ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 7 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (7)
ริมคลองคูเมือง ต้นหญ้าเขียวขจี ดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ผลิส่งกลิ่นหอม ยังมีเป็ดป่าฝูงหนึ่งว่ายน้ำเล่นไปมาในคลองด้วย
“จ่างกงจู่ ท่านดูทิวทัศน์พวกนี้สิ ฤดูใบไม้ผลิที่สว่างสดใส ในเวลาเช่นนี้ท่านควรไปท่องเที่ยวแถวชานเมืองนา หรือไม่ก็ไปนอกเมือง ชมดอกท้อที่หุบเขาดอกท้อ มาที่ริมคลองคูเมือง น่าสนุกตรงไหน!”
เสียงที่มีเหตุมีผล มีการเรียงลำดับของโหลวเซียวเซียวดังมาจากใต้เท้าของซูหว่าน
นางยิ้มพลางก้มลงมองผู้ที่ถูกมัดเป็นบ๊ะจ่างอยู่แทบเท้า แล้วจึงยกมือขึ้นลูบคางที่เรียบเนียนของตนไปมา เหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนว่า “โหลวเซียวเซียว เจ้าเกิดมาเป็นพ่อค้าที่มีปากเป็นเครื่องมือจริงๆ พูดเก่งเอามากๆ เสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก!”
ขณะพูด สายตาของซูหว่านก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา “เจ้าน่าจะรู้จักนิสัยข้าดี ผู้ที่เป็นปรปักษ์กับข้าทุกคน ชีวิตล้วนจบไม่ดี”
ขณะพูด ซูหว่านก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณมือให้ปี้ลั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง “พาคุณชายโหลวไปเล่นน้ำให้เย็นสบายคลายร้อนหน่อย!”
“เพคะ!”
ปี้ลั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่เห็นโหลวเซียวเซียวอยู่ในสายตาตั้งแต่แรก พอได้ยินคำสั่งของซูหว่าน ก็เงื้อเท้าเตะโหลวเซียวเซียวจากฝั่งลงไปในน้ำ ในเท้าเดียวทันที…
เสียง ‘ตูม’ โหลวเซียวเซียวถูกมัดจนไม่มีทางดิ้นรน จึงได้แต่จมดิ่งลงไปในน้ำด้วยประการฉะนี้
ซูหว่านจ้องจับผิวน้ำ พลางนับเวลาในใจเงียบๆ ผ่านไปสามสิบลมหายใจ ซูหว่านค่อยมองนิ่ง “ปี้ลั่ว!”
“เพคะ!”
ปี้ลั่วเข้าใจความหมายของซูหว่าน นางทะยานตัวขึ้น ใช้วิชาตัวเบาเหยียบผิวน้ำ พลางวาดกระบี่ที่เอววาบหนึ่ง ผิวน้ำพลันกระเพื่อม แล้วร่างของโหลวเซียวเซียวก็โผล่พ้นน้ำออกมาจากการกระเพื่อมอย่างรุนแรง
ไม่ผิด วรยุทธ์สูงก็กระทำการสุดยอดเช่นนี้ได้
ปี้ลั่วหิ้วคอเสื้อที่เปียกแฉะของโหลวเซียวเซียวเข้ามา และโยนเขาลงบนพื้นหญ้าอีกครั้ง
ตอนนี้ใบหน้าที่เขียวบวมของโหลวเซียวเซียวเริ่มซีดขาว ตลอดทั้งร่างแน่นิ่ง คล้ายไม่มีลมหายใจ
“ฝ่าบาท?”
ปี้ลั่วนั่งยองๆ ลงไป ตรวจสอบลมหายใจของโหลวเซียวเซียว ก่อนแสดงสีหน้าเคร่งเครียดทันที
ซูหว่านยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ถ้าตายแล้ว ก็โยนลงไปในคลองคูเมืองก็แล้วกัน อืม เอาก้อนหินมัดไว้ด้วย ซ่อนศพทำลายหลักฐาน”
ปี้ลั่ว “…”
“แค่กๆ”
ในตอนนี้เอง ผู้ที่นอนแกล้งตายอยู่บนพื้นก็อดรนทนไม่ไหว สำรอกน้ำในคลองคูเมืองออกมา มารดามันเถิด น้ำนี่รสชาติแย่จริงๆ
โหลวเซียวเซียวค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มแรกดวงตาทั้งสองข้างของเขาเลื่อนลอย ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ค่อยคล้ายรวบรวมสติสัมปชัญญะของตนเองได้ จ้องมองซูหว่านกับปี้ลั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง
“ข้า…ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ”
โหลวเซียวเซียวขยับร่างกับพื้น เชือกที่อยู่บนร่างเปียกแฉะ จึงคล้ายรัดแน่นกว่าเดิมหน่อย
“จ่างกงจู่?”
