ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 23 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (ปัจฉิมบท)
การเคลื่อนไหวของซูรุ่ยรวดเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนทำให้ซูม่านกับฉือเสวี่ยยวนตอบโต้ไม่ทัน…
เคร้ง!
พริบตาเดียวของภาวะวิกฤต หลิ่วเสวียนได้ชักมีดพกเล่มหนึ่งขึ้นมา ต้านการจู่โจมของซูรุ่ย ผู้ชายสองคนประมือกันกลางอากาศอย่างดุเดือด ส่วนซูหว่านที่อยู่อีกด้านก็เพียงยิ้มเย็นชา พลางมองซูม่านอย่างเย้ยหยัน “เสนาบดีหลิ่วนี่ฝีมือดีจริงๆ ดูจากฝีมือของเขา ไม่น่าจะด้อยกว่าเสนาบดีฉือ มิน่าเล่า ถึงได้ฝึกฝนมือสังหารที่แข็งแกร่งออกมาได้มากมายเช่นนั้น!”
ว่าพลางซูหว่านก็หัวเราะเย็นชาออกมา จากนั้นก็ แปะๆ ปรบมือสองที ลู่ฉางเกอกับลู่อวี่ชิง สองพี่น้องรีบแหวกฝูงชนก้าวเข้ามา ทั้งสองจูงโซ่ตรวนเหล็กสีดำไว้ในมือ โซ่ตรวนล่ามชายชุดดำมอมแมมสามคนเอาไว้
“ฝ่าบาท ทรงจำพวกเขาได้ไหม”
“นี่คือ…”
ซูม่านจ้องมองหนึ่งในชายชุดดำ สีหน้าพลันอำมหิตขึ้นมา นางจำคนผู้นี้ได้ คนผู้นี้ก็คือคนที่ฆ่าเหลิ่งเยี่ย!
พอเห็นว่าซูม่านจดจำพวกเขาได้ ซูหว่านก็พลันพูดเสียงสูง “ข้าเคยปักกระบี่ สาบานไว้ตรงนี้ว่า จะล้างแค้นให้พี่น้องกับประชาชนที่เสียชีวิตไปอย่างสูญเปล่าในวันนั้น! ที่ผ่านมา ลู่ฉางเกอได้ทำการตรวจสอบที่พักพิงของคนกลุ่มนี้ให้ข้า ซึ่งในที่สุดก็มีเบาะแส ฝ่าบาท! ขุนนางกังฉินกบฏยังคงมีอยู่ และอยู่ที่นี่ด้วย!”
ว่าแล้ว ซูหว่านก็เพ่งเล็งไปที่ร่างของหลิ่วเสวียน ดวงตาอันเย็นชามองนิ่ง
หลิ่วเสวียนในตอนนี้ มุมปากซึมโลหิต ตลอดทั้งร่างถูกซูรุ่ยใช้ปลายกระบี่บังคับไว้ ขยับไม่ได้
“เสนาบดีหลิ่ว การลอบสังหารของเจ้าทั้งสองครั้ง กับแผนใส่ร้ายป้ายสีทั้งสองฝ่าย เล่นได้สวยนี่! เจ้ากับหลิ่วลั่วสมกับเป็นพี่น้องที่ลงสนามแล้วเข้าขากันได้ดีจริงๆ!”
ซูหว่านจ้องมองหลิ่วเสวียนพลางยิ้มตาหยี ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เสนาบดีหลิ่ว?”
ฉือเสวี่ยยวนที่อยู่บนหลังม้าอีกด้านก็มองหลิ่วเสวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วจึงเหลือบมองซูม่านอย่างร้อนรน “ฝ่าบาท นี่…”
“หลิ่วเสวียน! หลิ่วลั่ว!”
