ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 6 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (6)
ระหว่างทางกลับจวนจ่างกงจู่ ซูหว่านหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้าตลอดทาง จวบจนผ่านสถานที่พลุกพล่านแห่งหนึ่ง เสียงโหวกเหวกที่ดังมาจากนอกรถ ทำให้ซูหว่านที่อยู่ในรถขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ปี้ลั่ว ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
ซูหว่านค่อยๆ ลืมตา ใบหน้ามีความไม่พอใจวาบผ่าน
ปี้ลั่วที่อยู่ด้านข้างจึงรีบวาบร่างลงจากรถ ไม่นานนัก นางก็กลับมาที่รถม้าพร้อมสีหน้าซับซ้อน “ฝ่าบาทเพคะ คุณชายโหลวพาคนมาเอาเรื่องคุณชายหลีที่หอฉู่เฟิง ตอนนี้บนถนนมีคนมุงดูอยู่มากมาย ทั้งสองเหมือนลงมือกันแล้ว”
“โหลวเซียวเซียวกับหลีเซียว?”
พอได้ยินปี้ลั่วรายงาน ซูหว่านก็กะพริบตา หลีเซียวเป็นหนึ่งในตัวละครชายหลัก เพียงแต่ปรากฏตัวช้าหน่อยเท่านั้น ส่วนโหลวเซียวเซียว คนผู้นี้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับตนเองจริงๆ
ในเนื้อเรื่องเดิม หลังจากซูหว่านฆ่าตัวตาย จวนจ่างกงจู่ย่อมเสื่อมโทรมลง ปี้ลั่วกับคนอื่นๆ ถูกกักบริเวณ จวนจ่างกงจู่อันรกร้างจึงถูกซูม่านปรับเปลี่ยนให้เป็นจวนโหว เดิมทีจะมอบให้เฟิงอู๋เฉิน แต่สุดท้ายกลับถูกโหลวเซียวเซียวซื้อไปด้วยจำนวนเงินมหาศาล
โหลวเซียวเซียวท่านนี้เป็นลูกคนรวยสกุลดังในเมืองหลวง ที่หญิงชาวบ้านทั่วไปไม่อยากแต่งออกไปอยู่ด้วย และหญิงสูงศักดิ์ไม่อยากแต่งเขาเข้าบ้าน ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมกับสกุลโหลวที่ต่อให้ยอมเสียสินสอดทองหมั้นกี่หมื่นชั่ง คุณชายก็ขายไม่ออก
เดิมทีสมัยจักรพรรดินีองค์ก่อนครองบัลลังก์ โหลวฮูหยินก็อยากจับคู่ให้โหลวเซียวเซียวกับซูหว่าน ซึ่งจักรพรรดินีองค์ก่อนไม่ชอบซูหว่านอยู่เป็นทุนเดิม จึงแสร้งมีน้ำใจตามน้ำ ให้ซูหว่านแต่งคนไม่รักดีอย่างโหลวเซียวเซียวเข้าจวน แต่ซูหว่านจะยอมได้อย่างไรกัน นางจึงพาคนไปที่หอฉู่เฟิง พูดจาขุดคุ้ยเสียดสีโหลวเซียวเซียวชุดใหญ่ พร้อมข่มขู่ด้วยความรุนแรง สุดท้ายก็ล้มการแต่งงานลงได้
เป็นไปได้ว่า จวบจนตัวตาย ร่างเดิมก็ไม่รู้ว่า โหลวเซียวเซียวชอบนางจริงๆ โดยหลังจากนางตายไป เขาไม่เสียดาย ถ้าต้องใช้ทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดซื้อจวนจ่างกงจู่ ด้วยต้องการเฝ้าบ้านแทนนาง…
‘โหลวเซียวเซียว จ่างกงจู่ไม่อยู่แล้ว เจ้าจะเอาจวนนี้ไปทำไม’
ในเนื้อเรื่องเดิม เฟิงอู๋เฉินเคยถามประโยคนี้กับโหลวเซียวเซียว ซึ่งโหลวเซียวเซียวทำหน้าทะเล้นพลางตอบกลับว่า ‘การคงจวนนี้ไว้ อย่างน้อยก็ทำให้มีคนจดจำได้ว่า ที่นี่เคยมีจ่างกงจู่แห่งยุคที่โดดเด่นและเก่งกาจอยู่’
หากไม่มีแม้แต่เรือนหลังนี้ ผู้คนก็จะค่อยๆ ลืมเลือนนางไป
เขาไม่อยากให้ผู้คนลืมว่าซูหว่านเคยดำรงอยู่…
นี่ก็คือความรู้สึกที่โหลวเซียวเซียวมีต่อจ่างกงจู่ เมื่อเจ้าไม่รักข้า ข้าก็ไม่ผูกมัดเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถยับยั้งไม่ให้ข้าคิดถึงเจ้าเงียบๆ ในส่วนลึกของหัวใจได้
…..
ซูหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ทอดถอนใจออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นเหลือบมองปี้ลั่ว “คนไม่เอาถ่านอย่างโหลวเซียวเซียว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลีเซียวแน่…ปี้ลั่ว เจ้าไปพาโหลวเซียวเซียวมาหาข้าหน่อย บอกว่าข้ามีเรื่องอยากพบเขา”
“เพคะ!”
ปี้ลั่วลงจากรถม้าอีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับหิ้วคอเสื้อของโหลวเซียวเซียวไว้ในมือ
คราวนี้โหลวเซียวเซียวสะบักสะบอมมาก เขาชอบค้าขายมาแต่อ้อนแต่ออก บุ๋นไม่ได้ บู๊ไม่เป็น เป็นลูกคนรวยในเมืองหลวงที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง
“ขึ้นรถ!”
ซูหว่านเหลือบมองโหลวเซียวเซียว ก่อนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ”
โหลวเซียวเซียวค้อนขวับ แล้วจ้องปี้ลั่วอย่างดุดัน “ปล่อยมือ ไม่ได้ยินนายเจ้าเรียกข้าขึ้นรถหรือไร”
ปี้ลั่ว “…..”
คนไม่เอาไหนอย่างเจ้า ทำกร่างใส่ข้าเนี่ยนะ?
ปี้ลั่วคลายมือออกเบาๆ แต่โหลวเซียวเซียวกลับแสร้งทำเป็นจัดแจงเสื้อผ้าราคาแพงของตนให้เรียบร้อย แล้วจึงก้าวขึ้นรถม้าด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“ถวายบังคมจ่างกงจู่!”
เขาทักทายซูหว่านอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงไม่มีความจริงใจสักนิด
“หึ”
ซูหว่านยิ้มเย็นชาพลางเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เจ้าก็มีอารมณ์แล้ว ยังกล้าลงมือกับหลีเซียวอีก”
“หลีเซียวนับเป็นตัวอะไรได้”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน โหลวเซียวเซียวก็เบะปากอย่างดูแคลน “ข้าเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษขยับปาก ไม่ขยับมือ ส่วนเขาเป็นคนเถื่อนคนหนึ่ง ไม่ได้รับการอบรมบ่มวินัยแม้แต่น้อย สกุลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงถูกเขาทำขายขี้หน้าหมด!”
ซูหว่าน “…”
ช่างกล้าเสียนี่กระไร พูดเช่นนี้ออกมาได้ ตอนที่หลีเซียวเขียนบทความได้พันตัวอักษรนั้น เจ้าน่ะ กระทั่งชื่อตัวเองก็ยังเขียนไม่ได้! ยังมีหน้ามาเทียบการอบรมบ่มวินัยกับคนเขาอีกหรือ
สำหรับอาการหลงตัวเองของคุณชายใหญ่สกุลโหลวนั้น ซูหว่านศึกษามาเหมือนกัน ในเนื้อเรื่องเดิม โหลวเซียวเซียวกับหลีเซียวทะเลาะวิวาทกันที่หอฉู่เฟิงจริง ซึ่งภายหลัง ทั้งสองต่างก็ไม่ชอบขี้หน้าฝ่ายตรงข้ามเรื่อยมา
พอนึกถึงตรงนี้ ซูหว่านก็เอะใจทันที สังเกตโหลวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่ง “โหลวเซียวเซียว เรื่องเมื่อคืน ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย”
“เมื่อคืน?”
โหลวเซียวเซียวจ้องมองซูหว่านอย่างงงงวย “เมื่อคืนข้าเข้านอนแต่หัววัน ไม่ได้พบหน้าจ่างกงจู่ท่านนา!”
มารดาเจ้า แสร้งทำเป็นผู้บริสุทธิ์ได้เนียนมาก
“เจ้านึกไม่ออก ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีทำให้เจ้านึกออก”
ซูหว่านยิ้มบางๆ ก่อนเงยหน้าตะโกนออกนอกรถ “ปี้ลั่ว ไปหาเชือกมามัดหนึ่ง”
“เดี๋ยว เดี๋ยวๆ!”
พอเห็นซูหว่านสั่งให้ปี้ลั่วไปหาเชือก สีหน้าโหลวเซียวเซียวก็เปลี่ยนทันที “จ่างกงจู่ ท่านอย่า อย่ามาทำซี้ซั้วนา!”
