ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 4 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (4)
หน้าประตูเป่ยหวา ขณะมองดูท่าทีเย็นชาของฝ่าบาทจ่างกงจู่ในชุดหงส์ รอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอันอ่อนโยนของหลิ่วเสวียน
“ยากที่จ่างกงจู่ยินยอมให้เกียรติ หลิ่วเสวียนย่อมทำตามพระประสงค์ด้วยความเคารพ!”
ว่าแล้วหลิ่วเสวียนก็ก้าวไปยืนด้านข้าง ก่อนเบี่ยงตัว “ฝ่าบาทจ่างกงจู่ เชิญเสด็จ!”
“อืม”
ซูหว่านตอบอย่างเย็นชา ก่อนสะบัดแขนเสื้อ ก้าวเดินอยู่หน้าสุดอย่างได้ใจ รอจนทั้งสองเดินออกจากประตูวัง เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังค่อยกล้าซุบซิบกันเบาๆ
“ญาติผู้พี่”
ขณะนั้น ฉือเสวี่ยยวนที่สวมชุดขุนนางสีน้ำเงินก็ก้าวเข้ามายืนข้างเฟิงอู๋เฉินอย่างอดไม่ได้ “จ่างกงจู่คิดไปจวนเสนาบดีหลิ่ว ขอคนตรงๆ เลยหรือเปล่า”
พอเฟิงอู๋เฉินได้ยินคำถามของฉือเสวี่ยยวน ก็ยิ้มเย็นชา “เจ้านึกว่าจ่างกงจู่เป็นคนโง่จริงๆ หรือ”
“หึ”
พอได้ยินคำตอบของเฟิงอู๋เฉิน ฉือเสวี่ยยวนก็เลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ “สตรีน่ะ ถ้าถูกความรักบังตา ก็คือคนโง่มิใช่หรือ จ่างกงจู่ดูไปแล้วเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แต่ก็ยังถูกเย่ว์ชิงทอดทิ้งนี่!”
เย่ว์ชิงเคยเป็นคนในจวนจ่างกงจู่ และเป็นคนรักของจ่างกงจู่ เรื่องนี้ใครไม่รู้บ้างเล่า
ความจริง ตอนเย่ว์ชิงเข้าวัง ฝ่าบาทก็รู้แล้วว่าเขามีจุดประสงค์อะไร
ถ้าเปรียบเทียบความฉลาด จางกงจู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่าบาทจริงๆ
ดวงตาสวยๆ ของฉือเสวี่ยยวนกะพริบ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความทระนง “ญาติผู้พี่ จักรพรรดินีจึงจะเป็นผู้มีความสามารถในการปกครองอย่างแท้จริง ข้ารู้ว่าท่านมีอคติกับจักรพรรดินี จากการตายของพี่รอง แต่…ข้าหวังว่าท่านจะเห็นแก่สถานการณ์โดยรวมเป็นหลัก!”
สถานการณ์โดยรวม…
ใบหน้าขรึมน้อยๆ ของเฟิงอู๋เฉิน ปรากฏรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่หาดูได้ยากขึ้น “เสวี่ยยวน ข้ารู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ข้าจะไปฝึกทหารที่สนามฝึกแล้ว เจ้าล่ะ จะกลับจวนเสนาบดี หรือจะไปสภาสูง”
“ข้ากลับจวนเสนาบดีดีกว่า มีงานราชการอีกมากมายที่ยังไม่ได้จัดการ”
ฉือเสวี่ยยวนยิ้มให้เฟิงอู๋เฉิน ก่อนสาวเท้าก้าวเดินออกจากประตูวังไป
ขณะมองดูแผ่นหลังวีรสตรีค่อยๆ เดินจากไป เฟิงอู๋เฉินก็กะพริบตาปริบๆ…
งานราชการของแคว้นหลวนเฟิ่งต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่เคยเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างชายหญิงมาไว้ในใจ นี่คือเสนาบดีหญิงฉือเสวี่ยยวน สตรีเหล็กของแคว้นหลวนเฟิ่ง
…..
จวนเสนาบดีหลิ่วในเมืองหลวง
รถม้าของซูหว่านค่อยๆ จอดลงตรงหน้าประตูจวนเสนาบดีหลิ่ว ผู้ติดตามปี้ลั่วรีบกระโดดลงจากหลังม้าก่อน แล้วเลิกผ้าม่านที่ตัวรถขึ้น
พอยามอารักขาหน้าประตูจวนเสนาบดีเห็นรถม้าของซูหว่าน ก็ล้วนคุกเข่าลง ทำความเคารพ
“ถวายบังคมจ่างกงจู่!”
