ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 11 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (11)
วันรุ่งขึ้น ตอนหลิ่วเสวียนมาถึงจวนกงจู่ ก็เป็นเวลาแดดจัดยามเที่ยงพอดี ตามกฎแล้ว ขณะซูหว่านนอนป่วยอยู่บนเตียง หลิ่วเสวียนซึ่งเป็นขุนนางผู้ชาย ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเยี่ยมนางในห้องนอน
ดังนั้น พอหลิ่วเสวียนมาถึงจวนหลัก ก็ถูกจัดให้อยู่ที่ห้องรับแขกของลานด้านใน รออยู่ครึ่งค่อนวัน ซูหว่านค่อยเดินออกมาช้าๆ จากการพยุงของปี้ลั่ว
ไม่เจอกันยังไม่ถึงสองวัน หน้าตาซูหว่านดูซูบซีดลงไปมาก
“จ่างกงจู่”
พอเห็นร่างของซูหว่าน หลิ่วเสวียนก็รีบลุกขึ้นยืน แสดงความเคารพ
“เสนาบดีหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ นั่งเถิด”
ซูหว่านพูดเสียงเบา น้ำเสียงแหบแห้ง ไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง
พอได้ยินเช่นนี้ หลิ่วเสวียนก็นั่งกลับที่นั่งเดิม สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าซูหว่าน “จ่างกงจู่ ทรงมีอาการดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าไหนเลยจะบอบบางขนาดนั้น”
ซูหว่านยิ้มบางๆ ให้หลิ่วเสวียน “ข้ายังต้องขอบคุณเสนาบดีหลิ่วมากๆ ด้วยที่มาเยี่ยมข้าโดยเฉพาะ เสนาบดีหลิ่วเป็นคนมีน้ำใจจริงๆ”
“นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมควรทำพ่ะย่ะค่ะ”
หลิ่วเสวียนผงกศีรษะให้ซูหว่าน จากนั้นค่อยเอ่ยเสียงเบา “วันนี้จักรพรรดินีตัดสินพระทัยที่จะเลื่อนวันอภิเษกสมรสกับเย่ว์ชิงออกไปก่อน เรื่องนี้ จ่างกงจู่ทรงรู้หรือยัง”
“อ้อ?”
พอได้ยินหลิ่วเสวียนพูด ซูหว่านก็อึ้ง สีหน้ายิ่งซีดขาวลงไปอีก “ทำไมล่ะ เป็นเพราะข้าหรือ”
“จ่างกงจู่ ทำไมทรง…ถามทั้งๆ ที่รู้”
หลิ่วเสวียนจ้องมองดวงตาซูหว่าน คล้ายต้องการเห็นช่องโหว่ในสายตานาง เสียดาย ตาหงส์ของซูหว่านล้ำลึก หว่างคิ้วก็ยิ่งมีความวิตกกังวลวาบผ่าน
“ไม่ได้ ข้าจะปล่อยให้จักรพรรดินีทำเช่นนี้ไม่ได้!”
ว่าแล้วซูหว่านก็พยายามลุกขึ้นยืน “ปี้ลั่ว! ไปเอาชุดหงส์ของข้ามาเร็ว บอกให้คนเตรียมรถม้าด้วย ข้าจะรีบเข้าวังไปเข้าเฝ้า!”
“ฝ่าบาท! อาการป่วยของท่าน…”
ปี้ลั่วที่อยู่ด้านข้าง พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน กลับลังเลเล็กน้อย
ส่วนหลิ่วเสวียนที่อยู่อีกด้านก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน พลางมองดูซูหว่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น “จ่างกงจู่ เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย ทรง…”
“บังอาจ!”
ตาหงส์ของซูหว่านเย็นชา ขณะจ้องหลิ่วเสวียนนิ่ง “ข้าทำอะไรไม่ต้องให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการ! ปี้ลั่ว ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก!”
“เพคะ!”
ปี้ลั่วขานรับแล้วถอยออก ขณะมองดูสีหน้าที่อิดโรยของซูหว่าน ใบหน้าที่อ่อนโยนของหลิ่วเสวียนก็แอบหวั่นไหวขึ้นวาบหนึ่ง “จ่างกงจู่ คุ้มค่าหรือ”
ทำเพื่อเย่ว์ชิงเพียงคนเดียว ผู้ชายแบบนั้น ตามความเห็นของหลิ่วเสวียน ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง
“คุ้มหรือไม่คุ้ม ล้วนเป็นเรื่องของข้า ข้าทำอะไรไม่ขอให้โลกยอมรับ ขอแค่ตนเองสบายใจ”
ตนเองสบายใจ?
