ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 3 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (3)
ตอนซูหว่านพาปี้ลั่วกลับมาถึงจวนจ่างกงจู่ ก็ดึกดื่นแล้ว
“ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันคอยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้ไหมเพคะ”
ปี้ลั่วถามอย่างเคยชิน ขณะเดินมาถึงหน้าประตูห้อง
“ช่างเถอะ” ซูหว่านโบกมือ “เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด วันนี้ข้าไม่ต้องการคนปรนนิบัติ”
“เพคะ”
พอได้ยินซูหว่านพูดเช่นนี้ ปี้ลั่วก็รีบถวายบังคมลาแล้วถอยออกไป
ซูหว่านค่อยๆ เดินเข้าห้องนอนตนเองตามลำพัง พอก้าวเข้าด้านใน ก็ได้กลิ่นหอมแปลกๆ นี่คือ…
“ฝ่าบาท!”
เสียงใสๆ ของผู้ชายดังขึ้นในความมืด แล้วเงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งมาทางซูหว่านอย่างรวดเร็ว
แววตาของซูหว่านเย็นชาลง ขณะยกมือขึ้น มีดสั้นล่ามังกรก็วาดออกจากแขนเสื้อ เห็นแสงเย็นยะเยียบแวบหนึ่ง คมมีดก็จ่ออยู่บนคอหอยของผู้มาแล้ว
“ฝะ ฝ่าบาท!”
เสียงของชายผู้นั้นสั่นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว “ฝ่าบาท กระหม่อมคือคนที่คุณชายโหลวส่งมารับใช้ท่าน”
“โหลวเซียวเซียว?”
พอได้ยินคำพูดของบ่าวรับใช้ น้ำเสียงของซูหว่านก็ยิ่งเย็นชาลง “ข้าไม่ต้องการให้ใครมารับใช้!”
“พ่ะย่ะค่ะๆ กระหม่อมจะจากไปเดี๋ยวนี้”
พอบ่าวรับใช้ได้ยินคำพูดของซูหว่าน ก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง
ขณะเห็นว่าเขากำลังจะหันกายหนี ซูหว่านกลับกะพริบตาทันที “เมื่อมาแล้ว ก็จากไปไม่ได้”
“หา?”
บ่าวรับใช้อึ้งเล็กน้อย พริบตาที่เขาหยุดชะงัก มีดสั้นในมือซูหว่านก็ฟันเข้าที่เส้นชีพจรของเขา โลหิตสดๆ ฉีดพุ่งออกมา เลอะร่างซูหว่านทันที
“ทหาร!”
ซูหว่านตะโกนเสียงเย็นชา พลันมีร่างกำยำสองร่างพุ่งเข้ามา “ฝ่าบาท!”
“นำศพออกไป ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด แล้วทิ้งไว้ที่หน้าประตูใหญ่บ้านโหลวเซียวเซียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
พอได้ยินซูหว่านกำชับ องครักษ์ทั้งสองที่พุ่งเข้ามาก็รีบขานรับพลางพยักหน้าด้วยความเคารพ
“ยังมี ตรวจสอบดูว่าใครปล่อยให้เขาเข้ามา พอรู้ว่าเป็นใคร ก็เฆี่ยนมันให้ตาย!”
หลังโบกมือให้องครักษ์จากไป ก็มีสาวใช้เข้ามาเปลี่ยนกำยานในห้อง พื้นกระเบื้องหินที่เลอะโลหิตก็ถูกเช็ดถูจนสะอาดสะอ้าน
ตอนนี้ ซูหว่านถอดเสื้อผ้าออกแล้ว และกำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ
นางไม่ได้ฆ่าคนกับมือมานานมากแล้ว บางครั้งจึงอดคิดไม่ได้ว่า หรือตนถูกแม่ทัพซูเลี้ยงให้สบายจนเคยตัวไปแล้วจริงๆ
พอนึกถึงซูรุ่ย ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก มีสามีอย่างนี้ ต่อให้ถูกเลี้ยงให้สบายจนเคยตัวแล้วไง
แรกเริ่ม ตนคิดแต่จะแก้แค้นสวีเช่อให้ได้ จึงถลำลึกลงไปในเส้นทางสายนี้เรื่อยๆ จิตใจก็เย็นชาลงเรื่อยๆ ลักษณะแบบนั้นของตน หรือจะไร้จุดอ่อนให้จู่โจมจริงๆ หรือมันจะทำให้ตนมีความสุข
ไม่มี
ตอนนั้นจิตใจเธอเย็นชา มองไม่เห็นหนทางคืนกลับ หาทางออกไม่พบ ในหัวสมอง นอกจากการแก้แค้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
แต่ตอนนี้ เธอมีคนรักแล้ว มีผู้ชายที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีวันทิ้งเธอไปเป็นอันขาด นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลายคนต้องการหรอกเหรอ
คนเรา โลภมากไม่ได้หรอก
…..
