มเลือดมานานมากแล้ว มันไม่มีความสุขมากนัก~
ซูหยา “…”
นี่กำลังข่มขู่ข้าหรือ
มารดามันเถิด และข้าก็ถูกข่มขู่ได้ผลเสียด้วย บุตรชายข้าความโหดล้นเหลือเก็บไม่อยู่จริงๆ เลย
ท่านผู้นำตระกูล ท่านซุกซนอีกแล้ว~
ตอนที่ซูรุ่ยกลับมาถึงเรือนตัวเองนั้นซูเลี่ยงได้ก็เก็บเรือนเรียบร้อยหมดแล้ว เขากับซูเพ่ยได้รับคำสัญญาของซูหว่านแล้วต่างก็กลับไปพักผ่อนแต่หัววัน
ขณะนี้ในห้องนอนมีเพียงแค่ซูหว่านกับเสี่ยวไป๋เหลืออยู่ เสี่ยวไป๋ยังคงนอนคว่ำกินอาหารว่างยามค่ำอยู่บนโต๊ะ ท้องที่กลมๆ นั้นทนมองไม่ได้เลยจริงๆ
ส่วนซูหว่านกำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ ซูรุ่ยเข้าประตูมาก็เห็นสัมภาระห่อน้อยที่ซูหว่านวางอยู่ข้างโต๊ะ “ภรรยา พวกเราจะออกเดินทางเหรอ”
“อืม ฉันอยากกลับบ้านสักครั้ง คุณกับผู้นำตระกูลคุยกันเป็นยังไงบ้าง”
“คุยเสร็จแล้ว ผมจะคัดลอกวิชาเคลื่อนวิญญาณออกมาหนึ่งฉบับให้เขาเอาไปให้กับราชวงศ์”
ซูรุ่ยหันตัวไปปิดประตู พูดเสียงด้วยเสียงเบาๆ
“อะไรนะ”
เสี่ยวไป๋ที่กินจนตัวเองเกือบจะกลายเป็นลูกบอลอยู่บนโต๊ะพลิกตัวขึ้นมา “นายท่าน! วิชาเคลื่อนวิญญาณนั้นเป็นบทคาถาบรรพกาลเชียวนะ!”
ตั้งแต่รับซูรุ่ยเป็นเจ้านาย เสี่ยวไป๋เป็นห่วงเรื่องนั้นของซูอู่อยู่ตลอด สุดท้ายเขาจึงได้แต่พูดความจริงต่อหน้าซูรุ่ย บอกเรื่องของวิชาเคลื่อนวิญญาณกับเขาไป
เขาคิดว่าซูรุ่ยคิดจะเผยแพร่แค่ในตระกูลซู คิดไม่ถึงว่าเขากลับยินยอมเอาเคล็ดวิชานี้ให้กับราชวงศ์!
“บทคาถาบรรพกาลแล้วอย่างไร”
ได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ ซูรุ่ยก็ยิ้มน้อยๆ “สมัยบรรพกาล วิชาเคลื่อนวิญญาณนี้เป็นเคล็ดวิชาระดับไหน”
“เอ่อ”
ครั้งนี้เสี่ยวไป๋กลับรู้สึกพูดไม่ออก พูดตามตรงวิชาเคลื่อนวิญญาณนี้ไม่ได้มีระดับอะไรจริงๆ ในสมัยบรรพกาลนั้นเป็นขยะในกองขยะอีกทีแน่นอน
“ที่จริงแล้ว ตั้งแต่การล่มสลายครั้งโบราณกาลจนถึงตอนนี้ บนแผ่นดินใหญ่คนมีพรสวรรค์เริ่มหดหาย สถานภาพของนักอัญเชิญก็สู้สมัยก่อนไม่ได้แล้ว ตอนนี้สามารถมีโอกาสที่จะให้คนมากขึ้นกลายเป็นนักอัญเชิญ ให้คนมากขึ้นมีพลังมีความสามารถที่จะปกป้องคนในครอบครัวของเขา ดีมากไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของซูรุ่ยเอาจริงเอาจังมาก “ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งคลื่นอสูรก็จะมาถึง การต่อสู้ของมนุษย์กับสัตว์มารไม่จบไม่สิ้นชั่วนิรันดร และ…เสี่ยวไป๋ ในเมื่อเจ้าสามารถตื่นมาจากการผนึกได้ ถ้าอย่างนั้นเผ่าเทพตนอื่นล่ะ แม้แต่เผ่ามารที่อยู่ใต้ห้วงลึกล่ะ ถ้าหากมนุษย์แบบพวกข้าไม่แข็งแกร่งพอ พวกข้าจะไปต่อกรสู้รบกับเผ่าอื่นๆ ได้อย่างไร จะปกป้องผืนดินของพวกข้าได้อย่างไร”