หลิ่วเสวียนมองซูหว่านด้วยความทึ่งอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าตนเองต้องทำความรู้จักกับฝ่าบาทจ่างกงจู่ท่านนี้ใหม่เสียแล้วจริงๆ
รอจนซูหว่านนั่งรถม้าเข้าวังไปได้ก็บ่ายแล้ว หลังจากเข้าไปในวัง ซูหว่านก็เดินโซซัดโซเซไปที่ห้องทรงพระอักษร
ขณะนั้น ซูม่านกำลังจัดการงานราชกิจอยู่ในห้อง พอเห็นซูหว่านพรวดพราดเข้ามา ก็อึ้งไปสักพัก “เสด็จพี่ ท่าน ท่านมาได้อย่างไรกัน”
“ทำไมถึงไม่แต่งเย่ว์ชิงเล่า”
ซูหว่านจ้องตาซูม่าน พลางถามเน้นทีละคำ
“เสด็จพี่ ท่านดูท่านในตอนนี้สิ ยังป่วยอยู่แท้ๆ เราจะมีใจจัดงานมงคลได้อย่างไรกัน”
ซูม่านเดาความรู้สึกนึกคิดของซูหว่านไม่ออก จึงได้แต่พูดไปอย่างนั้นเอง รอดูลวดลายซูหว่านก่อน
“ข้าไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้ารีบแต่งงานกันเถอะ ที่จวนข้าเตรียมสินสอดทองหมั้นก้อนใหญ่ไว้ให้เย่ว์ชิงแล้ว”
ซูหว่านพูดพลางล้วงป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกจากอกเสื้อของตนเอง
เป็นป้ายคำสั่งสีม่วงทอง ด้านหลังสลักอักษรคำว่า ‘ซู’ ตัวหนึ่ง ส่วนด้านหน้าเป็นอักษรคำว่า ‘ลับ’ สีแดงโลหิตตัวหนึ่ง
นี่คือ…
ป้ายคำสั่งระดมกำลังองครักษ์ลับ! เฉกเช่นเครื่องรางพยัคฆ์ของกองทัพ ที่เห็นคำสั่งดุจเห็นคน
พอเห็นป้ายคำสั่งนี้ ม่านตาของซูม่านก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ลง…นี่เป็นเกียรติยศที่ซูหว่านกว่าจะแย่งกลับมาได้ ต้องสู้อย่างสุดชีวิตในเกมชิงอำนาจอันโหดร้ายกับคนในเชื้อพระวงศ์กลุ่มหนึ่ง
องครักษ์ลับ ถูกคนในเชื้อพระวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดควบคุมอยู่ในมือเสมอมา และตอนนี้ผู้ที่ควบคุมองครักษ์ลับก็คือซูหว่าน
“ฝ่าบาทอยากได้สิ่งนี้มาตลอดมิใช่หรือ ข้าให้!”
ว่าแล้วซูหว่านก็โยนป้ายคำสั่งที่ผู้คนนับไม่ถ้วนอยากได้อยากมีลงบนพื้นหินมรกตของห้องทรงพระอักษร ประหนึ่งโยนขยะอย่างไรอย่างนั้น “สินสอดชิ้นนี้ มูลค่ามากพอหรือไม่ ฝ่าบาท จะทรงอภิเษกสมรสหรือไม่”
สีหน้าของซูม่านก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้น นางกระทั่งเริ่มสงสัยแล้วว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอาจไม่ใช่เสด็จพี่ของตน
เสด็จพี่ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เหตุใดเพื่อผู้ชายเพียงคนเดียว ถึงกับละทิ้งหมากเด็ดที่สุดของตนเองได้ลงคอ
นี่มิใช่นิสัยของซูหว่าน
แม้ในใจสงสัยเต็มๆ แต่ซูม่านก็รู้ว่าป้ายคำสั่งนั่นเป็นของจริง
“เสด็จพี่ ท่านยอมทิ้ง…องครักษ์ลับจริงๆ หรือ”
ซูม่านลองถามอีกรอบดู
พอได้ยินคำถามนาง ซูหว่านก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “นอกจากปี้ลั่วที่ข้าจะพาไปด้วยแล้ว อย่างอื่นล้วนแล้วแต่ทรงจัดการ!”
