ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 19 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (19)
เมืองหลวงปลายเดือนห้า อากาศอบอุ่น ดอกไม้บาน ต้องบอกว่าช่วงนี้ ผู้คนในเมืองหลวงล้วนใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย หลังทานข้าวจิบน้ำชา เรื่องที่ผู้คนพูดคุยกันมากที่สุด ก็คือจ่างกงจู่
ไม่ผิด ในเมืองใหญ่อย่างเมืองหลวง ท่านอาจไม่รู้จักฝ่าบาท ไม่รู้จักเสนาบดีหลิ่ว ไม่รู้จักเสนาบดีฉือ แต่ท่านไม่มีทางไม่รู้จักจ่างกงจู่
ช่วงนี้ พอได้ยินว่าจ่างกงจู่จะแต่งงาน ผู้ชายทั้งเมืองหลวงต่างพากันพูดว่า ตนเองหัวใจสลาย…
หญิงสาวที่สูงส่งงดงาม มีน้ำใจมีคุณธรรม อีกทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เข้าถึงง่ายเป็นพิเศษอย่างจ่างกงจู่ ใครที่แต่งให้นางได้ ต้องสั่งสมบุญกุศลมาแปดชาติอย่างแน่นอน
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างร้อนแรงถึงประเด็นที่ว่าจ่างกงจู่จะไปสู่ขอใครกันนั้น สกุลเฟิงที่เงียบงันมาตลอด พลันเริ่มกว้านซื้อข้าวของเครื่องใช้ในการจัดงานมงคลสมรส ส่วนนายหญิงของสกุลเฟิงที่ไม่ได้ออกงานมานาน ก็สวมเครื่องแบบฮูหยินชั้นหนึ่งของตนเป็นครั้งแรก เดินทางไปตามบ้านของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ทีละหลัง ส่งเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานมงคลของบ้านสกุลเฟิงด้วยตนเอง…
บุตรชายคนโตของสกุลเฟิง เฟิงอู๋เฉินกำลังจะแต่งจ่างกงจู่เข้าบ้านในวันที่สิบหก เดือนหก!
เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับเทียบเชิญ ล้วนมึนงงไปตามๆ กัน
เฟิงฮูหยิน ท่านแน่ใจนะว่าท่านมิได้กำลังล้อเล่น?
แต่งจ่างกงจู่เข้าบ้าน? นั่นคือจ่างกงจู่นา!
เมื่อต้องเผชิญกับเหล่าผู้สูงศักดิ์ที่มีท่าทางเหลือเชื่อ เฟิงฮูหยินก็ยืดอกหลังตรง ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ยี่หระ แล้วว่า “ทุกท่าน วันงานอย่าลืมไปให้เช้าหน่อยล่ะ!”
ในที่สุด งานวิวาห์ของจ่างกงจู่ก็เบิกเมฆเห็นตะวันเสียที และความจริงเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงคึกคักขึ้นมา!
ตั้งแต่เป็นแม่งานจัดให้สตรีสูงศักดิ์ในจวนตนเองออกเรือนไป จนถึงตอนนี้ จ่างกงจู่กลับออกเรือนเสียเอง! นี่เป็นการเปิดศักราชโฉมใหม่ของแคว้นหลวนเฟิ่งชัดๆ!
ตอนที่ฉือเสวี่ยยวนได้ยินข่าวนี้ แม้นางเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ก็ยังตะลึงงันอยู่นาน…
ญาติผู้พี่เคยพูดไว้ว่า จะแต่งสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่งเข้าบ้าน เขาทำได้แล้วจริงๆ
อีกทั้งผู้ที่แต่งให้เขา ยังเป็นถึงสตรีสูงศักดิ์ชั้นหนึ่งแห่งแคว้นหลวนเฟิ่ง!
ผู้ซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนเป็นหมื่น ไม่มีสตรีสูงศักดิ์ท่านใดสูงส่งไปกว่าจ่างกงจู่อีกแล้ว
แต่คนสูงส่งเช่นนี้ กลับยอมแต่งออกไปเป็นภรรยาของชายผู้หนึ่ง
มิใช่ภรรยาที่เป็นเจ้าบ้าน แต่เป็นเพียงภรรยาธรรมดาๆ คนหนึ่ง
เรื่องเช่นนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉือเสวี่ยยวนต้องเห็นว่าเป็นนิทานพันหนึ่งราตรีแน่ๆ
……
ตั้งแต่เฟิงฮูหยินเปิดเผยข่าวการแต่งงานของคนทั้งสอง ทั้งๆ ที่เหลืออีกราวครึ่งเดือน กว่าจะถึงวันงานสมรส แต่ผู้คนล้วนตั้งหน้าตั้งตารอดูการแสดงความรักของจ่างกงจู่กับเสนาบดีกลาโหมเฟิงอย่างใจจดใจจ่อ
แน่นอน แต่ไหนแต่ไรมาแม่ทัพซูไม่เคยทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่เนื่องจากแม่ทัพซูในตอนนี้ กำลังอยู่ในระยะเวลาแห่งการ ‘แสร้งบาดเจ็บ’ ซึ่งในความเป็นจริง แม้เขาหายจากอาการบาดเจ็บนานแล้ว แต่เพราะต้องการโดดงาน เขาจึงต้องแสร้งทำเป็น ‘บุคคลผู้พิการ’ อย่างเอิกเกริก โดยทุกครั้งที่เข้าออกจวนจ่างกงจู่ ซูหว่านล้วนเป็นคนพยุงเขาด้วยตนเอง
คนเดินผ่าน ก. “วันนี้ข้าเห็นจ่างกงจู่พยุงเสนาบดีกลาโหมเฟิงขึ้นรถม้าด้วยตัวเองแล้ว น่าอิจฉามาก!”
