ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 15 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (15)
เมื่อได้ยินคำพูดของซูม่าน เย่ว์ชิงก็ตกใจไปชั่วขณะ…เพราะต้องการแต่งงาน กระทั่งตำแหน่ง ลู่ฉางเกอก็ล้วนไม่ต้องการ?
ต้องรู้ว่า ในแคว้นหลวนเฟิ่งโดยทั่วไปแล้ว สถานะของผู้ชายต่ำกว่าผู้หญิง เดิมทีจอมทัพอย่างเขาก็แทบไม่มีสิทธิ์แต่งปี้ลั่วเข้าบ้านอยู่แล้ว และถ้าเขาตัวเปล่าเล่าเปลือยเช่นนี้ ปี้ลั่วจะยอมแต่งให้เขาหรือ ต่อให้นางยอม จ่างกงจู่จะยอมหรือ
พอนึกถึงซูหว่าน แววตาของเย่ว์ชิงก็เลื่อนลอยโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นซูหว่าน นางอาจ…
“ฝ่าบาท ถ้าจ่างกงจู่ยอมให้แต่งงานกันเช่นนั้นจริงๆ ล่ะ” ไม่รู้ทำไม เย่ว์ชิงพลันถามออกมาประโยคหนึ่ง
“เป็นไปไม่ได้!”
ซูม่านที่อยู่อีกด้านหลุดปากออกมาตามจิตใต้สำนึก “ซูหว่านจะยอมให้คนสนิทของตนออกเรือนไปกับสามัญชนได้อย่างไรกัน ต่อให้ลู่ฉางเกอมีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหน เมื่อไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ที่เราให้ เขาก็เป็นเพียงสวะที่ไร้ซึ่งมูลค่าการใช้งานใดๆ คนหนึ่ง!”
วรยุทธ์สูงส่งถือว่าไม่ธรรมดาหรือ
โดยพื้นฐานแล้ว สตรีในแคว้นหลวนเฟิ่งทุกคนล้วนฝึกวรยุทธ์ ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งจึงมีอยู่มากมาย ลู่ฉางเกอมีพรสวรรค์ในการเป็นผู้นำทางทหาร แต่เมื่อเขาลาออกจากค่ายทหาร เขาก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายทั่วๆ ไป
ซูม่านเชื่อว่า โลกนี้มีแต่ตนเท่านั้นที่สามารถให้ชีวิตในแบบที่ลู่ฉางเกอต้องการได้ ถึงเขาลาออกในวันนี้ วันหน้าก็ต้องนึกเสียใจ กลับมาขอร้องตนอย่างแน่นอน
สวะที่ไร้ซึ่งมูลค่าการใช้งานใดๆ…
พอได้ยินคำพูดของซูม่าน แววตาของเย่ว์ชิงก็มืดมนลง
การใช้เล่ห์เพทุบายต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ เจ้าหลอกข้า ข้าหลอกเจ้า ในวังหลวงนั้น ผู้ใดไร้ซึ่งมูลค่าการใช้งาน ล้วนถูกเตะออกทันที
เช่นนั้น…ตนนับเป็นอะไรในใจของฝ่าบาท
เป็นสินสงครามจากการสู้รบที่นางแย่งมาได้จากจวนจ่างกงจู่หรือเปล่า
……
ซูม่านสั่งให้คนแพร่ข่าวเรื่องการลาออกจากราชการของลู่ฉางเกอไปทั่ว ทำให้คนทั้งเมืองหลวงล่วงรู้เรื่องนี้ในเวลาอันสั้น
สกุลลู่มิใช่สกุลสูงศักดิ์ การที่คนในบ้านสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ ล้วนอาศัยการทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดชีวิตในสนามรบของลู่ฉางเกอแต่เพียงผู้เดียว การลาออกในครั้งนี้ของเขา จึงส่งผลให้สกุลลู่ประสบกับความยากลำบากกะทันหัน
ดีที่บิดามารดาของลู่ฉางเกอและน้องสาวของเขาลู่อวี่ฉิง ไม่ยี่หระต่อลาภยศสรรเสริญ คนสกุลลู่จึงไม่เครียดมากกับเรื่องนี้นัก สองผู้อาวุโสสกุลลู่เพียงเกรงว่าคนในจวนจ่างกงจู่จะเปลี่ยนใจเท่านั้น
“ไม่หรอก ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนั้น”
แม้เมื่อก่อนลู่ฉางเกอยืนอยู่คนละฝั่งกับซูหว่าน แต่ครั้งนี้ เขากลับเชื่อมั่นในตัวนางมาก
“นั่นสิ นั่นสิ”
ลู่อวี่ฉิงที่อยู่อีกด้านก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้เช่นกัน “จ่างกงจู่ให้ความสำคัญกับความรักเป็นที่สุด คนในเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้าง นางไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญาและไร้ศีลธรรมเช่นนั้นแน่!”