ซูม่านกัดฟันกรอด ฝีมือของหลิ่วเสวียนและท่าทีของเขาในตอนนี้ ได้พิสูจน์คำพูดของซูหว่านแล้ว
ขณะเดียวกัน จริงๆ แล้วซูม่านก็เรียกสติคืนกลับจากความตื่นเต้นในช่วงแรกได้แล้วเช่นกัน…
แรกเริ่มตนคิดว่า มือสังหารที่ลอบสังหารซูหว่านกับตนเป็นพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ซึ่งตนในตอนนั้นถูกหลอกให้คิดว่า นี่คืออุบายแสร้งทำร้ายตัวเองของซูหว่าน ไม่นึกว่าจะตกหลุมพรางพี่น้องสกุลหลิ่วเช่นนี้
“หลิ่วเสวียน เจ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม”
ซูม่านจ้องมองหลิ่วเสวียน โลหิตกำลังหยาดหยดในใจนาง มิใช่เพราะการก่อกบฏของหลิ่วเสวียน แต่เป็นเพราะหลิ่วลั่ว
หลิ่วลั่วเป็นผู้ชายที่นางไว้ใจมากที่สุด หรือตอนนี้กระทั่งหลิ่วลั่วก็ทรยศนาง
เช่นนั้นในโลกนี้ ยังมีใครที่คู่ควรให้นางเชื่อใจได้บ้าง
“ฮ่า ฮ่าๆ”
หลิ่วเสวียนพลันหัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาท ข้ามิได้พ่ายแพ้ให้กับท่าน ข้าพ่ายแพ้ให้กับจ่างกงจู่!”
ว่าแล้วหลิ่วเสวียนก็หันไปมองหน้าซูหว่านทันที “จ่างกงจู่ ข้ารู้สึกมาตลอดว่าตนเองดูเบาเจ้าไป ตอนนี้เห็นทีเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่…เจ้าคิดจริงๆ หรือว่า…เจ้าชนะแล้ว?”
ระหว่างพูด พื้นที่ตรงหน้าหลิ่วเสวียนพลันปรากฏระเบิดควันที่ทำให้คนสำลักได้กลุ่มหนึ่ง
“แค่กๆ!”
ภาพตรงหน้าของทุกคนล้วนถูกควันโขมงบดบัง รอจนกลุ่มควันจางลง ร่างของหลิ่วเสวียนก็หายไปแล้ว ขณะเดียวกัน ในฝูงชนที่รายล้อมอยู่โดยรอบ พลันมีมือสังหารชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา มือสังหารเหล่านี้ตั้งแถวเรียงรายกันในรูปแบบที่แปลกออกไป ล้อมทหารรักษาพระองค์เกราะดำกับคนของจวนจ่างกงจู่ที่อยู่ตลอดแนวถนนไว้
“ฆ่า!”
สิ้นเสียงคำสั่ง เหล่ามือสังหารล้วนพุ่งเข้ามาฆ่าคนมากมาย ด้วยการก้าวเท้าแปลกๆ
“เป็นค่ายกล!”
ฉือเสวี่ยยวนที่อยู่บนหลังม้าแผดร้องทันที ที่แท้หลิ่วเสวียนได้วางค่ายกลไว้อย่างแน่นหนาหน้าประตูจวนกงจู่แต่แรกแล้ว!
กลอุบายล้ำลึก วิธีการดุเด็ดเผ็ดร้อนของขิงแก่ ที่แท้นี่จึงเป็นหลิ่วเสวียนตัวจริงเสียงจริง
ขณะมองดูทหารรักษาพระองค์ต่อสู้กับเหล่ามือสังหารในระยะประชิด ซูรุ่ยที่ถือกระบี่ยาวในมือ ก็ส่งสัญญาณมือ คนของจวนกงจู่ทั้งหมดจึงรีบยุบเข้ามาล้อมรอบเขากับซูหว่านไว้
“ใต้เท้าเสนาบดีกลาโหม พวกเราต้องลงมือหรือไม่”
ลู่ฉางเกอที่ยืนอยู่ด้านหลังของซูรุ่ยอยากเข้าไปลุยเต็มที
“ไม่จำเป็น”
ซูรุ่ยยิ้มน้อยๆ พลางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ควงกระบี่ยาวของตนกลางอากาศหนึ่งรอบ “จ่างกงจู่ วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของเจ้ากับข้า ข้าเฟิงอู๋เฉินขอมอบของขวัญชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้เจ้า แสดงความรู้สึกเล็กน้อย!”