คนเดินผ่าน ข. “นี่ยังไม่เท่าไหร่ เมื่อวานข้าเห็นจ่างกงจู่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้เสนาบดีกลาโหมเฟิงที่หอฉู่เฟิงด้วย!”
…
สตรีสูงศักดิ์ ก. “พวกเจ้ารู้หรือเปล่า ได้ยินว่าเสนาบดีกลาโหมเฟิงเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยชีวิตสาวงาม จ่างกงจู่ถึงได้ยอมเทใจให้หมดหน้าตัก”
สตรีสูงศักดิ์ ข.”วันนั้นข้านี่แหละอยู่ในเหตุการณ์ เสนาบดีกลาโหมเฟิงสุดยอดจริงๆ โอ๊ย ถ้าได้เจอผู้ชายแบบนี้นะ ข้าก็แต่งออกเหมือนกันแหละ!”
สตรีสูงศักดิ์ ค. “ก็ใช่น่ะสิ! ขนาดจ่างกงจู่ยังแต่งออกได้ แล้วทำไมพวกเราจะแต่งออกไม่ได้เล่า จ่างกงจู่ก็บอกแล้วว่า ต้องการคู่รักที่รักเดียวใจเดียวไปชั่วชีวิต เหมือนอยู่ในความฝันเลย”
ความคิดอ่านของสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านี้เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว โลกนี้ก็เฉกเช่นนี้ ขอเพียงมีคนแรกที่กล้ากินปู คนอื่นๆ ก็ทยอยกันทำตามอย่างสบายใจเอง
สำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ซูม่านย่อมรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว พอรู้ว่าซูหว่านกล้าแหกกฎราชวงศ์ ออกตัวแต่งให้ผู้อื่นก่อน ภายใต้ความเดือดดาล ซูม่านสั่งให้หงซวงเก็บข้าวของทันที แล้วยกขบวนออกจากที่ประทับแปรพระราชฐาน รีบรุดกลับเมืองหลวง แต่แล้วกลางทาง ขบวนเสด็จก็ต้องเผชิญกับการจู่โจมอย่างฉับพลันของกลุ่มมือสังหารกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มมือสังหารกลุ่มนี้ได้เตรียมการกันมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด จู่โจมใส่คนในขบวนของซูม่านด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงสุดๆ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ทำให้กลุ่มราชองครักษ์สูญเสียอย่างหนัก และซูม่านก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ซูม่านที่บาดเจ็บถูกเหลิ่งเยี่ยพยุงไว้ ทั้งสองฉวยโอกาสชุลมุนหนีออกไปได้
ใกล้ถึงวันมงคลสมรสของจ่างกงจู่ แต่ฝ่าบาทพลันถูกลอบสังหาร แล้วหายสาบสูญไป
เมื่อข่าวซูม่านหายสาบสูญส่งถึงเมืองหลวง ผู้คนในเมืองหลวงก็โกลาหลทันที
จวนจ่างกงจู่
“จ่างกงจู่!”
ตอนที่ฉือเสวี่ยยวนรีบรุดมาถึงจวนจ่างกงจู่นั้น ซูหว่านกับซูรุ่ยกำลังนั่งทานข้าวกันอยู่
“เสนาบดีฉือ มีธุระหรือ”
ซูหว่านจ้องมองฉือเสวี่ยยวน พลางถามเสียงเรียบ
“จ่างกงจู่ จักรพรรดินีหายตัวไป เรื่องนี้ไม่ธรรมดา! หม่อมฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนกับเรื่องเมื่อครั้งก่อนที่จ่างกงจู่ถูกลอบสังหาร ล้วนเป็นคนกลุ่มเดียวกัน คนเหล่านี้ เป้าหมายไม่ใช่เล็กๆ!”
“อ้อ?”
