ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 2 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (2)
การตายของเฟิงอู๋ซวงทำให้บรรยากาศทั่วทั้งบ้านสกุลเฟิงหดหู่
ตอนที่ซูหว่านสวมชุดลำลองมาถึงบ้านสกุลเฟิงนั้น ส่วนที่ทำพิธีไว้ทุกข์ในห้องโถงถูกรื้อออกไปแล้ว แต่ทั่วทั้งจวนเสนาบดีกลาโหมยังแขวนผ้าไหมสีขาวเต็มไปหมด
“ฝ่าบาทจ่างกงจู่!”
เมื่อรู้ว่าซูหว่านมาถึง เฟิงฮูหยินย่อมออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
“ท่านป้าเฟิง ขอแสดงความเสียใจด้วย”
ซูหว่านยกมือขึ้นจับมือทั้งสองข้างของเฟิงฮูหยินเบาๆ “ข้ารู้ว่าการตายของอู๋ซวงทำให้พวกท่านเสียใจมาก แต่อู๋ซวงเป็นคนที่มีจิตใจดี ข้าคิดว่าวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของเขา ก็ต้องหวังให้ท่านกับอู๋เฉิงมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเช่นกัน”
“เฮ้อ…ลูกที่อาภัพของข้า!”
พอได้ยินซูหว่านปลอบ เฟิงฮูหยินก็ถอนหายใจอีกครั้ง นางถือกำเนิดในตระกูลเลื่องชื่อ แม้มิได้ให้กำเนิดบุตรสาว แต่บุตรชายทั้งสองก็เป็นที่รักยิ่งของนางมาแต่อ้อนแต่ออก เฟิงอู๋เฉินมีปณิธานแรงกล้าแต่เด็ก เผอิญเหมาะกับการบังคับใช้กฎหมายของจักรพรรดินีองค์ก่อน จึงเป็นผู้ชายกลุ่มแรกที่ได้เข้ารับราชการในราชสำนัก แต่เฟิงอู๋ซวงกลับรักษาตัวอยู่แต่ในจวน เนื่องจากร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก
จริงๆ แล้วเฟิงอู๋ซวงเป็นคนดีเอามากๆ เสียดายที่อ่อนไหวจนเกินไป นี่อาจเป็นสาเหตุให้ซูม่านไม่ชอบเขา
แม้ซูม่านเป็นจักรพรรดินีแห่งยุค แต่นางก็ไม่ชอบผู้ชายที่อ่อนปวกเปียก ผู้ชายของนางถ้าไม่มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่น่าทึ่งสุดๆ อย่างเย่ว์ชิง ก็ควรมีวรยุทธ์ที่ไร้เทียมทาน เป็นวีรบุรุษชื่อก้องอย่างลู่ฉางเกอ จอมทัพแห่งราชสำนัก
ซึ่งที่พูดกันว่า พันธมิตรอันแข็งแกร่ง ก็น่าจะเป็นเช่นนี้
“จ่างกงจู่ ท่านมาแล้ว!”
ในตอนนี้เอง เสียงของเฟิงอู๋เฉินก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของซูหว่าน นางหันขวับมามอง พอเห็นใบหน้าที่สงบนิ่งแต่แฝงความเย็นชาของเฟิงอู๋เฉิน ซูหว่านก็รู้สึกผิดหวังลึกๆ
ไม่ใช่ซูรุ่ย
ต้องบอกว่าเฟิงอู๋เฉินก็เป็นตัวประกอบชายที่มีบทบาทมากในโลกใบนี้ แต่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับนางเอกของเรื่องเท่านั้น
“เสนาบดีกลาโหมเฟิง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เชิญตามกระหม่อมไปที่ห้องหนังสือ”
แล้วเฟิงอู๋เฉินก็ผายมือออก ก่อนเดินนำซูหว่านไปที่ห้องหนังสือบ้านสกุลเฟิง
“เสนาบดีกลาโหมเฟิง ครั้งนี้ท่านคิดดีแล้วจริงหรือ”
พอก้าวเข้าห้องหนังสือ ลมหายใจของซูหว่านก็เปลี่ยนไป ใบหน้าสวยๆ กลายเป็นจริงจังและเยือกเย็น
“ฝ่าบาทคิดว่าหม่อมฉันกำลังล้อท่านเล่นอยู่หรือ อู๋ซวงเขา…ก็เพราะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ถึงได้จากโลกนี้เร็วเกินไป นี่ล้วนเป็นความผิดของจักรพรรดินี! ในเมื่อจักรพรรดินีแต่งคุณชายรองสกุลหลิ่วเป็นพระสวามีได้ สนิทชิดเชื้อกับคุณชายเย่ว์นั่นได้ ทำไมถึงไม่ยอมรับอู๋ซวงเข้าวัง อู๋ซวงทำผิดอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะสะเทือนใจมากจนเกินไป หลังจากได้ยินข่าวอภิเษกสมรสของจักรพรรดินี อู๋ซวงก็ไม่มาด่วน…”
พอพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเฟิงอู๋เฉินก็ละล่ำละลัก
ตามเนื้อเรื่องที่ซูหว่านรู้มา เฟิงอู๋เฉินมีฉายาว่า ‘เสนาบดีกลาโหมกระดูกเหล็ก’ นึกไม่ถึงว่า เขาจะมีความรู้สึกอย่างลึกซึ้งกับน้องชายเช่นนี้
“เสนาบดีกลาโหมเฟิง ความรู้สึกของท่าน ข้าเข้าใจดี ในเมื่อตอนนี้ท่านตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับข้าแล้ว ข้าก็ย่อมเชื่อในสิ่งที่ท่านเป็น”
พูดถึงตรงนี้ ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ “อู๋เฉิน ฉือเสวี่ยยวนเป็นญาติผู้น้องท่าน ข้ารู้ว่านางมีใจให้ท่านมาตลอด ท่านเกลี้ยกล่อมนางให้มาสนับสนุนข้าด้วยได้หรือไม่”
ฉือเสวี่ยยวนเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา มีอิทธิพลมากในราชสำนัก เป็นผู้ช่วยมือฉมังของซูม่าน
“นี่…”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน แววตาของเฟิงอู๋เฉินก็มืดหม่นลง “เกรงว่าคงไม่ได้ เสวี่ยยวนกับฝ่าบาทมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง นางไม่น่าจะเปลี่ยนจุดยืน และข้าในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะบุ่มบ่ามพูดเรื่องนี้กับนางอย่างตรงไปตรงมา ขอจ่างกงจู่ทรงอภัย”
“อืม ข้าเข้าใจ เรื่องนี้ไม่รีบ ไม่รีบจริงๆ”
ซูหว่านยิ้มปลอบใจเฟิงอู๋เฉิน “ข้าก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร ข้าจะให้ปี้ลั่วส่งคนมาแจ้งข่าวกับท่าน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงอู๋เฉินน้อมส่งซูหว่านด้วยความเคารพ พอเห็นรถม้าของซูหว่านออกจากประตูจวนสกุลเฟิงไป เฟิงอู๋เฉินก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด ดวงตาทอประกายเยือกเย็น…
อู๋ซวง พี่ต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้า อย่างแน่นอน
ระยะทางจากจวนสกุลเฟิง กลับจวนจ่างกงจู่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง ไม่ถือว่าไกล แต่รถม้าของซูหว่านได้ฉวยโอกาสยามค่ำคืน แล่นวนอยู่บนถนนฉางเจียสองรอบ สุดท้ายกลับห้อตะบึงไปยังทางเหนือของเมืองหลวง ที่นั่นบนถนนสายหนึ่ง มีคฤหาสน์ที่ใหญ่โตมโหฬารหลังหนึ่ง กำแพงรอบคฤหาสน์ล้วนเป็นสีดำ กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดของรัตติกาล
คฤหาสน์หลังนี้ดูลึกลับและประหลาดมาก
ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนี้ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ ว่ากันว่าเคยมียามเดินผ่านกลางดึก แล้วเห็นผีหัวขาดขาขาดหลายตนเดินเข้าๆ ออกๆ คฤหาสน์หลังนี้
ไม่ผิด นี่คือบ้านผีสิงชื่อดังที่สุดทางตอนเหนือของเมือง แต่ความเป็นจริง ที่นี่คือฐานที่มั่นแห่งหนึ่งขององครักษ์ลับในเมืองหลวงภายใต้การควบคุมของซูหว่าน
“ฝ่าบาท!”
พอซูหว่านก้าวลงจากรถม้า ร่างของปี้ลั่วก็โผล่ออกมาจากคฤหาสน์ทันที ตอนนี้นางเปลี่ยนเป็นสวมชุดทะมัดทะแมงสีดำรัดรูป ดูเท่และอันตรายมาก
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไร้สามารถ ปล่อยให้เย่ว์ชิงหนีไปได้! ตอนนี้คนพักอยู่ในจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย หม่อมฉันไม่อาจส่งคนไปลงมืออีก!”