ขณะพูด ร่างของซูรุ่ยก็พุ่งเข้าไปร่วมวงต่อสู้ดุจลมพัด ทุกจุดที่เขาเข้าถึง ต้องมีคนล้มลงอย่างไร้สุ้มเสียงทันที หนึ่งคน สองคน สามคน…
ไม่ว่าจะเป็นมือสังหารชุดดำก็ดี ทหารรักษาพระองค์เกราะดำก็ดี วงต่อสู้ทั้งวง ล้วนถูกเขาม้วนเสื่อจู่โจมเหมือนๆ กันหมด…
ผ่านไปสักพัก ในสนามต่อสู้ นอกจากซูรุ่ยแล้ว ไม่มีใครอื่นอีก
ศพที่กระจุกกันเป็นกอง ถูกปลายกระบี่ของเขาเกี่ยวไปเรียงรายอยู่บนสองฟากฝั่งถนน ทุกคนล้วนเสียชีวิต ค่ายกลจึงหายตาม
สิ่งที่อยู่ในสายตาผู้คนในตอนนี้คือ พรมแดงที่ปูด้วยโลหิตสีแดงสดแถบหนึ่ง จากเท้าของซูรุ่ย ยาวไปจนถึงหน้าประตูใหญ่จวนกงจู่
ซูรุ่ยในชุดแต่งงาน มือถือกระบี่ยาว พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ซูหว่าน ด้วยเกียรติของข้า ข้าขอปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยไปชั่วชีวิต เจ้ายินยอมที่จะแต่งเป็นภรรยาของข้าหรือไม่”
ซูหว่านยิ้มน้อยๆ ขณะจ้องมองซูรุ่ยที่อยู่บนพรมโลหิต พลางเดินทีละก้าว เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วยกมือขึ้นจับมือของเขาเบาๆ ดึงให้เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ขอสาบานด้วยโลหิตว่า ข้าซูหว่านยินยอมเป็นภรรยาของเจ้า อยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิต!”
ว่าแล้ว ซูหว่านก็เขย่งปลายเท้า ยืดตัวจูบริมฝีปากที่เย็นชาและคุ้นเคยของซูรุ่ย
“ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท!”
ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างกระตือรือร้นดังมาจากในฝูงชน พวกเขาได้เป็นสักขีพยานในความรักอันซาบซึ้งใจและน่ายกย่องของจ่างกงจู่ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พิสดารที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคว้นหลวนเฟิ่ง
ถ้ามีคนคนหนึ่งยอมถือกระบี่ยาวเพื่อท่าน ถ้ามีคนคนหนึ่งยอมปกป้องท่านให้ปลอดภัยไปชั่วชีวิต
ไม่ว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร ไม่ว่าเขามีสถานะอะไร ขอเพียงท่านรักเขา ขอให้ท่านจับมือเขาไว้ให้แน่น…
งานมงคลสมรสของซูหว่านพลิกผันอย่างอึกทึกครึกโครม แต่ก็กลายเป็นพิธีแต่งงานที่ผู้คนชอบพูดถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นหลวนเฟิ่ง
หลังจากวันนั้น พอซูม่านกลับถึงวังหลวง ก็สั่งให้ปิดตายบ้านสกุลหลิ่วทันที และย้ายหลิ่วลั่วเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น
หลิ่วเสวียนหายสาบสูญ ส่วนพรรคพวกในราชสำนักของเขา พอรู้ข่าวก็หลบหนีกันไปหมด ซูม่านเริ่มไม่ไว้ใจชายใดอีก และเริ่มหยิบยืมทุกๆ เหตุผล เลิกจ้างข้าราชการชายในราชสำนักทั้งหมด
