ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 9 สามสามี สี่ผู้รับใช้ (9)
วันรุ่งขึ้น ปี้ลั่วมาปรนนิบัติซูหว่านที่ต้องตื่นไปประชุมแต่เช้าตามปกติ แต่พอก้าวเข้าประตูมา แล้วเงยหน้าขึ้น ก็เจอกับใบหน้าที่เย็นชาของใต้เท้าเสนาบดีกลาโหม
เอ่อ
ปี้ลั่วกะพริบตา แต่ยังคงก้มหน้าแสดงความเคารพซูรุ่ย “อรุณสวัสดิ์ใต้เท้าเสนาบดีกลาโหม”
“อืม”
ซูรุ่ยรู้ว่าปี้ลั่วเป็นคนสนิทของซูหว่าน จึงเหลือบมองเล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องปลุกนางให้ตื่นไปประชุมหรอก ให้นางนอนต่ออีกหน่อย”
อย่างไรเสีย จะไปหรือไม่ไปประชุม ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับจ่างกงจู่ เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ทำได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ล่ะ
แต่ปี้ลั่วกลับนึกในใจ ไม่ไปประชุมแล้ว? เจ้าทำอะไรนายข้ากันแน่
พอเห็นปี้ลั่วมองตนเองอย่างระแวดระวังและสงสัย ซูรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจ “เจ้ามองข้าทำไม ข้าคุยกับนางและห่มผ้าให้อย่างบริสุทธิ์ใจ เจ้าไม่เคยเห็นหรือไร นางนอนดึก เจ้าอย่ารบกวนนาง หาไม่แล้ว…”
จะฆ่าเจ้าให้ตาย…
ปี้ลั่วสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันอันเย็นยะเยียบที่วาบผ่านร่างของซูรุ่ย จึงหน้าถอดสี นางเป็นผู้ช่วยข้างกายซูหว่านที่มีศักยภาพมากสุด และเป็นหัวหน้าองครักษ์ลับ หลายปีมานี้ นางสังหารคนไปนับไม่ถ้วน จึงเข้าใจรังสีฆ่าฟันและความดุร้ายบนร่างของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ เมื่อครู่สีหน้าของปี้ลั่วถึงได้เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง แม้เพียงเสี้ยวเวลา แต่รังสีฆ่าฟันที่เปล่งออกจากร่างของใต้เท้าเสนาบดีกลาโหม ขนาดแค่หนึ่งลมหายใจ ก็ยังทำให้นางรู้สึกขนลุกขนพอง รู้สึกถึงอันตรายอย่างไร้ขอบเขต…
เฟิงอู๋เฉิน สิ่งที่เจ้าซ่อนเร้น ลึกขนาดไหนเชียว
รอจนปี้ลั่วได้สติ ซูรุ่ยก็จากไปนานแล้ว อืม เรื่องประชุมของจ่างกงจู่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ใต้เท้าเสนาบดีกลาโหมในสถานะสายลับเฉพาะกิจ อย่างไรก็ต้องเข้าประชุมล่ะ
หลังจากซูรุ่ยจากไปไม่นาน ซูหว่านก็ลืมตาตื่นบนเตียงนอน นางชินกับการวาดมือไปลูบที่นอนข้างกาย แม้ว่างเปล่า แต่ยังคงอุ่นอยู่
“ปี้ลั่ว”
ซูหว่านลุกขึ้นนั่ง ก่อนเรียกเสียงเบา ร่างของปี้ลั่วรีบปรากฏขึ้นตรงหน้าซูหว่าน “ฝ่าบาท ท่านตื่นแล้ว”
“อืม”
ซูหว่านพนักหน้า “กี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมไม่ปลุกข้า”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ปี้ลั่วก็รีบคุกเข่าข้างเดียวลง “บ่าวบกพร่องในหน้าที่ ใต้เท้าเสนาบดีกลาโหมเพิ่ง…เพิ่งไม่อนุญาตให้บ่าวปลุกฝ่าบาท บ่าวเลอะเลือนไปชั่วขณะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า!”
