ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 9 ไม่พึ่งทักษะการแสดง พึ่งพิงคนจ่ายเงิน (9)
ผ่านการสื่อสารทางโทรศัพท์ระหว่างอู๋ถงและซ่งหลินผู้ช่วยของถานเทียน ทั้งสองได้บรรลุข้อตกลงในขั้นต้น และได้ทำการนัดเรื่องเซ็นสัญญาแล้ว แต่ทางด้านของซูหว่านมีความต้องการให้หลี่เหวยอีนักข่าวของซวี่รื่อเข้ามาทำสกู๊ปพิเศษในตอนที่ทั้งสองฝ่ายจะเซ็นสัญญาเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ถานเทียนจะเห็นด้วยกับคำขอนี้
เมื่อพูดถึงหลี่เหวยอี หลายวันมานี้เขาค่อนข้างใจลอย วันนั้นที่โรงแรมนานาชาติ ซูหว่านพูดกับเขาว่าภายในหนึ่งอาทิตย์จะติดต่อเขากลับมา แต่ตอนนี้เป็นวันที่หกแล้ว
เมื่อพูดถึงชีวิตของหลี่เหวยอี ประวัติอย่างย่อก็คือเขาเป็นชายที่มีชีวิตรูปแบบตามมาตรฐานและเรียบร้อย ตั้งแต่เล็กเติบโตขึ้นในหมู่บ้านบนภูเขา เขามีความทะเยอะทะยานและกระตือรือร้นที่จะทำอาชีพอันยิ่งใหญ่ในโลกภายนอกมาโดยตลอด เมื่อตอนที่เขายังเด็กหลี่เหวยอีเขาเข้ามหาลัยด้วยคะแนนที่ดีเยี่ยม ภายในโรงเรียนเขาก็เป็นคนโด่งดังมาโดยตลอด เพราะว่าการเขียนดี วาทศิลป์คมคาย ตลอดมาเขาได้เป็นบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์โรงเรียน และหลังจากสำเร็จการศึกษา แล้วหลี่เหวยอีก็เข้ามาทำงานเป็นนักข่าวในสำนักพิมพ์ตามที่เขาต้องการ และเวลานี้เองที่ความจริงอันโหดร้ายก็ตบหน้าเขาอยู่รุนแรง…
นักข่าว?
คุณคิดว่านักข่าวคืออะไรเหรอ ทูตส่งสารแทนประชาชนหรือเรียกร้องความเป็นธรรมเหรอ
ไร้สาระทั้งนั้น!
ทำงานงกทั้งปี วิ่งหาข่าวอย่างยากลำบาก สิ่งที่เขาได้รับเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาจ่ายไป
สังคมก็เหมือนถังย้อมสีขนาดใหญ่ ไม่ว่าตอนคุณเข้าไปจะเป็นสีอะไร หลังจากที่คุณออกไปจะต้องมีหลากหลายสีปรับตัวไปตามสังคม
หลี่เหวยอีค่อยๆ ยอมแพ้ให้กับอุดมคติที่ไม่อยู่บนความเป็นจริงในตอนแรกของตัวเอง เขาเข้ามาในซวี่รื่อแล้วและกลายมาเป็นนักข่าวบันเทิงที่ไม่มีใครกล้าดูถูก
ความลับสองประการในการเป็นนักข่าวบันเทิงผู้ยิ่งใหญ่คือใจกล้าและหน้าด้าน หลี่เหวยอีกล้าทำข่าวที่คนอื่นไม่กล้าทำ กล้าเขียนข่าวที่คนอื่นไม่กล้าเขียน ดังนั้นในซวี่รื่อเขาจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นับถือมาก
แน่นอนว่า หลี่เหวยอียังมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นอีก เขาชอบเตรียมตัวล่วงหน้า เขากล้าปล่อยเอ็นยาวเพื่อตกปลาใหญ่[1] ในความคิดของเขา ซูหว่านก็เป็นปลาใหญ่ตัวหนึ่ง และปีนี้เขาจะได้ก้าวไปอีกขั้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าราชินีวงการบันเทิงคนนี้จะเจ๋งแค่ไหน
ในตอนกลางคืนของวันที่หก หลี่เหวยอีสูบบุหรี่มวนที่เจ็ดหมดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เมื่อเคาะประโยคสุดท้ายของต้นฉบับของวันนี้แล้ว ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเขามีเสียงดังขึ้น เมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ของอู๋ถง แววตาของหลี่เหวยอีก็เป็นประกายขึ้น…
ในที่สุดก็มาซะที!