โหลวเซียวเซียวเงยหน้าขึ้น จ้องมองซูหว่านอย่างน่าสงสาร
“ปี้ลั่ว เราไปกันเถอะ”
ซูหว่านเก็บสายตาคืนกลับพลางพูดเสียงต่ำ ปี้ลั่วที่อยู่ด้านข้างจึงรีบเดินตามไป
“จ่างกงจู่!”
โหลวเซียวเซียวส่งเสียงเรียกนางจากด้านหลังอีกครั้ง แต่ซูหว่านกลับเดินจากไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
โหลวเซียวเซียว “…”
มารดามันเถิด แล้วใครจะแก้มัดให้ข้าล่ะ! อ้ากกก!
…
ยามวิกาล จวนกงจู่
ซูหว่านนั่งร่างหนังสือร้องเรียนอยู่ในห้องหนังสือของตนเองทั้งคืน เขียนไปขมวดคิ้วไป ในหัวสมองของนางมักปรากฏภาพใบหน้าของโหลวเซียวเซียวกับหลิ่วเสวียนสลับกันไปมาไม่หยุด
ทุกคนต่างรู้ว่า เสนาบดีหลิ่วฝึกวรยุทธ์ไม่ได้แต่กำเนิด ทว่าวันนี้ ซูหว่านสังเกตเห็นรูปร่างมือและขุยบางๆ ที่มองไม่เห็นบนฝ่ามือของหลิ่วเสวียนอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นคือ มือที่จับกระบี่ ไม่ใช่มือที่จับพู่กันอย่างแน่นอน
ส่วนโหลวเซียวเซียว…
เนื่องจากท่าทางของโหลวเซียวเซียวผู้นี้ กับโหลวเซียวเซียวในเนื้อเรื่องที่ซูหว่านรู้มาเหมือนกันเป๊ะ ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ทว่าก็คือช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อเขียนหนังสือร้องเรียนเสร็จ ซูหว่านก็หลับตาลง แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เบาๆ พรุ่งนี้นางต้องพบกับซูม่านตัวต่อตัวแล้ว กับซูม่าน ซูหว่านย่อมไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด นางเพียงรู้สึกว่าผู้ชายของซูม่านมีมากเกินไปจริงๆ ตอนนี้ก็มีผู้เลื่องชื่อถึงสามคนแล้ว หนึ่งถึงสองคนเป็นคนที่นางรักใคร่ อีกคนแอบหลงรักนาง ถ้าต้องแยกทีละคนออกจากนาง มิต้องเสียแรงเสียเวลาแย่หรือ
ดีที่สถานะจ่างกงจู่ในโลกใบนี้ของตนใช้งานค่อนข้างง่าย ดังนั้นตนจึงไม่ต้องเร่งรีบมากนัก ในการทำภารกิจให้เสร็จสิ้นลง…
เช้าวันรุ่งขึ้น
การประชุมช่วงเช้าก็เหมือนทุกๆ วันที่ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น ขณะซูม่านกำลังจะเลิกประชุม ซูหว่านในชุดยาวลายหงส์พลันยิ้มเล็กน้อย พลางก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องร้องเรียน!”
ว่าพลางซูหว่านก็ล้วงหนังสือร้องเรียนออกจากแขนเสื้อตนเองหนึ่งเล่ม “ขอโปรดทอดพระเนตรด้วย!”
ซูม่านที่กำลังจะเดินจากไป ชะงักฝีเท้า หรี่ตา หันมาจ้องมองซูหว่านพลางแย้มยิ้ม “นำหนังสือร้องเรียนของเสด็จพี่หว่านมาให้เราดูหน่อย!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
มหาดเล็กที่อยู่ด้านข้างรีบโค้งตัว แล้วสาวเท้าไม่กี่ก้าวเข้าไปหยิบหนังสือร้องเรียนจากมือซูหว่าน ส่งถึงมือซูม่าน ซูม่านเปิดออกดู จากนั้นก็แสดงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ”นี่…”
หนังสือร้องเรียนของซูหว่านย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขอให้ซูม่านแต่งเย่ว์ชิงเข้าวังอย่างเป็นทางการ เมื่อเห็นใจความด้านใน ซูม่านก็นึกถึงเรื่องหลายเรื่องในทันที “เสด็จพี่ เรื่องนี้ ท่านตามข้าไปห้องทรงพระอักษร แล้วเราค่อยหารือรายละเอียดกันดีไหม”
“อ้อ?”