“ช่างเถอะๆ”
ซูหว่านโบกมือ “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สักพักข้าค่อยเขียนจดหมายลาป่วย แล้วเจ้าก็เอาเข้าวัง ไปมอบให้ฝ่าบาท บอกว่าข้าเป็นไข้หวัด ลุกไม่ขึ้น ต้องพักผ่อนเงียบๆ”
“เพคะ”
“จริงสิ”
ซูหว่านจ้องมองปี้ลั่ว “ตอนเฟิงอู๋เฉินจากไป ได้พูดอะไรหรือเปล่า”
เอ่อ
พอได้ยินคำถามนี้ ปี้ลั่วก็หน้าตาตื่นอีกรอบ
ตอนใต้เท้าเสนาบดีกลาโหมจากไปนั้น พูดว่าอะไรน๊า ให้ตายสิ นางมัวแต่ใจลอย ไม่ทันสนใจฟัง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เด็กหญิงปี้ลั่วก็รีบยอมรับผิดแต่โดยดี “ฝ่าบาท บ่าว…บ่าวไม่ได้ยิน ขอทรง…”
พอเห็นปี้ลั่วทำท่าจะคุกเข่าอีกรอบ ซูหว่านก็รีบยื่นมือเข้าไปพยุงนางไว้ “เอาเถอะๆ ดูเจ้าขึ้นๆ ลงๆ จนข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว เจ้ามาช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อก่อนดีกว่า”
……
ตั้งแต่เมื่อวานที่จ่างกงจู่ จู่ๆ ทำการยื่นหนังสือให้ฝ่าบาทฉบับหนึ่ง จวบจนวันนี้พอจ่างกงจู่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็พากันนึกอะไรในใจไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่นาน ก็มีข่าวแพร่ออกมาจากจวนกงจู่ว่า จ่างกงจู่เป็นไข้หวัด นอนซมอยู่บนเตียง
เมื่อวานคนยังดูกระฉับกระเฉิงดีนี่ วันนี้ทำไมบอกว่าป่วยก็ป่วยล่ะ
…หรือเป็นเพราะการแต่งงานของคุณชายเย่ว์กับฝ่าบาท?
เฮ้อ
อยากถามว่า ความรักคืออะไร ไยถึงทำให้คนจะเป็นจะตายให้ได้
การป่วยของซูหว่านในคราวนี้ ทำให้นางกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งเมืองหลวงทันที
สตรีสูงศักดิ์กลุ่มใหญ่และเหล่าขุนนางต่างแย่งกันไปจวนกงจู่ เพื่อเข้าเยี่ยมนางเป็นคนแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นพลพรรคของจ่างกงจู่เองก็ดี วงศาคณาญาติของจักรพรรดินีก็ดี ตอนนี้ในเมื่อจ่างกงจู่ป่วย ทุกคนก็ควรแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของตนออกมา
ขนาดผู้ที่ไม่ลงรอยกับซูหว่านมาตลอดอย่างฉือเสวี่ยยวน ก็ยังนำของบำรุงจำนวนมากมาเยี่ยมซูหว่านที่จวน แน่นอน นางมาสำรวจดูเป็นหลัก เยี่ยมเป็นรอง
บนเตียงนอน ซูหว่านสีหน้าซีดเซียว ท่าทางทรุดโทรม
จะบอกว่าคนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบในวันเดียว แต่ถ้าบอกว่าเป็นการเสแสร้งล่ะ? ดูไม่ออกเลยจริงๆ
“ฝ่าบาท ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
ฉือเสวี่ยยวนเข้ามานั่งข้างเตียงซูหว่าน ก่อนถามเบาๆ
“ทำให้เสนาบดีฉือต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าอันที่จริง…อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ซูหว่านนั่งพิงหัวเตียง ฝืนยิ้มให้ฉือเสวี่ยยวน