เมื่อซูหว่านได้ยินคำพูดของฉือเสวี่ยยวน ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมาเหมือนมีเหตุผลทีเดียว แต่…เจ้าไม่เห็นหรือว่า หมู่นี้ข้ายุ่งมาก จักรพรรดินีถูกลอบสังหาร ใครคือผู้บงการ ข้าไม่สนใจใคร่รู้ ส่วนคนที่ลอบสังหารข้าเมื่อครั้งก่อน จะเป็นคนลึกลับอย่างที่เจ้าว่า หรือเป็นอีกคนหนึ่งกันแน่นั้น ข้าตรวจสอบเองได้ในภายหลัง”
“ฝ่าบาท!”
พอได้ยินน้ำเสียงไม่สนใจไยดีของซูหว่าน ฉือเสวี่ยยวนก็ร้อนรนแล้ว “หรือฝ่าบาทจะนิ่งดูดาย ปล่อยให้ราชวงศ์สกุลซูหมิ่นเหม่กับการตกอยู่ในเงื้อมมือกังฉินกบฏเหล่านั้น”
“กังฉินกบฏ? ใครคือกังฉิน กบฏอยู่ไหน”
ซูหว่านหัวเราะพลางวางตะเกียบลง ใช้สายตาขี้เล่นมองดูฉือเสวี่ยยวน “ข้านึกมาตลอดว่า ตัวข้าเองก็คือกังฉินกบฏในสายตาพวกเจ้า พูดถึงราชวงศ์สกุลซู ข้าทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้หรือว่า ข้ากำลังจะแต่งเข้าบ้านสกุลเฟิง ซึ่งต่อไปก็คือสกุลเฟิงซูแล้ว”
พูดจบ ซูหว่านก็หันไปยิ้มมุมปากให้ซูรุ่ยที่นั่งอยู่ข้างกายอย่างอดไม่ได้อีก “สามี ถูกต้องไหม”
“อืม”
ซูรุ่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “รอให้พวกเราแต่งงานกันเรียบร้อย ข้าก็จะลาออกมาเป็นคนธรรมดา ถึงตอนนั้นเราสองคนก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกสารทิศ ยิ้มเย้ยยุทธภพแล้ว”
“ญาติผู้พี่!”
ฉือเสวี่ยยวนอดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าซูรุ่ย “ญาติผู้พี่ แรกเริ่มเดิมทีท่านขยันหมั่นเพียรสอบเข้ารับราชการ มิใช่เพื่อตอบแทนราชสำนักหรอกหรือ ตอนนี้ราชสำนักกำลังต้องการท่าน ทำไมท่านจึง…”
“ข้าทำไมหรือ”
ซูรุ่ยจ้องมองฉือเสวี่ยยวน พลางแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “หึ เดิมทีฝ่าบาทก็ระแวดระวังขุนนางชายอย่างพวกเราอยู่แล้วนี่ เจ้าเคยเห็นเสนาบดีกลาโหมที่ไม่มีอำนาจทางทหารหรือเปล่าล่ะ แม้ข้าเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง แล้วอย่างไร ราชสำนักนี้ความจริงมิได้ต้องการข้าเลย ฉือเสวี่ยยวน เจ้ามีอำนาจทางทหาร เจ้ามีเครื่องรางทหาร เจ้าอยากไปช่วยฝ่าบาท ก็ไปเองสิ อืม ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัยนะ!”
ฉือเสวี่ยยวน “……”
ฉือเสวี่ยยวนเดินออกจากจวนจ่างกงจู่ด้วยความมึนงง รู้สึกว่าทุกอย่างในตอนนี้ล้วนอยู่ในห้วงภวังค์ ไม่เป็นความจริง
ญาติผู้พี่ จ่างกงจู่
ทุกคนล้วนแตกต่างจากที่นางคิด
ไม่รู้ว่าฝ่าบาทในตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ในราชสำนักก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด แล้วตนควรทำอย่างไรดี
“เสนาบดีฉือ”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นตรงหน้าฉือเสวี่ยยวน
นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างงงัน พอเห็นผู้ที่อยู่ด้านหน้า นางก็มีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง “เสนาบดีหลิ่ว?”
ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน หลิ่วเสวียนผู้สุภาพอ่อนโยนกำลังยืนรับลม
“เสนาบดีฉือกำลังเป็นห่วงจักรพรรดินีอยู่หรือ”
หลิ่วเสวียนก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จ้องมองฉือเสวี่ยยวนเงียบๆ “ต้องการให้ข้าช่วยอีกแรงไหม”
พอได้ยินคำพูดของหลิ่วเสวียน ดวงตาของฉือเสวี่ยยวนก็เปล่งประกายทันที…
เหตุใดนางจึงลืมหลิ่วเสวียนไปได้ แม้หลิ่วเสวียนไม่เป็นวรยุทธ์ แต่กลับเป็นอัจฉริยะในการวางกลยุทธ์ทางทหารคนหนึ่งนี่นา!