ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 22 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (22)
งานรื่นเริงสีแดงสดของจวนจ่างกงจู่ถูกทหารรักษาพระองค์เกราะดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันล้อมรอบไว้ จากนั้นขบวนทหารรักษาพระองค์ก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ซูม่านในชุดเกราะสีดำ ขี่ม้าเร็วสีดำเข้ามา ด้วยท่าทีเย็นชา
“เสด็จพี่ ท่านแต่งงานทั้งที ไม่บอกเราสักคำ ทำให้เราเสียใจจริงๆ!”
สายตาที่เย็นชาของซูม่านจ้องไปที่ใบหน้าซูหว่าน พลางค่อยๆ พูดเสียงต่ำ บารมีตลอดทั้งร่างกดดันให้ผู้คนทั้งหมดที่อยู่โดยรอบคุกเข่าลง…
“ขอจงทรงพระเจริญ!”
ตอนที่ทุกคนคุกเข่าลง แล้วก้มศีรษะจรดพื้นถวายพระพรตามธรรมเนียมนั้น คนของจวนจ่างกงจู่ทั้งหมดกลับยืนตรงอย่างภาคภูมิใจ
ซูหว่านแหงนหน้ามองซูม่านที่มีใบหน้าซีดเซียว พลางว่า “ฝ่าบาทกลับถึงเมืองหลวงแล้ว มิได้แจ้งให้หม่อมฉันทราบมิใช่หรือเพคะ”
ว่าแล้วซูหว่านก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยปริยาย แล้วกวาดตาหงส์มองทหารรักษาพระองค์เกราะดำเหล่านั้น สุดท้ายก็หยุดสายตาไว้ที่ฉือเสวี่ยยวนกับหลิ่วเสวียน “ฝ่าบาทพาเสนาบดีฉือกับเสนาบดีหลิ่ว รวมทั้งพี่น้องทหารรักษาพระองค์มามากมายขนาดนี้ ดูไปแล้วไม่เหมือนมาร่วมดื่มสุรามงคลของหม่อมฉันนะเพคะ”
“หึ”
ซูม่านหัวเราะเย็นชาออกมาทีหนึ่ง ก่อนว่า “ที่เรารอดตายมาได้หลายครั้งหลายครา ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากเสนาบดีฉือและเสนาบดีหลิ่ว และเราก็พบฆาตกรตัวจริงที่ลอบสังหารเราแล้ว วันนี้จึงมาจับกุมฆาตกรตัวจริงไปรับโทษด้วยมือของเราเอง!”
“อ้อ?”
พอได้ยินคำพูดของซูม่าน ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะหันไปยิ้มน้อยๆ ให้ซูรุ่ย “ท่านพี่ ฝ่าบาทมาจับกุมขุนนางกังฉินกบฏ เอ๋ คงไม่ได้มาจับท่านพี่หรอกนะ ข้ากลัวจริงๆ เลย!”
“หึๆ”
ซูรุ่ยหัวเราะ พลางยกมือขึ้นตบบ่าปลอบใจซูหว่าน “ที่นี่ มีแม่ทัพตงฉินกับขุนนางภักดีไม่น้อย ส่วนขุนนางกังฉินกบฏนั้น…ข้าไม่เห็นเลยจริงๆ”
ว่าแล้ว ซูรุ่ยก็หันไปแหงนมองซูม่าน “ไม่ทราบว่าฆาตกรตัวจริงที่ฝ่าบาทต้องการเป็นใครกัน”
“เป็นใคร? เสนาบดีกลาโหมเฟิงไม่รู้จริงๆ หรือ ย่อมเป็น…จ่างกงจู่ซูหว่านที่อยู่ข้างกายท่านไง!” สายตาอันคมกริบดุจใบมีดของซูม่านจ้องไปที่ใบหน้าซูหว่านทันที
ทว่าซูหว่านคล้ายไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ยังคงพูดกับซูม่านที่อยู่บนหลังม้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ฝ่าบาทเสด็จมาจับโจรทั้งที ยังตรัสด้วยปากเปล่าอย่างลื่นไหลว่า หม่อมฉันเป็นขุนนางกังฉินกบฏ เช่นนี้ก็ได้หรือเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอพูดบ้างว่า เสนาบดีฉือกับเสนาบดีหลิ่วที่อยู่ด้านหลังพระองค์เป็นขุนนางกังฉินกบฏ!”