แน่นอนว่า ซูรุ่ยในตอนนี้ได้ลาออกจากราชการแต่แรกแล้ว และตั้งแต่ซูหว่านแต่งเข้าบ้านสกุลเฟิง ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของตนเองอย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นตลาดผักทางทิศตะวันออก หรือหมู่บ้านผ้าไหมทางทิศตะวันตก ผู้คนในเมืองหลวงก็มักเห็นจ่างกงจู่และสามีไปซื้อผักด้วยกัน ไปตัดเสื้อด้วยกัน กระทั่งมักไปทางใต้ด้วยกัน ไปช่วยเหลือเกื้อกูลขอทานที่ไร้บ้านเหล่านั้น
ชีวิตปกติธรรมดาที่สุดเช่นนี้ ก็เหมือนกับชีวิตสามีภรรยาธรรมดาทั่วไปในแคว้นหลวนเฟิง ที่อยู่กับฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู น้ำชา ทว่าชีวิตแบบนี้แหละ ที่ทำให้สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านั้นอิจฉาไม่เลิก
พวกนางเคยชินกับการมีสามสามี สี่ผู้รับใช้ไปแล้ว การแก่งแย่งหึงหวงของกลุ่มผู้ชายในบ้าน ทำให้ต่างลืมไปแล้วว่า ชีวิตปกติธรรมดาที่สุดของสามีภรรยาเป็นอย่างไร
ฤดูร้อนของปีถัดมา ในที่สุดก็มีสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เรียนรู้จากซูหว่าน แต่งเข้าบ้านผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง จากนั้นเป็นต้นมา ในเมืองหลวงก็เกิดกระแสการแต่งออกของสตรีสูงศักดิ์ตามๆ กันไป และในตอนนี้เอง ซูม่านก็ต้องกลุ้มไม่หยุด เนื่องจากข้าราชการชายที่ถูกเลิกจ้างในแต่ละพื้นที่ รวมตัวกันลุกฮือขึ้นต่อต้าน
และหลิ่วเสวียนก็ยังตามหลอกหลอนไม่เลิก เขารวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก แล้วเริ่มก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง
กองกำลังก่อจลาจลในแต่ละพื้นที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด กำลังจะเข้าโจมตีเมืองหลวงในเร็ววัน
ในเวลาเช่นนี้ ซูม่านค่อยค้นพบว่า ในราชสำนักของตน นอกจากฉือเสวี่ยยวน แม่ทัพผู้แข็งแกร่งผู้เดียวแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถใช้งานได้อีก!
สุดท้าย ฉือเสวี่ยยวนจึงเป็นผู้นำกำลังทหารออกไปปราบปรามตามคำสั่ง แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาอีก…
คืนหนึ่งของเดือนแปด กองกำลังต่อต้านก็บุกเข้ามาในเมืองหลวงได้
ซูม่านกับหลิ่วเสวียนพบเจอกันอีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามยังคงมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ดวงตาฉายแววเฉียบคมดุร้าย
“ฝ่าบาท ทรงแพ้แล้ว”
หลิ่วเสวียนจ้องมองซูม่าน พลางค่อยๆ ชักกระบี่ยาวของตนเองออกมา
“หึ เราไม่ยอมศิโรราบให้กับผู้ชายที่ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคออย่างพวกเจ้าหรอก!”