……
ยังคงเป็นที่โรงแรมนานาชาติ ครั้งนี้ถานเทียนได้จองสถานที่เป็นห้องประชุมระดับสูงของโรงแรม
ซูหว่านและอู๋ถงรอหลี่เหวยอีที่นัดกันไว้ที่ล็อบบี้โรงแรม แล้วทั้งสามคนก็ขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน
วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างมีความหมาย ซูหว่านม้วนผมยาวของเธอขึ้น สวมเสื้อผ้าเป็นทางการมาก แม้แต่อู๋ถงที่อยู่ถัดไปวันนี้ก็ยังสวมชุดสูทอย่างเป็นทางการ เจ้าหนุ่มนี่ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย
ตอนที่ทั้งสามคนมาถึงห้องประชุมที่นัดกันไว้เรียบร้อยแล้ว ถานเทียนและซ่งหลินได้มาถึงก่อนแล้ว
“คุณหนูซู เชิญข้างในค่ะ!”
ซ่งหลินเป็นสาวงามอายุสามสิบต้นๆ ชุดสีดำทั้งตัวที่ดูเป็นมืออาชีพนั้นไม่สามารถปกปิดเสน่ห์ในดวงตาของเธอได้
ในเวลานี้ ถานเทียนกำลังนั่งอยู่ที่ที่นั่งหลักของห้องประชุม นอกจากนี้ซูหว่านก็ยังได้เห็นเจ้าพ่อมาเฟียที่ทำอะไรตามอำเภอใจในเนื้อเรื่องเดิมเป็นครั้งแรก ปีนี้ถานเทียนเองก็อายุสี่สิบต้นๆ เขาดูแลร่างกายเป็นอย่างดี ลักษณะของเขาดูแล้วเหมือนอายุเพียงแค่สามสิบปีเท่านั้น
ใบหน้าของถานเทียนชุ่มชื้นไร้ริ้วรอย สายตานุ่มนวล เสื้อคอจีนสีดำทั้งตัวขับให้เขาดูสูงส่งและโดดเด่น หากว่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงจริงของเขาแล้วไปพบเขาบนถนนเข้า มั่นใจเลยว่าจะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นปัญญาชนที่มีการศึกษาสูง
ไม่ต้องสงสัยเลย ที่จริงแล้วลูกพี่ถานมีการศึกษาสูงจริงๆ ส่วนปัญญาชนเหรอ นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
“คุณหนูซู เชิญนั่ง เชิญนั่ง! ลูกสาวผมเป็นแฟนคลับของคุณครับ อีกเดี๋ยวคุณอย่าลืมช่วยเซ็นชื่อให้ผมเอากลับบ้านไปด้วยนะ”
ทันทีที่ถานเทียนเอ่ยปากพูด เขาก็พยายามเป็นกันเองกับซูหว่านมากขึ้นทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างสดใส “ประธานถานต่อไปคุณก็เป็นเจ้านายของฉันแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องเซ็นชื่อ ถึงแม้คุณจะให้ฉันไปเป็นวัวเป็นม้าให้กับคุณหนูถาน ฉันก็ต้องรับคำสั่งด้วยความเคารพอยู่แล้วค่ะ!”
“ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินซูหว่านพูด ถานเทียนก็หัวเราะออกมา “คุณหนูซูเป็นคนสบายๆ ดีนะ ผมถานเทียนชอบร่วมงานกับคนอย่างคุณนี่แหละ มา อันนี้เป็นสัญญาคุณดูสักหน่อย”
ระหว่างที่พูด ถานเทียนกวักมือหนึ่งครึ้ง ซ่งหลินที่อยู่ข้างกายก็ส่งสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมาทันที “คุณหนูซูลองอ่านดูสักหน่อยนะคะ”
สัญญาถูกส่งมาตรงหน้าของซูหว่าน ซูหว่านเซ็นชื่อลงไปที่หน้าสุดท้ายของสัญญาโดยที่ไม่อ่านแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นการกระทำของเธอ ถานเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง “คุณหนูซูเป็นคนใจกล้าจริงๆ ไม่กลัวว่าพวกเราจะเพิ่มเงื่อนไขไม่เป็นธรรมเอาเหรอ”
“ประธานถานทำงาน เสี่ยวหว่านก็ยังวางใจได้ ถ้าหากไม่เชื่อในประธานถานละก็ วันนี้ฉันก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว!”
ด้วยเหตุนี้ ซูหว่านจึงยิ้มและส่งสัญญากลับไปอยู่ตรงหน้าถานเทียนอีกครั้ง
“ดี”
คราวนี้ถานเทียนถึงจะมองซูหว่านด้วยความชื่นชมอย่างจริงจัง เขากวัดแกว่งปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงบนสัญญา เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือเรื่องของหลี่เหวยอีแล้ว
เพื่อบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ เมื่อคืนนี้เขาเตรียมตัวทั้งคืน…
ความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทบันเทิงที่ร่ำรวยน้องใหม่อย่างไห่หวงเอ็นเตอร์เทนเม้นต์และราชินีวงการบันเทิงซูหว่าน สัญญามูลค่าสูงเสียดฟ้าหลายร้อยล้าน นี่มันงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ!
การสัมภาษณ์ทั้งหมดกินเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหลี่เหวยอีได้ถ่ายรูปคู่กับถานเทียนและซูหว่านไว้เป็นความทรงจำตามลำดับ สุดท้ายทั้งสามฝ่ายก็กลับบ้านแต่ละหลังอย่างมีความสุข
“พี่ซูหว่าน”
เมื่อกลับขึ้นมาอยู่บนรถ อู๋ถงที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดก็อดเปิดปากพูดไม่ได้ว่า “สัญญาร่วมงานนั่น พี่จะไม่อ่านดูอีกรอบจริงๆ เหรอ”
เมื่อรู้สึกถึงความกังวลใจในน้ำเสียงของอู๋ถง ซูหว่านอดยิ้มไม่ได้ “เอาน่า ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงฉัน แต่นายก็วางใจเถอะ!”
เชื่อใจถานเทียน?