ซูหว่านค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้า ขณะมองดูความใหญ่โตมโหฬารของจวนสกุลหลิ่วที่อยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ “เสนาบดีหลิ่ว ข้าจำได้ ตอนเป็นเด็ก ท่านเคยบอกว่า โตขึ้นจะสร้างเรือนของตนเองสักหลัง นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ทุกอย่างเป็นจริงแล้ว มิหนำซ้ำ ท่านไม่เพียงแต่มีเรือนเป็นของตัวเอง ยังเป็นขุนนางชั้นหนึ่งของราชสำนักด้วย บารมีล้นหลาม!”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน หลิ่วเสวียนที่ก้าวออกจากรถม้าคันหลังก็มีสีหน้าอึ้งเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มบางๆ พลางว่า “จ่างกงจู่ยังจำได้ นั่นล้วนเป็นคำพูดมั่วซั่วของเด็กไม่ประสีประสาเท่านั้น!”
สกุลหลิ่วเป็นสกุลมีชื่อในเมืองหลวงเช่นเดียวกัน หลิ่วเสวียนกับหลิ่วลั่วจึงเล่นอยู่กับกลุ่มชนชั้นสูงมาแต่เด็ก ตอนนั้นหลิ่วเสวียนฝึกวิทยายุทธ์ไม่ได้ ทำให้เหมือนเป็นคนไม่มีตัวตน แต่เขามีความทะเยอทะยานแต่เด็ก จึงแอบมุมานะอ่านตำราพิชัยยุทธ์กับค่ายกลบังตาตามลำพังมาตลอด ซึ่งก็แค่เข้าใจงูๆ ปลาๆ
ตอนเป็นเด็ก เขามีใจทะเยอทะยาน แต่ตอนนี้ หลิ่วเสวียนกลับเรียนรู้เรื่องการซ่อนความทะเยอทะยานกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และคำพูดเมื่อครู่ของซูหว่าน จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงการลองใจลึกๆ เท่านั้น
ภายใต้การนำพาของพ่อบ้านสกุลหลิ่ว ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังเรือนน้อยบนอาคาร ที่นี่ปกติแล้วเป็นที่ที่ หลิ่วเสวียนพักผ่อนเป็นการส่วนตัว และเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในจวนสกุลหลิ่ว ส่วนที่อื่น อย่างหลังจวนเอย สวนดอกไม้เอย ห้องหนังสือเอย เหล่านี้มีกลไกกับค่ายกลอยู่ทั้งนั้น คนธรรมดาเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ ต่อให้ท่านโชคดีเข้าไปได้ ก็ออกมาไม่ได้หรอก
ไม่ผิด ก็เพราะมีนอกมีในแบบนี้ล่ะ
จวนสกุลหลิ่วถึงเป็นที่ที่สร้างความยุ่งยากได้มากกว่าพระราชวัง และเนื่องจากมีกลไกมากมายขนาดนี้ หลิ่วเสวียนถึงได้อยู่ในบ้านตัวเอง วางแผนการใหญ่ล้มล้างราชสำนักได้อย่างสบายใจ
“ชาบรรณาการก่อนฤดูฝน เชิญจ่างกงจู่เสวย!”
หลิ่วเสวียนเชี่ยวชาญในการชงชาเป็นพิเศษ ขณะมองดูเขาช่วยตนชงชาอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาของซูหว่านก็จ้องจับอยู่แต่มือของเขา
“จ่างกงจู่?”
พอรู้สึกถึงสายตาของซูหว่าน หลิ่วเสวียนก็อึ้งเล็กน้อย จึงเรียกนางอีกครั้งตามสัญชาตญาณ
“อ้อ”
ซูหว่านดึงสติคืนกลับ จากนั้นก็ยิ้มเขินๆ “นึกไม่ถึงว่าฝีมือการชงชาของเสนาบดีหลิ่วจะดีเช่นนี้ แม้แต่ท่วงท่าในการชงก็เป็นเอกลักษณ์มาก ทำเอาข้าตะลึงงันไปเลย”
“นี่เป็นเพราะ…ฝึกฝนบ่อยๆ ก็เก่งเองพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน สีหน้าอันอ่อนโยนของหลิ่วเสวียนก็มืดมนลงวาบหนึ่งทันที
เป็นลูกชายเหมือนกัน แต่เนื่องจากตนไม่สามารถฝึกวิทยายุทธ์แต่เด็ก มารดาจึงหาอาจารย์หลายท่านมาสอนดีดพิณ เดินหมาก เขียนตัวอักษร วาดภาพ อีกทั้งศิลปะการชงชา
ตอนนั้นมารดาคงคิดส่งเขาเข้าวังมาตลอด
หึ เพียงเสียดายที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา คนคำนวณ หรือจะสู้ฟ้าลิขิต
จักรพรรดินีองค์ก่อนปรับโครงสร้างใหม่ ตนจึงอาศัยความสามารถด้านบุ๋นที่โดดเด่น สอบเข้ารับราชการในราชสำนัก ส่วนน้องชายที่เก่งกาจทั้งด้านบุ๋นและบู๊ กลับยอมเข้าวังรับใช้ฝ่าบาท เพียงเพราะเห็นแก่ความรักฉันหนุ่มสาว!