“จ่างกงจู่! ฝ่าบาทมีพยานหลักฐานการก่อกบฏของท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างข่าวให้เกิดความสับสนหรอก!”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฉือเสวี่ยยวนที่อยู่ด้านหลังซูม่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูด นางพูดพลางหันไปมองซูรุ่ย “ญาติผู้พี่ ท่านอย่าได้หลงกลจ่างกงจู่อีกเลย สกุลเฟิงจงรักภักดีมาทุกยุคทุกสมัย ขอเพียงท่านยอมละทิ้งความมืด เดินเข้าหาความสว่าง ฝ่าบาททรงพระปรีชาญาณ ต้องมองข้ามอดีต อภัยให้ท่านแน่!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาญาณ?”
ซูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ “บังอาจถามว่า พยานหลักฐานที่ฝ่าบาทและพวกเจ้าพูดถึงคืออะไร คนในเมืองหลวงล้วนอยู่ที่นี่แล้ว ถ้ามีจริง และเป็นเรื่องจริง ก็เอาออกมาสิ! ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อย!”
“ฝ่าบาท!”
ในตอนนี้เอง ร่างในชุดขาวร่างหนึ่งได้เดินโซเซออกมาจากจวนจ่างกงจู่ เย่ว์ชิงใบหน้าซีดเซียว ท่าทางวิตกกังวล ขณะมองไปยังซูม่านที่อยู่บนหลังม้า “ฝ่าบาท จ่างกงจู่ไม่มีทางก่อกบฏเป็นอันขาด ขอทรงตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย!”
“เย่ว์ชิง ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้วหรือ”
พอเห็นเยว์ชิงปรากฏตัวขึ้น สีหน้าของซูม่านก็ยิ่งเย็นชา “ตอนที่เรารอดตายจากการถูกลอบสังหาร เย่ว์ชิง เจ้าเป็นบัณฑิตที่ไม่เป็นวรยุทธ์ แล้วหนีออกจากอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร แล้วเหตุใดถึงมาปรากฏตัวในจวนจ่างกงจู่ เจ้าเป็นพระสวามีของเรา เมื่อสมคบคิดกับจ่างกงจู่ทรยศเรา เจ้าก็…สมควรตายจริงๆ!”
สมควรตาย?
พอได้ยินคำพูดของซูม่าน และเห็นดวงตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ของนาง เย่ว์ชิงก็รู้สึกสะเทือนใจ ใบหน้าดุจหยกมีเค้าของความโศกเศร้าวาบผ่าน “ที่แท้ฝ่าบาทมองว่าเย่ว์ชิงเป็นเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ”
“หรือไม่ใช่ล่ะ เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ มีทั้งผู้กระทำความผิดและของกลาง เจ้ายังจะคิดเล่นลิ้นอะไรอีก เจ้ากล้าพูดว่าในใจเจ้าไม่มีจ่างกงจู่?”
ซูม่านจ้องหน้าเย่ว์ชิงเขม็ง น้ำเสียงเย็นชาลงเรื่อยๆ
แต่เย่ว์ชิงเพียงยิ้มบางๆ แล้วหันมองซูหว่านที่อยู่ข้างๆ “ซูหว่าน ฝ่าบาทพูดถูก ในใจข้า…มีเจ้า ข้าเสียใจมาก เสียใจที่มิได้ทะนุถนอมความรักที่เจ้ามีต่อข้า”
พริบตานั้น เขาพลันพบว่า ความรู้สึกเหล่านั้นที่ตนมีต่อซูม่าน ล้วนเป็นเรื่องตลก
สิ่งที่เขารักคือ สติปัญญาอันไร้ที่เปรียบของซูม่าน มิใช่จักรพรรดินีเลือดเย็นที่ไร้ซึ่งความรู้สึกตรงหน้า
ขณะที่เขาคิดว่านางคือทุกสิ่งอย่าง ในสายตานาง เขากลับเป็นเพียงสิ่งของที่ได้จากการรบชนะ จะมีหรือไม่มีก็ได้
“ยอมรักเดียวใจเดียว…ผมขาว…”
ธนูเย็นยะเยียบดอกหนึ่งแทงทะลุผ่านหัวใจของเย่ว์ชิงอย่างแม่นยำ
ชุดขาวราวหิมะของเขาถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด สีหน้าซีดขาว แววตาค่อยๆ จางหาย…
ยอมรักเดียวใจเดียว ผมขาวไปด้วยกัน
ซูม่านที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ วางคันธนูในมือลง “ทุกคนที่ทรยศเราล้วนสมควรตาย ผู้ชายของเราก็ไม่มีข้อยกเว้น”
“หึ หึๆ”
พอได้ยินคำพูดของซูม่าน ซูหว่านที่อยู่อีกด้านก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างมีเลศนัยขึ้นมา “ฝ่าบาททรงสง่างามและทรงพลังจริงๆ ทรงฆ่าได้ดี ฆ่าได้อย่างแยบยล! มีคำหนึ่ง พูดว่าอะไรนะ ดีชั่วอย่างไร ก็ต้องได้รับบุญกรรมที่ทำเอาไว้ เพียงแต่เวลายังมาไม่ถึงเท่านั้น เริ่มจากเย่ว์ชิงทรยศหม่อมฉัน หม่อมฉันอยากฆ่าเขาให้สาแก่ใจ เป็นฝ่าบาทที่ขวางไว้ทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายก็ทรงจัดการคนเนรคุณคนนี้แทนหม่อมฉันด้วยองค์เอง สะใจจริงๆ เพคะ!”
ว่าแล้วซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองศพของเย่ว์ชิงอย่างไม่ชอบใจ ”เสียดาย วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของหม่อมฉัน คนผู้นี้มาตายอยู่หน้าประตูใหญ่จวนจ่างกงจู่ของหม่อมฉัน ลางไม่ดีจริงๆ!”
พอเห็นว่าซูหว่านไม่หวั่นไหวต่อการตายของเย่ว์ชิง ซูม่านก็กะพริบตา “เสด็จพี่เลือดเย็นจริงๆ เย่ว์ชิงทำอะไรให้ท่านมากมายขนาดนี้ พอตายไป ท่านก็ยังไม่กล้ายอมรับความสัมพันธ์ของพวกท่านอีก”
“ข้ากับเขา? เขาเป็นผู้ชายของพระองค์นี่ ความสัมพันธ์ของเรา มิใช่ความสัมพันธ์แบบน้องเขยกับพี่สาวหรอกหรือ?”
ว่าแล้วซูหว่านก็โบกแขนเสื้อกว้างหนึ่งที พลันมีคนในจวนกงจู่ก้าวเข้ามาลากศพของเย่ว์ชิงออกไป “ฝ่าบาท ทรงอย่าเบี่ยงเบนประเด็นเลย ถ้าทรงคิดจะลงโทษหรือเล่นงานใคร ย่อมพูดได้ตามพระทัยโดยไม่มีเหตุผลหรือ ถ้าทรงมีหลักฐานที่มีน้ำหนักจริงๆ ขอทรงนำออกมาให้ทุกคนดู ทุกคนว่าใช่หรือไม่”
“ใช่!”
“ถูกต้อง นำออกมา! นำหลักฐานออกมา!”
“พวกเราต้องการหลักฐาน!”
ในฝูงชน ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำในการตะโกนเสียงดังขึ้นมา คนอื่นๆ ถึงได้ตะโกนตามทันที
จ่างกงจู่เป็นคนมีน้ำใจและมีคุณธรรม ไม่แยแสลาภยศและชื่อเสียงเช่นนี้ จะเป็นขุนนางกังฉินกบฏได้อย่างไรกัน
ในฝูงชน
โหลวหนิงดึงแขนเสื้อของโหลวเซียวเซียวอย่างระแวดระวัง
คุณชาย นายท่าน ท่านเป็นนายใหญ่แท้ๆ ของข้านา! คนเขามาฆ่ากันถึงบ้านแล้ว ท่านว่าท่านยังอยากมุงดูต่อ มุงดูความคึกคักอะไรมิทราบ
แถมยังกล้าตะโกนนำตรงนี้อีก ท่านหนอท่าน ไม่กลัวตายจริงๆ เลย!
พอเห็นฝูงชนโดยรอบพากันตื่นตัว ซูม่านที่คาดการณ์ไว้แล้ว ก็ยิ้มเย็นชาออกมา “เจ้าต้องการหลักฐานใช่ไหม เด็กๆ นำตัวซิวหลัวออกมา!”
ซิวหลัวเคยเป็นหัวหน้ากองกองหนึ่งในองครักษ์ลับ ต่อมาพอราชสำนักเริ่มเปิดให้ผู้ชายเข้ารับราชการ เขาก็ลาออกจากองครักษ์ลับ เข้ารับราชการในราชสำนัก เป็นเสาหลักของฝ่ายซูหว่านมาโดยตลอด
ตอนนี้ซิวหลัวก็ยังสวมชุดเครื่องแบบของขุนนางชั้นสามอยู่ สีหน้าไม่สู้จะดีนัก เขาถูกคนบังคับให้ค่อยๆ เดินมายืนอยู่ตรงหน้าซูหว่าน
“ฝ่าบาทจ่างกงจู่!”
ซิวหลัวเหลือบมองซูหว่านอย่างลึกซึ้ง แล้วจึงคุกเข่าลงตรงหน้า “จ่างกงจู่ ข้าน้อยผิดต่อท่าน! จักรพรรดินี กระหม่อมก็ผิดต่อพระองค์ด้วย! กระหม่อมไม่ควรพูดปดต่อหน้าพระองค์ และไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีจ่างกงจู่ แต่…พระสวามีหลิ่ว ยังมีเสนาบดีหลิ่ว เป็นพวกเขา…พวกเขาบีบให้กระหม่อมทำเช่นนี้!”
อะ อะไรนะ? คำพูดของซิวหลัวทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตะลึงงันไปตามๆ กัน
“เหลวไหล!”
ในตอนนี้เอง เสียงอันเย็นยะเยียบของหลิ่วเสวียนก็ดังขึ้น เขายังคงมีท่าทีสบายๆ ดุจสายลมและก้อนเมฆที่บางเบา ขณะใช้สายตาอันเย็นชาจ้องมองซิวหลัว “เจ้านึกว่า จู่ๆ กลับคำให้การแล้ว จะสามารถปกป้องนายของเจ้าได้หรือ เด็กๆ! นำตัวไปขังไว้ก่อน!”
พอได้ยินคำสั่งของหลิ่วเสวียน องครักษ์สองคนก็ก้าวเข้าไป ขณะเดียวกัน ซูรุ่ยที่เงียบมาตลอด พลันชักกระบี่ที่เอวขององครักษ์คนข้างๆ ขึ้น กระโดดตัวลอยกลางอากาศ จับกระบี่ยาวในมือพร้อมรังสีฆ่าฟันอันหนาแน่น แทงเข้าตรงทรวงอกของหลิ่วเสวียนทันที
ความรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรง กับเงามืดแห่งความตาย กำลังปกคลุมร่างของหลิ่วเสวียน