ว่าพลางซูม่านก็ตวัดกระบี่ยาวแทงไปที่หว่างคิ้วของหลิ่วเสวียน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในท้องพระโรง ประมือกันไปร้อยกว่ากระบวนท่า แต่แล้วซูม่านก็ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว”
ขณะที่หลิ่วเสวียนสบโอกาสเหมาะ คิดแทงทะลุทรวงอกของซูม่าน กลับมีร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รับกระบี่ปลิดชีพกระบี่นี้แทนซูม่าน
หลิ่วเสวียนอึ้งไปพักหนึ่ง
ซูม่านยิ่งตกตะลึงไม่หาย ขณะมองดูใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ ของชายผู้ซึ่งล้มบนร่างของตน
“หลิ่ว…ลั่ว”
ซูม่านกระซิบชื่อของเขาตามจิตใต้สำนึก ขณะยกมือขึ้น กลับพบว่าฝ่ามือของตนเต็มไปด้วยโลหิต
“หลิ่วลั่ว หลิ่วลั่วเจ้า…”
ซูม่านพยายามปิดบาดแผลบนร่างของหลิ่วลั่วพัลวัน แต่เขากลับสั่นศีรษะน้อยๆ พลางพูดพร้อมใบหน้าที่ซีดขาว “ไม่มีประโยชน์หรอก กระหม่อมเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว ฝ่าบาท นี่คือสิ่งสุดท้ายที่หลิ่วลั่วสามารถทำเพื่อพระองค์ได้ แม้ว่า…แม้ว่าในใจกระหม่อมไม่ชอบเย่ว์ชิงมาตลอด แต่กระหม่อมชอบประโยคที่เขาพูดไว้มาก…ยอมรักเดียวใจเดียว ผมขาวไปด้วยกัน หากชาติหน้ามีจริง ฝ่าบาทจะยินยอมเป็นภรรยาของหลิ่วลั่วไหม รักเดียวใจเดียว ไม่พรากจากกันจนแก่เฒ่า”
“ยินยอม ข้ายินยอม เจ้าอย่าตายนะ”
ซูม่านตื่นตกใจจนกรีดร้องออกมา แต่พอชายที่อยู่ข้างกายได้ยิน กลับยิ้มน้อยๆ แล้วหลับตาลงตลอดกาล…
แม้ถูกสงสัย ถูกเย็นชาใส่ ถูกย้ายให้ไปอยู่ในตำหนักเย็นที่เสมือนตายทั้งเป็น
แต่เขาก็ยืนหยัดเสมอมา เพียงเพราะในใจมีรัก
“เขาตายแล้ว ตายเพราะเจ้า”
หลิ่วเสวียนรู้สึกหมองหม่นอยู่บ้าง “ซูม่าน เจ้ามักพูดว่าผู้ชายพึ่งไม่ได้ มีแต่ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าที่พึ่งได้? ข้าเป็นคนที่ส่งเย่ว์ชิงเข้าไปในจวนจ่างกงจู่เอง เขามิได้ทรยศเจ้า หลิ่วลั่วก็เช่นกัน เจ้ายอมเชื่อผู้อื่น แต่ไม่ยอมเชื่อใจพวกเขา หรือพวกเขามิใช่คนรักของเจ้า”
“ใต้หล้านี้ ควรเป็นของผู้ชาย!”
พูดพลาง หลิ่วเสวียนก็ตวัดกระบี่ยาว แทงลึกเข้าไปที่หัวใจของซูม่าน ซูม่านนึกถึงเหลิ่งเยี่ยที่ตายไป เย่ว์ชิงที่ตายไป ยังมีหลิ่วลั่วที่เพิ่งตายไป
ภาพตรงหน้าของนางเลือนรางไปหมด ในความเลือนรางคลุมเครือนั้น นางเห็นชุดสีแดงสบายตาปรากฏขึ้นที่หน้าประตูท้องพระโรง
“ใต้หล้านี้เป็นของผู้ชายก็จริง แต่ก็เป็นของผู้หญิงด้วย มิใช่เป็นไปตามที่เจ้าว่าแต่เพียงผู้เดียว เสนาบดีหลิ่ว!”
ซูหว่านในชุดหงส์สีแดงสดปรากฏตัวขึ้นอย่างใจเย็นที่ด้านหลังของหลิ่วเสวียน ส่วนผู้ที่อยู่ข้างกายนาง ก็คือผู้ที่สวมเครื่องแบบทหาร ได้แก่ ซูรุ่ย ลู่ฉางเกอ ยังมีปี้ลั่ว กับซิวหลัว
แคว้นหลวนเฟิ่งอาจมีข้อบกพร่องมากมาย ที่จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับปรุงก็จริง แต่ตอนนี้แคว้นนี้กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น และซูหว่านก็ไม่มีวันปล่อยให้แคว้นหลวนเฟิ่งต้องตกอยู่ในมือของผู้ชายที่มีแนวคิดสุดโต่งอย่างหลิ่วเสวียนเป็นอันขาด…