“ท่านไม่อาลัยอาวรณ์หรือ”
ดวงตาของซูม่านเปล่งประกายขึ้นวาบหนึ่ง สายตาอันแหลมคมจ้องมองซูหว่านไม่วางตา
“ทำไมต้องอาลัยอาวรณ์ สิ่งที่ข้าอาลัยอาวรณ์ที่สุด…ได้ถูกฝ่าบาทแย่งเอาไปแล้ว ข้ายังจะต้องการสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไรกัน แม้ข้ามีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่มีใครยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมแบ่งปันกับข้าอีก”
ว่าแล้วซูหว่านก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ซูม่าน “ฝ่าบาท โอกาสนี้มีเพียงครั้งเดียว อย่ารีรอจนข้าเปลี่ยนใจ ป้ายคำสั่งนี้ จะทรงรับหรือไม่รับกันแน่”
“เรารับ!”
ไม่ว่าซูหว่านพูดจริงหรือเท็จ ซูม่านก็ไม่มีทางพลาดโอกาสดีที่สวรรค์ประทานมาให้เช่นนี้เป็นอันขาด!
“ดี!”
พอเห็นซูม่านตอบในทันที ซูหว่านก็ยิ้มน้อยๆ สะบัดแขนเสื้อทรงกว้าง แล้วหันกาย ก้าวยาวๆ ออกจากห้องทรงพระอักษรไปอย่างไม่ลังเลใจ
แดดบนฟ้ายังคงแรงจนแยงตา ซูหว่านจึงผงะเล็กน้อยตอนก้าวออกมา นางยกมือขึ้นบังหน้าผาก และพอเอามือลง ก็เห็นเย่ว์ชิงกำลังยืนอยู่ไม่ไกล
เขายังคงสวมชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ แขนเสื้อกระพือลม และมองนางนิ่งด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ขณะยืนอยู่ตรงนั้น…
หลังจวนสกุลเฟิง ในเมืองหลวง
เนื่องจากเฟิงอู๋ซวงร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก หมดสิทธิ์ออกนอกบ้าน เฟิงฮูหยินจึงปลูกต้นไม้ดอกไม้หลากหลายชนิดจนเต็มพื้นที่หลังจวน ยามว่างก็ให้เด็กรับใช้ในจวนพาเฟิงอู๋ซวงออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ชมต้นไม้ใบหญ้า
ตอนนี้เฟิงอู๋ซวงไม่อยู่แล้ว ทว่าไม้ดอกไม้ใบหลังจวนสกุลเฟิงกลับยังเจริญเติบโตท้าลมท้าแดดอย่างสวยสดงดงาม
ฉือเสวี่ยยวนยืนอยู่หลังจวนสกุลเฟิง กำลังมองดูดอกไม้สีสันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ ท่าทางตกอยู่ในภวังค์
“เสวี่ยยวน เจ้ามาหาข้าหรือ”
ซูรุ่ยเดินทอดน่องมาที่หลังจวน เขาเห็นเสวี่ยยวนยืนนิ่งอยู่ข้างแปลงดอกไม้ จึงอดไม่ได้ที่จะเรียกนาง
“ญาติผู้พี่”
พอได้ยินเสียงซูรุ่ย ฉือเสวี่ยยวนก็รีบหันกายมาทันที “กลับมาแล้วหรือ!”
“อืม ทำไมเจ้ามายืนใจลอยอยู่คนเดียวตรงนี้ล่ะ แม่ข้าบอกว่าเจ้ามาหาข้าโดยเฉพาะ มีเรื่องอะไรหรือ”
“ข้า…”
ฉือเสวี่ยยวนจ้องมองใบหน้าเฉยเมยที่คุ้นเคยตรงหน้า ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงเชิดหน้าขึ้น ก่อนถามอย่างจริงจัง “ญาติผู้พี่ ชอบข้าหรือเปล่า”
ชอบ?