ผู้คนในเมืองหลวงพูดถึงซูหว่านในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักกลับไม่เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานของลู่ฉางเกอกับปี้ลั่ว
เกิดเป็นขุนนาง ถ้าใจไม่ดำพอ โตยาก
“เสนาบดีหลิ่ว เรื่องในครั้งนี้ ท่านคิดเห็นอย่างไร”
หลิ่วเสวียนผู้นี้ มีชื่อด้านการมีทัศนวิสัยที่แม่นยำ มีกลอุบายที่แยบยล มนุษยสัมพันธ์ในราชสำนักก็ไม่เลวมาตลอด จึงกลายเป็นผู้นำทางทหารที่น่าทึ่งแห่งยุคในหมู่ขุนนางชายโดยเฉพาะ
พอเห็นขุนนางชายที่รายล้อมอยู่รอบๆ เหล่านี้มีแววตาทั้งคาดหวังและวิตกกังวล หลิ่วเสวียนก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ “เร็วๆ นี้จะมีข่าวจากฝั่งของจวนกงจู่เอง พวกท่านร้อนรนอะไร ไม่ใช่พวกท่านแต่งงานสักหน่อย!”
จริงๆ แล้ว ผู้ชายที่เข้ามารับราชการในราชสำนัก มีความทะเยอทะยานและมีความปรารถนากันทั้งสิ้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขารู้สึกเครียดและวิตกกังวล เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้กับลู่ฉางเกอ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอคอย ก็มีข่าวทยอยออกจากฝั่งของจวนจ่างกงจู่ในที่สุด…
วันวิวาห์ของลู่ฉางเกอกับปี้ลั่วไม่เปลี่ยนแปลง พิธีการทั้งหมดจ่างกงจู่เป็นแม่งาน โดยสิ่งเดียวที่นางขอก็คือ หวังว่าลู่ฉางเกอจะไม่ทำให้ปี้ลั่วผิดหวัง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ตาม…
ทั้งสองรักเดียวใจเดียว จูงมือกันไปชั่วชีวิต!
พอมีข่าวนี้ออกมา ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็ร้องว่าเยี่ยมพลางปรบมือให้ พวกเขารู้ว่าจ่างกงจู่เป็นคนที่ยึดมั่นในรักแท้ ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครมีศีลธรรมความรักมากไปกว่าจ่างกงจู่อีก!
ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ “…”
ไร้เหตุผลสิ้นดี! เจ็บแก้มชะมัด หรือความคิดอ่านของจ่างกงจู่เปลี่ยนไปมาก เพราะเจ็บปวดจากความรัก จึงปลงต่อโลกและไม่ต้องการเกียรติยศชื่อเสียงอีก?
……
วันที่สิบห้าเดือนห้า ฤกษ์งามยามดีของพิธีวิวาห์
นี่เป็นครั้งที่สองที่จวนจ่างกงจู่จัดงานมงคล โดยครั้งนี้ยิ่งใหญ่และคึกคักกว่าครั้งที่แล้ว ด้วยปี้ลั่วเป็นผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายซูหว่านตั้งแต่เด็ก ซูหว่านจึงจัดงานให้นางอย่างพิถีพิถัน พิธีการทุกอย่างล้วนดำเนินการตามข้อกำหนดสูงสุดของงานวิวาห์สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง
หลังจากปี้ลั่วก้าวออกจากจวนกงจู่ ซูหว่านก็ยังพยุงนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวด้วยตัวเอง ทำให้ปี้ลั่วน้ำตาไหลอย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาท บ่าวรับใช้พระองค์ไม่ได้แล้ว บ่าวไม่อยากไปเลย”
“เด็กโง่ อย่าร้องไห้สิ ต่อไปเจ้าก็ยังกลับมาได้เสมอ”
ซูหว่านยกมือขึ้น กะเช็ดน้ำตาให้ปี้ลั่ว ขณะที่คนทั้งสองยังร่ำลากัน ด้วยเสียดายที่ต้องจากกัน พลันมีลูกธนูนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากฟากฟ้า!
กลางวันแสกๆ หน้าประตูจวนกงจู่ กลับมีมือสังหารจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหันอย่างน่าใจหาย
“ฝ่าบาท ระวัง!”
ปฏิกิริยาแรกของปี้ลั่วคือ กันซูหว่านให้อยู่ด้านหลังตน แล้วจึงชักกระบี่ที่เอวออกมาตามสัญชาตญาณ…
มารดาเถิด สวมชุดเจ้าสาว ไม่ได้พกกระบี่!
ยามนี้ กลุ่มมือสังหารที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้น ได้ล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว พอเกิดการเปลี่ยนแปลง คนกลุ่มใหญ่ที่มามุงดูความคึกคักหน้าจวนกงจู่อยู่แต่เดิม ก็พากันกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก อีกทั้งมีผู้บริสุทธิ์หลายคนเสียชีวิตใต้คมธนูเหล่านั้น โลหิตพลันย้อมหน้าประตูจวนกงจู่จนแดงฉาน
จริงๆ เลย…กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว!
แววตาซูหว่านเย็นวาบ นางพลันชักกระบี่ที่พกไว้ออกมา นำเหล่าองครักษ์จวนกงจู่ต่อสู้กับมือสังหารเหล่านี้
ข่าวมือสังหารจำนวนมากลอบสังหารจ่างกงจู่ แพร่ไปทั่วเมืองหลวงในพริบตา เดิมทีลู่ฉางเกอกำลังรอรับเจ้าสาว พอรู้ข่าวก็รีบควบม้าไปยังจวนกงจู่ทันที…
ขณะเดียวกัน ถนนใหญ่ในเมืองหลวงก็โกลาหลไปหมด
“คุณชาย คุณชาย!”
โหลวหนิงหอบหายใจพลางตะโกน ขณะวิ่งตามโหลวเซียวเซียวอยู่ด้านหลัง “คุณชาย ท่านคลุ้มคลั่งไปแล้วหรือ ท่านไม่มีวรยุทธ์ จะไปร่วมสนุกที่จวนกงจู่ได้อย่างไรกัน”
“อย่ามายุ่งกับข้า! ข้าจะไป…ไปเก็บศพจ่างกงจู่ ไม่ได้หรือไง”
โหลวหนิง “…”
มิน่าเล่า เจ้าถึงไม่มีคนรัก ถ้าข้าเป็นจ่างกงจู่ ก็ไม่มีทางแยแสคนหยิ่งยโสปากร้ายอย่างเจ้าแน่
เมื่อโหลวเซียวเซียวมาถึงกลุ่มคนที่มุงดูอยู่บริเวณจวนจ่างกงจู่อย่างกินแรง ก็เห็นว่าซูหว่านกำลังถูกมือสังหารกลุ่มใหญ่ล้อมจู่โจมจากระยะไกล
อันตรายยิ่ง!
แววตาโหลวเซียวเซียวพลันตึงเครียดขึ้นมา ขณะที่เขาหันมองไปรอบๆ เตรียมหาอาวุธเหมาะมือที่จำเป็นต้องใช้ในยามคับขัน ทันใด แสงสีเงินของกระบี่สายหนึ่งก็แหวกอากาศเข้ามา ทำให้ผู้คนรอบบริเวณหรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ รอจนทุกคนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นเฟิงอู๋เฉินในชุดดำกับกระบี่ยาวเปื้อนโลหิต อุ้มซูหว่านด้วยมือข้างเดียว เหาะอยู่กลางอากาศ
“ฝ่าบาท ทรงไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสียงที่เด็ดเดี่ยวดังอยู่ข้างหูซูหว่าน
“ข้าไม่เป็นไร”
ซูหว่านสั่นศีรษะ ในตอนนี้เอง ด้านหลังพลันมีเงาร่างสองสายถือกระบี่ยาวพุ่งมาตรงตำแหน่งหัวใจของซูหว่าน…
“ซูหว่าน ระวัง!”
โหลวเซียวเซียวที่อยู่ในกลุ่มคนพยายามร้องตะโกนอย่างอดไม่ได้ ก่อนคว้าไม้ที่อยู่ข้างๆ พุ่งเข้าไปทันที รอจนเขาพุ่งออกมาอย่างทุลักทุเล โลหิตก็สาดกระเซ็นกลางอากาศไปแล้ว เฟิงอู๋เฉินใช้ร่างกายตนเองปกป้องซูหว่านจากการลอบกัด ทำให้แผ่นหลังของเขาถูกย้อมไปด้วยโลหิต
แม้ไม่รู้ว่ามือสังหารกลุ่มนี้มาจากไหน แต่พวกเขากลับบังเอิญมาเติมเต็มความปรารถนาในการเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยชีวิตสาวงามของแม่ทัพซู และเพื่อให้ผลลัพธ์ของฉาก สะเทือนอารมณ์ยิ่งขึ้น ซูรุ่ยที่เห็นชัดว่าหลบกระบี่ได้อย่างง่ายดาย ถึงกับยอมใช้แผ่นหลังของตนเองรับสองกระบี่นี้ไว้
ถ้าไม่จ่ายค่าตอบแทนด้วยโลหิต จะอุ้มสาวงามกลับได้อย่างไรกัน