ซูเสี่ยวหว่านไม่เชื่อเขาเลยสักนิด ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่เธอเชื่อก็มีแค่ผู้ชายของเธอเท่านั้น
มีซูรุ่ยอยู่ในมือ ฉันก็มีโลกทั้งใบ
ถานเทียนอะไร แก๊งมาเฟียอะไร ขอเพียงแม่ทัพซูเต็มใจก็พร้อมทำลายพวกเขาได้ทุกนาที
ดังนั้นการมีชายที่แข็งแกร่งเป็นที่พึ่งพิงได้เช่นนี้ ซูหว่านจึงสามารถโจมตี ล่าถอย และป้องกันได้ตั้งแต่เริ่มต้น อยู่ยงคงกระพันอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่ของซูหว่าน อู๋ถงก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือก เขากับซูหว่านรู้จักกันมาสิบปีแล้ว ตอนแรกเขาได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ซูหว่านเป็นศิลปินคนแรกและคนเดียวที่เขามี อู๋ถงไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวที่เฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์เป็นพิเศษ และตอนนั้นซูหว่านก็มองเขาออก แต่ซูหว่านก็ยังเลือกน้องชายคนนี้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ เพราะความเรียบง่ายของเขา การร่วมงานนี้ผ่านเวลามาสิบปีแล้ว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันราวกับคนในครอบครัวไปแล้ว
อู๋ถงนั้นหวังดีกับซูหว่านจริงๆ ซูหว่านเองก็สัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้
เมื่อซูหว่านกลับที่คอนโดของเธอ ซูรุ่ยก็ได้ออกไปข้างนอกแล้ว บนโต๊ะมีกระดาษโน้ตที่เขาทิ้งไว้ ซูหว่านเหลือบมองเล็กน้อยก็รู้ว่าซูรุ่ยกลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเยี่ยแล้ว ดังนั้นเธอจึงพักผ่อนในบ้านได้อย่างสงบ
ในเวลานี้ ในคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเยี่ย…
“น้องสาม น้องสาม ในที่สุดแกก็กลับมาแล้ว!”
เยี่ยเส่าฉวินที่ใบหน้ายังคงมีรอยฟกช้ำและบวมอยู่ เมื่อเห็นน้องชายคนที่สามที่เขากำลังคิดถึงอยู่ เขาจึงกางแขนและรีบวิ่งเข้าไปทันที ดวงตาของซูรุ่ยเป็นประกายวาบ และเขาก็หลบได้อย่างง่ายดาย
เยี่ยเส่าฉวินพูดไม่ออก…
นี่ฉันถูกน้องสามรังเกียจแล้วเหรอ ต้องโทษพี่ใหญ่ที่ลงมือเหี้ยมโหดเกินไป ใบหน้าของฉันที่สวยเหมือนดอกไม้และหยก ไม่สิ หล่อและมีเสน่ห์ไร้ที่ติพังลงแล้ว~
“เกิดอะไรขึ้นกับหน้าพี่เนี่ย”
ซูรุ่ยเหลือบมองใบหน้าของเยี่ยเส่าฉวินและถามเขาอย่างเย็นชา
“นี่คือ…คือฉันเรียนรู้ทักษะการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับพี่ใหญ่ ฉันพูดแล้วนะว่าทุบคนไม่ทุบหน้า แต่เยี่ยเส่าหนิงชอบทำผิดกฎ ไม้แก่ดัดยาก!”
ถูกแล้ว เล่นแบบนี้ ก็จะต้องฟ้องเรื่องพี่ใหญ่ต่อหน้าน้องสาม! หึหึหึ ใครให้เขาไม่อยู่บ้านตอนนี้กันละ
“พูดว่าใครไม้แก่ดัดยากนะ”
เสียงแข็งกระด้างที่เย็นราวน้ำแข็งดังขึ้นจากข้างหลังของเยี่ยเส่าฉวินทันทีทันใด
เยี่ยเส่าฉวินชะงักงัน…
สวรรค์ ใครบอกฉันได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันได้ยินเสียงหลอนไปแล้วใช่ไหม
“นายไม่ได้หลอน เยี่ยเส่าฉวิน นายยังอยากเรียนรู้ทักษะการต่อสู้กับฉันต่อใช่ไหม”
เสียงของเยี่ยเส่าหนิงยังคงดังต่อเนื่องอย่างเย็นชา
จะบอกว่าทักษะความสามารถของคุณชายใหญ่ตระกูลเยี่ยอย่างนายคือการอ่านใจคนได้เหรอ
คนบนโลกนี้จัดการนายไม่ได้แล้วใช่ไหม
——
[1] ปล่อยเอ็นยาวเพื่อตกปลาใหญ่ (放长线钓大鱼) หมายถึง เป็นการอุปมาสำหรับการวางแผนทำสิ่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในระยะยาว แม้จะไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที แต่ก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นในอนาคต