“ใครบอกว่าข้าจะทำซี้ซั้วล่ะ”
ซูหว่านโน้มตัวเข้าหา แล้วยื่นหน้ามาอยู่ตรงหน้าโหลวเซียวเซียว “แหม ใบหน้าหล่อๆ แบบนี้เกือบจะถูกหลีเซียวทุบจนบวมปูดไปหมดแล้ว เจ้าว่า ถ้าตอนนี้ข้าถอดเสื้อผ้าเจ้าออกหมด มัดไว้บนรถม้า แล้วแห่รอบเมือง มารดาของเจ้าจะยังจำเจ้าได้อยู่ไหม”
“ซูหว่าน!”
โหลวเซียวเซียวโมโหจนแผดเสียงดังออกมา
“หือ?”
ซูหว่านเลิกคิ้วขึ้น มองโหลวเซียวเซียวพลางยิ้มตาหยี
“เอ่อ จ่างกงจู่ ฝ่าบาทจ่างกงจู่”
โหลวเซียวเซียวทำหน้าขมขื่น พร้อมท่าทางน่าสงสารขณะจ้องมองซูหว่าน “ท่านดูสิ ท่านเป็นถึงจ่างกงจู่ ส่วนข้าเป็นเพียงคนไม่เอาถ่านที่บุ๋นไม่ได้บู๊ก็ไม่เป็น คนใหญ่คนโตอย่างท่านไม่เคยถือสาคนตัวเล็กๆ อยู่แล้ว ท่านเป็นฝ่าบาทที่ใจกว้าง ไม่โกรธง่ายเช่นนี้หรอก พูดก็พูด ข้าไม่ได้ทำอะไรนา! ข้า…ข้าก็แค่หยอกท่านเล่น หยอกเล่นกันนิดหน่อยเท่านั้น!”
และในตอนนี้เอง ปี้ลั่วก็กลับมาข้างรถม้าอีกครั้ง “ฝ่าบาท เชือกเพคะ!”
“ท่าน เอาจริงหรือ!”
พอเห็นเชือกที่ทั้งใหญ่และหยาบในมือปี้ลั่ว คุณชายโหลวก็มึนเหมือนกัน
“ฝ่าบาท?”
ปี้ลั่วไม่สนใจโหลวเซียวเซียว รอคำสั่งจากซูหว่านด้วยสีหน้าจริงจัง
“มัดเขาไว้”
ซูหว่านสะบัดแขนเสื้อ ก่อนสั่งด้วยสีหน้าเฉยเมย
“เพคะ!” ปี้ลั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง พอได้ยินคำสั่งของนายตน มือไม้ก็ว่องไว มัดโหลวเซียวเซียวเป็นบ๊ะจ่างในพริบตา
โหลวเซียวเซียว “…”
น้องสาว ทักษะการมัดของเจ้าทรงพลังมาก! หัดมาจากไหน ขอคำชี้แนะด้วย
“จ่างกงจู่ นี่…”
โหลวเซียวเซียวจ้องมองเชือกที่ไขว้กันทั้งแนวตั้งแนวนอนบนร่างตนเอง เขาลองขยับไปมาในรถม้า แล้วไม่ทันระวัง ล้มแผละลงกับพื้น
“วางใจได้ ไม่ถอดเสื้อผ้าเจ้าแล้วพาแห่รอบเมืองหรอก”
ซูหว่านยิ้มพลางปลอบใจโหลวเซียวเซียว นางไม่รอให้เขาเป่าปากอย่างโล่งอก ก็พูดต่อว่า “ปี้ลั่ว เปลี่ยนเส้นทางไปคลองคูเมือง เราพาคุณชายโหลวไปอาบน้ำให้สะอาดสะอ้านสักหน่อย”
โหลวเซียวเซียวคิด ‘ฉิบหาย ข้าพูดคำหยาบได้ไหม’
“จ่างกงจูพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีข้าน่ะ ข้าคิดหยอกท่านเล่นจริงๆ…อู้อี้…อู้อี้…”
โหลวเซียวเซียวยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกซูหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างพลิกมือ จี้สกัดจุดใบ้ทันที
โหลวเซียวเซียว “…”
“ไป!”
ขณะเดียวกัน ปี้ลั่วก็ก้าวมานั่งอยู่นอกตัวรถ กำชับสารถีเสียงต่ำ แล้วรถม้าของจวนจ่างกงจู่ก็หันหัว วิ่งไปทางคลองคูเมืองทันที…