เช้าวันรุ่งขึ้น จวนสกุลโหลว ในเมืองหลวง
โหลวเซียวเซียวกำลังนอนอยู่บนเตียงที่นุ่มสบายเหมือนเช่นเคย และกะว่าจะนอนตื่นสายจนตะวันโด่ง แต่แล้วฟ้าเพิ่งสาง โหลวฮูหยินก็ถือไม้หวาย บุกเข้าไปในห้องนอนของโหลวเซียวเซียว แล้วฟาดลงบนร่างของลูกชายตนเองอย่างแรงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ
“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย โทษฐานทำให้เป็นห่วง!”
“เจ้าอยากยั่วโมโหข้านักใช่ไหม!”
“โอ๊ย!”
คุณชายใหญ่สกุลโหลวที่กำลังนอนฝันหวาน พอถูกมารดาตนเองฟาดไม้นี้ลงไป ก็พลันตกใจตื่นจากฝัน ร้องเสียงดังพลางกระโดดขึ้นจากเตียง
“ท่านแม่ ท่านแม่ทำอะไรน่ะ ท่านกำลังจะฆ่าลูกตัวเองนะ!”
“ไสหัวไป ข้าไม่มีลูกไม่รักดีอย่างเจ้า!”
โหลวฮูหยินมองเขาอย่างเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า[1]
“เจ้าดูคนสกุลหลิ่ว หลิ่วเสวียน กับคนสกุลเฟิง เฟิงอู๋เฉิน สิ พวกเจ้าทั้งสามโตมาด้วยกัน สองคนนั้นล้วนเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง แล้วเจ้าล่ะ ไม่ง่ายเลยกว่าจะย้ายเจ้าให้ไปเป็นนายกองในค่ายทหารเสินจี แต่เจ้ากลับหาเรื่องให้ข้าเดือดร้อนเสมอ นี่ยังพอทำเนา แต่คนสารเลว ว่างนักหรือ ทำไมต้องไปหาเรื่องจ่างกงจู่ด้วย เจ้าไม่พอใจที่มีชีวิตยืนยาวเกินใช่ไหม”
เอ่อ
พอได้ยินคำพูดของมารดาตนเอง โหลวเซียวเซียวก็กะพริบตา “ท่านแม่ ซูหว่าน ไม่ใช่ ข้าหมายถึงจ่างกงจู่น่ะ นาง…นางทำอะไรหรือ”
“เจ้าถามตัวเองก่อนดีไหม ว่าเจ้าทำอะไรลงไป เมื่อคืนคนของจวนจ่างกงจู่นำศพบ่าวคนหนึ่งมาโยนไว้ที่หน้าบ้านสกุลโหลวเรา แถมยังให้คนเฝ้าไว้ ไม่ให้ใครมาเอาออกไปอีก เช้าวันนี้อวิ๋นจูบอกข้าหมดแล้วว่า บ่าวที่ตายนั่น เจ้าเป็นคนซื้อมา แล้วส่งไปที่จวนจ่างกงจู่ เจ้าว่าเด็กไม่รักดีอย่างเจ้า รนหาที่หรือไม่ล่ะ”
โหลวฮูหยินจ้องมองลูกชายตนเอง พลางโมโหจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว จ่างกงจู่เป็นคนประเภทไหนกัน นางมีชื่อเสียงเรื่องความรุนแรงและเหี้ยมโหด ลูกโง่เขลาของตนลืมไปแล้วหรืออย่างไรกัน
เมื่อได้ยินมารดาพูด โหลวเซียวเซียวกลับหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ “ท่านแม่ ข้าก็ได้ยินมาว่าเย่ว์ชิงเข้าข้างฝ่าบาทเหมือนกัน ฮ่าๆ เรื่องนี้ผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็รู้กันหมดแล้ว ซูหว่านนางมิใช่สูงส่งมากหรอกหรือ ครั้งนั้นยังดูแคลนคุณชายอย่างข้าด้วยซ้ำ ตอนนี้เพื่อนสนิทนาง หนีไปหาคนอื่นแล้ว ข้าเลยต้องทำเรื่องดีๆ สักหน่อย ซื้อหนุ่มหล่อแก้เซ็งให้นาง นี่ข้าหวังดีนา! นางต่างหากที่ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี!”
“บังอาจ! ฝ่าบาทจ่างกงจู่ใช่คนที่เจ้าวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ”
พอโหลวฮูหยินได้ยินคำพูดลูกชายตนเอง ก็มีสีหน้าสับสนเล็กน้อย “เซียวเซียว เจ้าบอกความจริงแม่มา ลึกๆ แล้วเจ้ายังคิดถึงจ่างกงจู่อยู่ใช่ไหม”
“ไม่ ไม่นี่! เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”
พอได้ยินคำพูดของมารดา โหลวเซียวเซียวก็รีบถลึงตาโต พลางตอบด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ใต้หล้ามีสตรีดีๆ มากมาย สถานะอย่างสกุลโหลวเรา ข้าอยากแต่งสตรีแบบไหนเข้าบ้านก็ได้ ทำไมต้องปีนบันไดแต่งออกไปกับเชื้อพระวงศ์ด้วย ข้าโหลวเซียวเซียวมีหรือที่จะทิ้งคนแบบนั้นไม่ได้!”