เสี่ยวไป๋ “…”
ฮือๆๆ ซึ้งกินใจเหลือเกิน ซึ้งกินใจจริงๆ นายท่านช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน! อสูรเทพอย่างข้านั้นตาดีตาถึงจริงๆ ถึงได้เลือกเจ้านายที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ฉะนั้นการมีชื่อเสียงเรียงนามไปชั่วตลอดกาลอะไรนั่นไม่มีปัญหาแน่นอนแล้วใช่ไหม
ในเวลาที่เสี่ยวไป๋กำลังคร่ำครวญอยู่ในใจนั้น คำพูดของซู่รุ่ยก็เปลี่ยนไป “แต่ว่า ตอนนี้บนแผ่นดินใหญ่ใจคนตกต่ำลงแต่ละวัน ถ้าหากวิชาเคลื่อนวิญญาณนี้เผยแพร่ออกไป ถูกคนใจคิดไม่ซื่อใช้หาผลประโยชน์เข้าตัว นั้นจะเป็นความหายนะได้ ฉะนั้น…เสี่ยวไป๋ เจ้ารู้ว่ามีวิชาลับอะไรที่จะควบคุมวิชาเคลื่อนวิญญาณนี้ไหม หรือในการถ่ายทอดของเจ้ามีของคล้ายๆ กับตราผนึกวิญญาณที่สามารถเพิ่มลงไปในวิชาเคลื่อนวิญญาณนี้ไหม”
เสี่ยวไป๋ “…”
ถึงได้บอก เจ้านี่ยังคงใสซื่อเกินไป~
จริงๆ แล้วในการถ่ายทอดของพยัคฆ์ขาวจันทร์เงินนั้นมีวิธีที่จะยับยั้งวิชาเคลื่อนวิญญาณโดยเฉพาะอยู่จริงๆ
แน่นอนว่าสำหรับจุดนี้นั้น ซูรุ่ยที่คุ้นเคยกับเรื่องราวตั้งแต่แรกนั้นรู้อยู่แล้ว ในโครงเรื่องเดิมเคล็ดวิชาที่ซูอู่ฝึกฝนนั้นถูกคนมีใจไม่ซื่อจับจ้องอยู่ตลอด ถึงกับมีสาวสองหน้าคนหนึ่งใช้ท่าทางของเพื่อนสนิทเข้าใกล้นาง หลังจากที่ได้รับความเชื่อใจจากซูอู่ได้สำเร็จ สาวสองหน้าก็ได้เคล็ดวิชาเคลื่อนวิญญาณจากนาง เพื่อให้ตัวเองเป็นหนึ่งเดียวในโลก สาวสองหน้าก็ลงมือลอบทำร้ายซูอู่ คิดจะทำร้ายนางถึงขั้นเสียชีวิต และในตอนนี้เองซูอู่กลับใช้วิชาอีกอันที่เสี่ยวไป๋สอนตัวเอง นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ยับยั้งวิชาเคลื่อนวิญญาณโดยเฉพาะ และเป็นวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ใครของเผ่าพยัคฆ์ขาวจันทร์เงิน
วิชานี้ชื่อว่าคาถากลืนวิญญาณ เมื่อมันถูกร่ายแล้วจะสามารถกลืนกินพลังวิญญาณทุกอย่างที่ใช้วิชาเคลื่อนวิญญาณในการฝึกฝน ทำให้ฝ่ายศัตรูถูกตีกลับไปเป็นแบบเดิม
ใช่แล้ว ดรรชนีทองคำที่เตรียมไว้ให้ใต้เท้านางเอกก็เท่ระเบิดขนาดนี้เลยแหละ!
แต่ตอนนี้ สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นของซูรุ่ยกับซูหว่านแล้ว…
พวกเขาสามารถสร้างตำนานของเมืองๆ หนึ่งได้ ก็สามารถที่จะให้ตำนานทุกอย่างสลายหายไปได้เช่นกัน
ก็เป็นเช่นนี้แหละ เดินทางเดินของตัวเอก ให้ตัวเอกไม่มีทางจะให้เดิน~