ปี้ลั่วพูดขณะคุกเข่าข้างหนึ่ง “ขอทรงลงพระอาญา”
ซูหว่านหลุบตาลงเหลือบมองปี้ลั่ว “ช่างเถอะ ซูม่านเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแล้ว โทษเจ้าไม่ได้หรอก นางกับหลิ่วลั่ววางแผนกันมาอย่างดี เห็นได้จากการพาเย่ว์ชิงไปซ่อนตัวในจวนของหลิ่วเสวียน”
หลิ่วเสวียนคือเสนาบดีฝ่ายซ้าย เป็นขุนนางใหญ่ระดับเดียวกับเฟิงอู๋เฉิน ส่วนหลิ่วลั่ว น้องชายแท้ๆ ของหลิ่วเสวียนก็คือพระสวามีของซูม่าน การมีความสัมพันธ์ในชั้นนี้ ทำให้สกุลหลิ่วเป็นเครือญาติของซูม่านไปโดยปริยาย
หลิ่วเสวียน คนผู้นี้จะพูดอย่างไรดี
ตามเนื้อเรื่องเดิม เขาคือบอสใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง ทว่าก็ไม่ได้เป็นคนเลวทรามต่ำช้าอะไร เขาแค่เป็นผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานสูง โดยพยายามโค่นล้มอำนาจสตรี แล้วสถาปนาอาณาจักรที่มีบุรุษเป็นใหญ่ขึ้นมา
ในเนื้อเรื่องที่ซูหว่านรู้ก็คือ หลังจากร่างเดิมพลีชีพในสงครามที่ไม่เป็นธรรม ซูม่านกับผู้ชายหลายคนของนางก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ระยะหนึ่ง และในตอนนี้เอง แผนร้ายของหลิ่วเสวียนก็ค่อยๆ เผยออกมา
หลิ่วเสวียน
ซูหว่านนึกชื่อนี้ในใจเงียบๆ นี่ก็เป็นศัตรูที่สามารถต่อสู้ร่วมกับพันธมิตรได้
“ปี้ลั่ว เจ้าลุกขึ้นเถิด แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไหว้วานเจ้าล่ะ”
ซูหว่านถามพลางยกเท้าก้าวเข้าไปในคฤหาสน์
“คนได้พากลับมาแล้ว”
ปี้ลั่วลุกขึ้นยืน แล้วเดินอยู่ด้านหลังของซูหว่านตามระเบียบ “ฝ่าบาทจะ…” ปี้ลั่วทำท่าตัดศีรษะ แต่ซูหว่านกลับยิ้มน้อยๆ พลางสั่นศีรษะ
“พาข้าไปพบเขาดีกว่า!”
…
ขณะเดียวกัน ในห้องทรงพระอักษรของพระราชวัง…
ซูม่านสวมชุดยาวลายมังกรสีเหลืองสดใสนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนด้านหน้าของโต๊ะ มีชายท่าทางอ่อนโยนสง่างามคนหนึ่งยืนอยู่อย่างนอบน้อม ซึ่งชายผู้นี้ก็คือเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนัก หลิ่วเสวียน!
“หลิ่วเสวียน เย่ว์ชิงยังปลอดภัยดีไหม”
ซูม่านมองหน้าหลิ่วเสวียนพลางถามอย่างกังวลใจ
“คุณชายเย่ว์พักอยู่ในจวนของกระหม่อม ย่อมปลอดภัยไร้กังวล”
หลิ่วเสวียนยิ้มอย่างมั่นใจเต็มที่ แม้เขารับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ศึกษาค่ายกลบังตาดอกเหมยมาแต่เด็ก ทั่วทั้งจวนสกุลหลิ่วจึงมีแต่กับดักเป็นชั้นๆ ที่หลิ่วเสวียนออกแบบไว้ ต่อให้ปี้ลั่ว คนของจ่างกงจู่ที่มีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศที่สุด ก็ไม่มีทางหาตัวเย่ว์ชิงเจอในจวนสกุลหลิ่วอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็ดี”
พอได้รับคำตอบยืนยันจากหลิ่วเสวียน ซูม่านก็ค่อยวางใจลง
“เสด็จพี่ทำอะไรรุนแรงและเหี้ยมโหดมาตลอด ถ้านางหาเย่ว์ชิงพบ เย่ว์ชิงต้องโชคร้ายแน่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณเสนาบดีหลิ่วแล้วจริงๆ!”
เนื่องจากเย่ว์ชิงไม่มีชื่อและไม่มีสถานะในตำหนัก อีกทั้งซูม่านก็ไม่รู้ว่าในวังของตนเอง มีสายของซูหว่านอยู่หรือไม่ จึงไม่กล้าถือวิสาสะให้เย่ว์ชิงอยู่ในวังต่อ เมื่อเทียบกับวังหลวงแล้ว จวนสกุลหลิ่วที่เป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ปลอดภัยและพึ่งพิงได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“การแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินคำขอบคุณของซูม่าน หลิ่วเสวียนก็รีบโค้งตัวลงแสดงท่าทีเคารพ เพียงแต่ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดกลับฉายแววดูแคลนอย่างเย็นชาขึ้นวาบหนึ่ง…