พอได้ยินคำพูดของซูม่าน ซูหว่านก็ยิ้มยั่วยวน “เย่ว์ชิงออกจากจวนของหม่อมฉันไป พรสวรรค์ของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนในเมืองหลวง ตอนนี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเขากับฝ่าบาทรักใคร่กัน ข้าในฐานะนายของเขา จึงอยากจะขอพระราชทานตำแหน่งพระสวามีแทนเขา คงไม่เกินไปนะเพคะ เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ ฝ่าบาททรงต้องครุ่นคิดอีกหรือ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูหว่านก็มองตาซูม่านด้วยสายตาข่มขู่แกมบังคับ “หรือว่า ทรงไม่เห็นเย่ว์ชิงอยู่ในสายตา”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ไม่ทันรอให้ซูม่านมีปฏิกิริยา ขุนนางในที่ประชุมก็อดไม่ได้ที่จะซุบซิบกัน
เรื่องเกี่ยวกับความหลายใจของฝ่าบาท ทุกคนย่อมรู้ดี เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่า จ่างกงจู่จะยอมขอพระราชทานตำแหน่งพระสวามีให้กับเย่ว์ชิง ต้องรู้ว่าตามกฎมณเฑียรบาลของแคว้นหลวนเฟิ่ง จักรพรรดินีทุกพระองค์ล้วนมีได้เพียงสามสวามี สี่ผู้รับใช้ ตอนนี้ฝ่าบาททรงมีหนึ่งสวามีและสองผู้รับใช้แล้ว ตำแหน่งที่เหลือแม้ยังว่างอยู่ แต่ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ยังมีเวลาอีกมากมายที่จะเติมเต็มวังหลัง
“เสด็จพี่พูดเรื่องอะไรน่ะ”
ซูม่านมีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว นางปิดหนังสือร้องเรียน แล้วมองซูหว่านอย่างเฉยชา “เราชื่นชมพรสวรรค์ของคุณชายเย่ว์ก็จริง แต่เราไม่รู้ว่าคุณชายเย่ว์คิดอย่างไรกับเรา แม้เราเป็นจักรพรรดินี ก็ไม่สามารถบีบบังคับฝืนใจใคร มิใช่หรือ”
พอได้ยินคำพูดของซูม่าน ซูหว่านก็พยักหน้าตาม “จริงด้วยเพคะ การที่คนสองคนรักซึ่งกันและกัน หายากเป็นที่สุด เช่นนั้นเรื่องนี้ขอฝ่าบาททรงพิจารณาอีกครั้ง ส่วนหม่อมฉันก็จะไม่พูดมากอีก”
พูดจบ ซูหว่านก็มีสีหน้าหม่นหมองลง ก่อนถอยออกไปเงียบๆ
หลิ่วเสวียนที่อยู่ในกลุ่มคน เฝ้าสังเกตท่าทีของซูหว่านมาตลอด พอนึกถึงคำพูดที่นางเคยพูด ‘คู่รักที่รักเดียวใจเดียวชั่วชีวิต’ หัวใจของหลิ่วเสวียนก็หวั่นไหวขึ้นมา…
หรือว่า คำพูดที่จางกงจู่พูดในวันนั้น ล้วนเป็นความจริง?
พริบตานั้น ความคิดนับไม่ถ้วนก็ได้วาบเข้ามาในจิตใจของหลิ่วเสวียน แต่สุดท้ายเขากลับยังคงกดมันไว้ในส่วนลึกของใจตนเอง
พอเลิกประชุม ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน ซูหว่านยังคงเดินอยู่ด้านหน้าสุดอย่างทระนง ครั้งนี้ สายตาที่จ้องมองนางของผู้ที่เดินอยู่ด้านหลัง ล้วนซับซ้อน ยากที่จะถกเถียงกัน…
“ญาติผู้พี่ ท่านว่าครั้งนี้เจตนาที่แท้จริงของจ่างกงจู่คืออะไร”
ฉือเสวี่ยยวนจงใจดึงเฟิงอู๋เฉินให้เดินอยู่ท้ายสุด ก่อนถามด้วยน้ำเสียงกังขา
“ใครจะไปรู้เล่า เป็นไปได้ว่า…จ่างกงจู่อยากให้พวกเขาสมหวังกันจริงๆ เจ้าเคยบอกว่าผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักล้วนเป็นคนโง่มิใช่หรือ”
เฟิงอู๋เฉินพูดพลางจ้องมองใบหน้าฉือเสวี่ยยวน “เสวี่ยยวน ถ้าไม่ได้ประสบพบกับตัวเอง ความรู้สึกบางอย่าง คนนอกอาจไม่มีวันเข้าใจไปชั่วชีวิต เจ้าเข้าใจไหม”
ความรัก…
ฉือเสวี่ยยวนตะลึงงัน ผู้หญิงไม่ควรครอบครองใต้หล้า พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินหรือไรกัน ความรักก็เป็นเพียงสิ่งของที่แนบมาเท่านั้น จะมีหรือไม่มีก็ได้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ สำคัญด้วยหรือ