สำหรับการเลือกของหลิ่วลั่ว หลิ่วเสวียนไม่เห็นด้วยจริงๆ สำหรับเรื่องการแต่งงาน หลิ่วเสวียนยืนกรานมาตลอดว่าต้องเป็นผู้ชายแต่งเข้า ผู้หญิงแต่งออก และทั้งสองก็ต้องรักกันด้วย
เขาคิดว่า ถ้าทั้งสองรักกัน แม้สตรีเป็นผู้สูงศักดิ์ ก็ต้องยอมแต่งออก มิฉะนั้น จะพูดเรื่องความรักอะไรกันได้อย่างไร
ขณะที่หลิ่วเสวียนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองนั้น ซูหว่านก็จิบชาด้วยท่าทีสูงสง่าไปคำหนึ่ง “เสนาบดีหลิ่ว ชานี้ไม่เลวจริงๆ อันที่จริงในจวนข้าก็มีใบชาที่ไม่เลวเช่นกัน เสนาบดีหลิ่วอยากลองชิมดูบ้างไหม”
นี่เป็นการลองใจครั้งที่สองของซูหว่าน
พอได้ยินเช่นนี้ หลิ่วเสวียนก็กะพริบตา ยังคงมีท่าทีอ่อนโยนสง่างามอยู่อย่างนั้น “ทรงหลงใหลเข้าแล้ว อันที่จริงปกติกระหม่อมไม่ค่อยดื่มชา ชานี้ถ้าทรงชอบก็เอาไปเถิด”
หลิ่วเสวียนมิได้ปฏิเสธตรงๆ แต่ตอบซูหว่านอ้อมๆ
พอได้ยินคำตอบของเขา ตาหงส์ของซูหว่านก็ชี้ขึ้น “สุภาพชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ชานี้อย่างไรจักรพรรดินีก็มอบให้ท่าน ข้าจะแย่งของรักของใครได้อย่างไรกัน นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพชน เสนาบดีหลิ่ว ท่านว่าจริงไหม”
เมื่อเห็นคำพูดแต่ละคำของจ่างกงจู่แฝงความนัย หลิ่วเสวียนจึงได้แต่ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า “ตรัสได้ถูกต้องที่สุด!”
“ดังนั้น…”
ซูหว่านค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “คุณชายเย่ว์ออกจากจวนข้า ในเมื่อเขากับฝ่าบาทรักกันจริง ข้าก็รู้สึกว่าควรจัดให้เขากับฝ่าบาทสมหวัง พรุ่งนี้ข้าจะร่างหนังสือ ขอให้ฝ่าบาทรับคุณชายเย่ว์เข้าวังอย่างเป็นทางการ คิดว่า เสนาบดีหลิ่วต้องสนับสนุนแน่”
“นี่…”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน หลิ่วเสวียนก็กะพริบตา เขาไม่ค่อยแน่ใจว่า คำพูดของจ่างกงจู่จริงกี่ส่วน เท็จกี่ส่วนกันแน่
“หึ”
พอเห็นหลิ่วเสวียนลังเลใจ ซูหว่านก็ยิ้มอย่างภูมิใจ “คนส่วนใหญ่คิดว่าข้าจะทำร้ายเย่ว์ชิง เมื่ออยู่ต่อหน้าเสนาบดีหลิ่ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องโป้ปด ข้าอยากให้เขาตายไปจริงๆ แต่ในเมื่อฝ่าบาทต้องการปกป้องเขา ข้าก็คงต้องปล่อยวางแล้ว! ก็แค่คนทรยศคนหนึ่ง ที่ข้ารังเกียจก็คือความไร้น้ำใจและไร้คุณธรรมของเขา เมื่อเขาชอบใช้ภรรยาร่วมกับผู้อื่น ข้าก็ต้องทำให้เขาสมหวัง ชาตินี้…ที่ข้าต้องการก็คือ คู่รักที่รักเดียวใจเดียวชั่วชีวิต เขาเย่ว์ชิง ไปจากข้าแล้ว ก็ถือว่าเขาไม่มีโชคแบบนั้น!”
“คู่รัก…รักเดียวใจเดียวชั่วชีวิต?”
ได้ยินเช่นนี้ หลิ่วเสวียนก็อึ้งไปสักพัก
ไม่ผิด เวลานี้ ประตูสู่โลกใบใหม่ได้เปิดออกตรงหน้าเสนาบดีหลิ่วแล้ว
ซูเสี่ยวหว่าน เชิญโน้มน้าวเขาอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยเถิด