ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 16 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (16)
พอเห็นซูรุ่ยบาดเจ็บ แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาจงใจ แต่สายตาของซูหว่านก็ยังคงเย็นชาและมืดมนลงทันที…
นี่เห็นนางกลายเป็นคนอ่อนแอไปแล้วจริงๆ หรือ คนเหล่านี้ถึงได้กล้าแสดงความอหังการที่หน้าประตูจวนจ่างกงจู่เช่นนี้!
ร่างของทั้งสองตกลงมาจากกลางอากาศ ซูหว่านพลิกร่าง พยุงซูรุ่ยไว้ “เสนาบดีกลาโหม อย่าขยับตัวสะเปะสะปะ ข้า…”
“ฝ่าบาท”
ซูรุ่ยยิ้มพลางยกมือของซูหว่านออก “มือของฝ่าบาทไม่ควรแปดเปื้อนด้วยพวกปลายแถวเหล่านี้”
ซูรุ่ยพูดพลางกระชับกระบี่ยาวในมือแน่น แล้วรัศมีกระบี่อันไร้เทียมทานก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที!
พริบตาเดียว รังสีฆ่าฟันก็ล้นทะลักรอบทิศ อิฐหินดินทรายปลิวว่อน…
ตอนที่ลู่ฉางเกอรุดมาถึงหน้าประตูจวนกงจู่ สิ่งที่เห็นก็คือซากศพเกลื่อนกลาด พื้นศิลาหน้าประตูจวนถูกโลหิตสดๆ ย้อมเป็นสีแดงไปหมด
การต่อสู้ที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้ชุดแต่งงานของปี้ลั่วฉีกขาดไปบ้าง กระทั่งแขนของนางก็ยังเลอะโลหิต
“ปี้ลั่ว!”
พอลู่ฉางเกอเห็นปี้ลั่วบาดเจ็บ ก็รีบกระโดดลงจากหลังม้า พุ่งไปอยู่ตรงหน้านาง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฝ่าบาทล่ะ?”
“ทรงไม่เป็นไร แต่…เสนาบดีกลาโหมบาดเจ็บสาหัสจากการปกป้องพระองค์”
ว่าแล้วปี้ลั่วก็มองไปยังประตูใหญ่จวนจ่างกงจู่ด้วยแววตาอันเคร่งขรึม
ไม่นาน ประตูใหญ่ก็เปิดออก ซูหว่านเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบขุนนาง เดินออกมาพร้อมสีหน้าเฉยชา
“ฝ่าบาทจ่างกงจู่!”
ผู้คนที่ยังคงรวมตัวกันบนถนน พอเห็นซูหว่านปรากฏตัวขึ้น ก็พากันตะโกนเรียกนางด้วยความเคารพ
ตาหงส์ของซูหว่านนิ่ง ก่อนกวาดตามองผู้คนโดยรอบ แล้วจึงชักกระบี่ของตนออกมา…
เสียง ฉึก ปลายแหลมของกระบี่ปักลึกเข้าไปในพื้นศิลาที่โลหิตกำลังไหลริน “พ่อแม่พี่น้องที่เคารพทุกท่าน เดิมทีวันนี้คือวันงานรื่นเริงของจวนกงจู่ แต่กลับมีสภาพเช่นนี้ไปได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้งานมงคลสมรสล่าช้า ยังทำให้ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากต้องตายอย่างเสียเปล่า วันนี้ข้าขอเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพและค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของผู้เคราะห์ร้ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเอง! แน่นอน ทุกท่านวางใจ! ข้าจักทวงคืนความยุติธรรมให้กับทุกๆ ท่าน! ต้องไม่มีใครตายเปล่า โลหิตทุกหยาดหยดต้องไม่เสียเปล่า! วันนี้ข้าขอปักกระบี่สาบานว่า…ต้องหาฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ และให้มันชดใช้เป็นสิบเท่า! เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”
“เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”
องครักษ์ของจวนกงจู่ตะโกนตามทันที
“เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”
ฝูงชนที่รายล้อมอยู่โดยรอบพากันพรั่งพรูอารมณ์โกรธออกมา ตะโกนตามเหล่าองครักษ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้ที่สูญเสียคนสนิทบางคน กระทั่งตื้นตันใจจนตาแดงก็มี
“ฝ่าบาท!”
ปี้ลั่วพลันคุกเข่าลงตรงหน้าซูหว่าน “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่แต่งงานแล้ว! หม่อมฉันก็ต้องการล้างแค้นให้พ่อแม่พี่น้องที่ต้องตายไปเปล่าๆ เช่นเดียวกัน!”
“ปี้ลั่ว!”
ซูหว่านอึ้ง จ้องมองปี้ลั่วด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“ฝ่าบาทจ่างกงจู่!” ลู่ฉางเกอก็คุกเข่าลงตามปี้ลั่ว “ถ้าทรงไม่รังเกียจ ฉางเกอก็พร้อมติดตามพระองค์ จวบจนแก้แค้นให้ทุกคนเรียบร้อย ค่อยแต่งงานกับปี้ลั่ว!”
“เหลวไหล!”
ซูหว่านสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ตาหงส์ฉายแววเย็นชา “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในวันนี้ต้องการก่อกวนงานวิวาห์ของพวกเจ้า ซึ่งข้าไม่มีวันยอมให้เขาสมหวัง! ทุกท่าน เก็บน้ำตาเสีย วันนี้ยังคงเป็นวันมหามงคล! ถึงข้าต้องเหยียบโลหิต ก็ต้องส่งปี้ลั่วออกเรือนให้ได้!” ว่าแล้วซูหว่านก็ตบมือสองที หลิวอิงจึงรีบสาวเท้าก้าวออกจากจวนกงจู่ ในมือยกถาดหนึ่ง บนถาดมีเสื้อคลุมสีแดงสดตัวหนึ่ง
ซูหว่านหยิบเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ให้ปี้ลั่ว “ปี้ลั่ว ถ้าเจ้ากับฉางเกอยินยอมติดตามข้า ข้าต้อนรับทุกเมื่อ แต่วันนี้เป็นวันออกเรือนของเจ้า เจ้าต้องแต่งงานอย่างสบายใจ! มีข้าอยู่ทั้งคน ในโลกนี้ไม่มีใครทำลายงานแต่งครั้งนี้ลงได้!”
“เด็กๆ ดนตรี!”
นอกจวนกงจู่ เสียงดนตรีแห่งความสุขดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง ตามคำสั่งของซูหว่านทันที
ขบวนส่งเจ้าสาวจึงเดินหน้าต่อ ลู่ฉางเกอที่สวมชุดสีแดงสดก็ขี่ม้าไปพร้อมกับขบวน จวนกงจู่กับจวนสกุลลู่ห่างกันราวสิบลี้ ผู้คนต่างพากันเดินตาม พวกเขาก็ต้องการเห็นงานวิวาห์นี้กับตาตนเองเช่นเดียวกัน
ด้วยนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแคว้นหลวนเฟิ่ง ที่นางในชั้นสามแต่งออก!
งานมหามงคลสมรสครั้งนี้ ถูกย้อมไปด้วยสีแดงโลหิต สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งเมืองหลวง และสร้างความตื่นตะลึงให้กับพลเมืองชั้นล่างสุด นับแต่นั้นเป็นต้นมา ‘จ่างกงจู่’ สมญานามนี้ มิใช่เชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งที่แตะต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นคำสรรพนามแห่งความรักและยุติธรรมในสายตาของคนทั่วไป…
ค่ำคืน บ้านเรือนจุดโคมไฟ
หลังจวนสกุลเฟิง
ตอนฉือเสวี่ยยวนออกจากพระราชวัง มาถึงบ้านสกุลเฟิงอย่างเร่งรีบนั้น ก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว นางเดินไปยังห้องนอนของเฟิงอู๋เฉินภายใต้การนำทางของเด็กรับใช้ในบ้าน แต่ยังไม่ทันเดินเข้าประตูห้อง ก็ได้กลิ่นยาสมุนไพรเข้มข้นที่โชยมาตามสายลม
ฉือเสวี่ยยวนจึงอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และพอนางก้าวเข้าห้องด้านใน ก็เป็นอันตะลึงงัน
เฟิงอู๋เฉินกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง เปลือยหลังทั้งหมด เห็นรอยกระบี่สองรอย ไขว้กากบาทอยู่บนแผ่นหลัง โหดร้ายยิ่ง
ขณะเดียวกัน ซูหว่านก็กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ค่อยๆ ทายาสมานแผลให้เขา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ซูหว่านก็เบี่ยงตัวมาแล้วเงยหน้าขึ้น พอเห็นฉือเสวี่ยยวนยืนอยู่หน้าประตู นางก็ยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ “เสนาบดีฉือ มาแล้วหรือ”
“เอ่อ ฝ่าบาท! หม่อมฉัน…หม่อมฉันมาเยี่ยมญาติผู้พี่เพคะ”
“ชู่”
ซูหว่านส่งสัญญาณมือให้ฉือเสวี่ยยวนเงียบๆ “เขาทานยาแล้วเพิ่งหลับสนิท ข้าช่วยเขาทายาที่หลังอีกรอบ เจ้านั่งตามสบายเลย”
ฉือเสวี่ยยวน “…”
เหตุใดถึงมีความรู้สึกว่ามาถึงจวนกงจู่ล่ะเนี่ย
หรือที่นี่ไม่ใช่บ้านสกุลเฟิง
“ฝ่าบาท ญาติผู้พี่เขา…ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”
พอเห็นเฟิงอู๋เฉินที่นอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน คล้ายหลับสนิทไปจริงๆ ฉือเสวี่ยยวนจึงจำต้องลดเสียงให้เบาลง เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนกงจู่เมื่อเช้า นางย่อมรู้แล้ว เพียงแต่เฟิงอู๋เฉินถูกจัดให้อยู่ในจวนของจ่างกงจู่ตลอดช่วงกลางวัน นางจึงไม่สะดวกไปเยี่ยม ส่วนช่วงค่ำ ฝ่าบาทก็เรียกให้ตนเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วนอีก ฉือเสวี่ยยวนต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ค่อยรีบรุดมา
แม้ตอนอยู่บ้านสกุลเฟิงครั้งก่อน ตนกับญาติผู้พี่จากกันอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ฉือเสวี่ยยวนก็ยังหวนนึกถึงความรู้สึกของกันและกันเสมอ ครั้งนี้พอรู้ว่าเฟิงอู๋เฉินบาดเจ็บ นางก็เป็นห่วงเขามากกว่าคนอื่น
เมื่อเห็นว่าความกังวลบนใบหน้าของฉือเสวี่ยยวนมิได้เสแสร้ง ซูหว่านค่อยถอนหายใจเบาๆ ออกมา “หมอหลวงมาดูอาการเขาแล้ว ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาจต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงสักระยะหนึ่ง”
“ค่อยยังชั่วเพคะ”
พอได้ยินว่าเฟิงอู๋เฉินไม่เป็นไร ฉือเสวี่ยยวนก็อดไม่ได้ที่จะเป่าปากอย่างโล่งอก
และตอนนี้ ซูหว่านก็ได้ทายาให้ซูรุ่ยเสร็จเรียบร้อย จึงหันไปหยิบผ้าขาวที่อยู่ด้านข้างมาพันแผลให้ซูรุ่ยอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเห็นซูหว่านโน้มตัวไปมาบนร่างของเฟิงอู๋เฉินโดยไม่มีท่าทีเขินอายแม้แต่น้อย ฉือเสวี่ยยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกไม่สบายใจตะหงิดๆ เหมือนของรักของหวงของตน พลันถูกคนแย่งเอาไปอย่างไรอย่างนั้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเอง!”
ฉือเสวี่ยยวนก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง คิดจะช่วย แต่กลับถูกซูหว่านปฏิเสธอย่างเย็นชา “ไม่รบกวนเสนาบดีฉือท่านแล้ว อู๋เฉินเขาไม่ชอบให้คนนอกแตะเนื้อต้องตัว”
คนนอก?
ฉือเสวี่ยยวนค้างมือไม้กลางอากาศ
นางกับญาติผู้พี่โตมาด้วยกันแต่เด็ก มีใจให้กันแต่เด็ก แล้วนางกลายเป็นคนนอกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ฝ่าบาทเพคะ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน เพื่อชื่อเสียงของพระองค์…”
ฉือเสวี่ยยวนกะพริบตา กะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันไร ซูหว่านที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ยิ้มน้อยๆ พลางขัดจังหวะคำพูดนาง “อู๋เฉินช่วยชีวิตข้าไว้ แต่นี้เป็นต้นไป เขาก็คือผู้ชายของข้า ข้าปรนนิบัติผู้ชายของตัวเอง ใครกล้าพูดมากบ้าง?”