ตั้งแต่กฎหมายใหม่ของจักรพรรดินีองค์ก่อนถูกนำมาใช้ทั่วหล้า สถานะของผู้ชายก็สูงขึ้นกว่าเดิมมากจริงๆ แม้ในหมู่สตรีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง ยังไม่มีแบบอย่างที่แต่งเข้าบ้านผู้ชาย แต่ในหมู่สามัญชน ผู้ชายแต่งเข้า ผู้หญิงแต่งออก เป็นเรื่องธรรมดามาก
พอเห็นโหลวเซียวเซียวพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ โหลวฮูหยินก็ค่อยวางใจลง สกุลโหลวเป็นสกุลสืบเชื้อสายสูงศักดิ์ในแคว้นหลวนเฟิ่งเช่นเดียวกัน แม้โหลวฮูหยินไม่ต้องรับราชการ แต่นางยังคงมีบรรดาศักดิ์ติดตัว ส่วนแนวโน้มทางการเมืองในปัจจุบัน นางก็มองออก สองปีมานี้ จักรพรรดินีกุมอำนาจไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะที่จักรพรรดินีอภิเษกสมรสกับคนบ้านสกุลหลิ่ว ทำให้ได้แรงหนุนจากเสนาบดีหลิ่วอีกหนึ่งแรงใหญ่ โอกาสชนะของจ่างกงจู่ เกรงว่าคงมีไม่สูงนัก
ซึ่งตอนนี้เวลานี้ โหลวฮูหยินก็แอบยินดีกับตนเองเล็กน้อย โชคดีที่เมื่อครั้งจักรพรรดินีองค์ก่อนตรัสเรื่องการแต่งงานของจ่างกงจู่ จางกงจู่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลใจ ซึ่งถ้าครั้งนั้นเกิดการแต่งงานขึ้น ก็ยากที่จะพูดถึงอนาคตของสกุลโหลวแล้วจริงๆ
นี่อาจเป็นอย่างที่ว่า ‘ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับเป็นโชคอันยิ่งใหญ่’ สินะ
…..
แวดวงคนเมืองไม่มีความลับมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูบ้านสกุลโหลว แพร่กระจายมาถึงการประชุมท้องพระโรงในช่วงเช้า
ทุกคนล้วนทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ คุณชายใหญ่สกุลโหลวยังเหมือนเดิม ไม่ยอมโตสักทีจริงๆ! ใครไม่รู้บ้างว่า หมู่นี้จ่างกงจู่กำลังอารมณ์ไม่ดี แต่เขายังกล้าที่จะพุ่งเข้าชน เป็นแบบอย่างที่ไม่กลัวตายเอาเสียเลย
หลังเสร็จสิ้นการประชุม ซูหว่านเดินอยู่หน้าสุด ไม่มีใครกล้าก้าวล้ำหน้านาง
ตอนเดินถึงประตูเป่ยหวา ซูหว่านพลันชะงักฝีเท้า
เหล่าขุนนางใหญ่ที่อยู่ด้านหลังล้วนไม่เข้าใจ จึงจ้องมองนาง ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ซูหว่านสวมชุดขุนนางลายหลวนเฟิ่ง[2] สีแดงเพลิง ดูสวยสดใสเจิดจ้าเป็นพิเศษ
“เสนาบดีหลิ่ว”
ซูหว่านกวาดตามองไปในกลุ่มคน ก่อนมาหยุดอยู่ที่ร่างของหลิ่วเสวียน
“จ่างกงจู่”
พอได้ยินซูหว่านเรียกชื่อตน หลิ่วเสวียนที่กำลังเดินอยู่กับกลุ่มขุนนางชาย ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวออกมาด้านหน้าสองสามก้าว ก่อนจ้องมองซูหว่านอย่างนอบน้อม “จ่างกงจู่มีรับสั่งอะไรหรือ”
“ข้าได้ยินมาว่า ฝ่าบาทพระราชทานชาบรรณาการชั้นเลิศให้เสนาบดีหลิ่วหนึ่งกล่อง ไม่ทราบว่าข้าจะได้รับเกียรติให้ไปจิบสักถ้วยที่จวนของท่านหรือไม่”
ซูหว่านแย้มยิ้มพลางจ้องมองหลิ่วเสวียน แม้กำลังถามเขา แต่น้ำเสียงของนางกลับเย่อหยิ่งชนิดไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
เย่อหยิ่งเย็นชาแต่เด็ก ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา นี่ก็คือซูหว่าน จ่างกงจู่แห่งแคว้นหลวนเฟิ่ง
——
[1] ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า อุปมาว่าไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้
[2] หลวนเฟิ่ง นกหลวนกับหงส์ไฟ โดยทั่วไปหมายถึงสตรีผู้มีคุณธรรม