ซูรุ่ยลังเลชั่วขณะ คล้ายนึกไม่ถึงอยู่บ้าง
พอฉือเสวี่ยยวนเห็นเขาอึ้งไป ไม่พูดไม่จา ขณะเตรียมจะถามต่อ ซูรุ่ยกลับเอ่ยปากเบาๆ “พี่ก็ต้องชอบเจ้าสิ ทำไมหรือ”
“เช่นนั้นพี่แต่งให้ข้านะ!”
เมื่อฉือเสวี่ยยวนได้ยินคำตอบของซูรุ่ย ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก น้ำเสียงจึงผ่อนคลายตาม
แต่งให้นาง?
แม่ทัพซูยิ้มเย็นชาในใจ แต่ใบหน้ากลับยังมีท่าทีเฉยเมย “เสวี่ยยวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพี่ถึงเข้ารับราชการในราชสำนัก พี่อยากเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เสวี่ยยวน ตอนนี้พี่ก็อยากถามเจ้าเช่นกันว่า เจ้า…ชอบพี่หรือเปล่า”
“ชอบอยู่แล้ว”
ครั้งนี้ฉือเสวี่ยยวนกลับตอบอย่างรวดเร็ว โดยจริงๆ แล้วก่อนมาจวนสกุลเฟิง นางได้คิดอะไรมากมาย ซึ่งสามารถแน่ใจได้ว่า ความจริงนางเองก็ชอบเฟิงอู๋เฉินอยู่เหมือนกัน
“ในเมื่อเจ้าก็ชอบพี่ เช่นนั้นเสวี่ยยวน เจ้าแต่งให้พี่ดีไหม”
ซูรุ่ยจ้องตาฉือเสวี่ยยวน พลางพูดเน้นทีละคำ
“อะไรนะ?”
พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ฉือเสวี่ยยวนพลันทำตาโต จ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ญาติผู้พี่เลอะเลือนไปแล้วหรือไร ข้าฉือเสวี่ยยวนจะแต่งให้ใครได้อย่างไรกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ เมื่อเจ้ากับข้าชอบพอกัน ผู้ชายแต่งผู้หญิงเข้าบ้าน ไม่เหมาะสมตรงไหน”
ซูรุ่ยจ้องตาฉือเสวี่ยยวนต่อ น้ำเสียงก็ค่อยๆ เยือกเย็นลง
“เป็นไปไม่ได้”
ฉือเสวี่ยยวนตัดบทคำพูดของซูรุ่ยอย่างเคร่งขรึม “อย่าว่าแต่ข้าฉือเสวี่ยยวนเลย เป็นไปไม่ได้ที่สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงคนใดจะยอมลดสถานะของตนเอง โดยการแต่งให้บุรุษ ญาติผู้พี่ นี่เป็นการฝืนใจคนให้ทำเรื่องที่ทำไม่ได้ชัดๆ!”
“ฝืนใจคนให้ทำเรื่องที่ทำไม่ได้หรือ”
ซูรุ่ยหัวเราะเย้ยหยัน “ฉือเสวี่ยยวน วันนี้ข้าเฟิงอู๋เฉินวางคำพูดไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ชีวิตนี้ชาตินี้ ถ้าข้าไม่แต่งภรรยา ก็ต้องแต่งสตรีสูงศักดิ์เข้าจวนให้ได้สักท่านหนึ่ง!”
“หึ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ฉือเสวี่ยยวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็นชาออกมา “ดีล่ะ! ในเมื่อญาติผู้พี่มีแรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ก็เป็นข้าเองที่ฝืนใจคนให้ทำเรื่องที่ทำไม่ได้แล้ว! เช่นนั้นข้าฉือเสวี่ยยวนจะขยี้ตารอดูก็แล้วกัน!”
ว่าแล้วฉือเสวี่ยยวนก็หันกายอย่างใจเย็น แล้วเดินจากไปอย่างเย่อหยิ่ง
ขยี้ตารอดู?
ขณะมองเงาร่างของฉือเสวี่ยยวนที่เดินจากไปอย่างเย่อหยิ่ง แม่ทัพซูก็แค่อยากบอกว่า…
เจ้าไม่ต้องขยี้ตารอดูหรอก ข้าเกรงว่าถึงเวลานั้น สิ่งที่เจ้าเห็นอาจแยงตาสุนัขของเจ้าจนบอดได้