เมื่อรู้สึกว่าซูหว่านยิ้มอย่างไม่เต็มใจ ฉือเสวี่ยยวนก็เงยหน้า แล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาซูหว่าน “เรื่องของเย่ว์ชิง ทำให้ฝ่าบาททรงหดหู่ใจจนล้มป่วยกะทันหันหรือเพคะ”
แม้ทุกคนล้วนเดาว่า ที่ซูหว่านป่วย เกี่ยวข้องกับเย่ว์ชิง แต่การถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็มีเพียงฉือเสวี่ยยวนเท่านั้นที่พูดออกจากปากได้
พอได้ยินคำถามของฉือเสวี่ยยวน ซูหว่านก็หลุบตาลง แล้วหัวเราะอย่างขมขื่น “เสนาบดีฉือ เจ้ารู้สึกว่าข้าโง่มากใช่ไหม”
โง่จริงๆ
แม้ฉือเสวี่ยยวนคิดเช่นนี้ แต่นางย่อมไม่พูดเช่นนี้ออกมา “จ่างกงจู่ ทรงโดดเด่นและมากความสามารถ ฐานะก็สูงส่ง มีหรือจะไม่มีผู้ชายในแบบที่ทรงต้องการ ถ้าทรงชอบแบบดีดพิณเก่งๆ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะจัดมาให้สักสองสามคน”
คนอื่นล้วนทอดถอนใจและเศร้าเสียใจให้กับการลุ่มหลงในความรักของจ่างกงจู่ แต่ซูม่านกับฉือเสวี่ยยวนกลับไม่คิดเช่นนี้
ไม่ว่าอาการลุ่มหลงในความรักของซูหว่านจะจริงหรือหลอก แต่การที่นางป่วยในเวลานี้ ก็เห็นชัดว่า ต้องการสร้างโจทย์ยากให้กับจักรพรรดินี…
จ่างกงจู่ป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้น เพราะผู้ชายเพียงคนเดียว
แต่จักรพรรดินีกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ เรื่องนี้ถ้าแพร่ออกไปในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด พวกเขาจะคิดเห็นอย่างไรกัน
คนส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเห็นอกเห็นใจคนอ่อนแอ และพอดีซูหว่านก็ทำให้ตนเองกลายเป็นคนอ่อนแอได้อย่างแยบยล ทำให้ตนเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของศีลธรรมได้ทุกเมื่อ
นี่ถึงจะเป็นจุดที่นางฉลาดที่สุด
พอได้ยินคำพูดของฉือเสวี่ยยวน ซูหว่านก็หัวเราะ เป็นการหัวเราะที่ซับซ้อนกว่าปกติและยากแก่การวิเคราะห์ “เสนาบดีฉือ เจ้าเคยชอบใครจากใจจริงไหม”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฉือเสวี่ยยวนก็อึ้งไปสักพัก ค่อยสั่นศีรษะ
ชอบคืออะไร หรือเหมือนกับที่ตนรู้สึกกับญาติผู้พี่ เป็นความผูกพันและชื่นชมบางๆ
แต่ก็แค่นั้น
“เสนาบดีฉือ ไม่เคยรักใครอย่างลึกซึ้งชนิดไม่ลืมเลือน ก็ไม่มีทางรู้ว่าการสูญเสียคนรัก เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเจ็บปวดมากขนาดไหน ในจำนวนคนเป็นหมื่นเป็นพันในโลกใบนี้ เขาอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด แต่อย่างไรก็เป็นคนที่ท่านรักที่สุด คนแบบนี้ ไม่มีใครแทนที่ได้”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฉือเสวี่ยยวนก็ขมวดคิ้ว “ถ้าใจจริง จ่างกงจู่ไม่อยากสูญเสียคุณชายเย่ว์ แล้วเหตุใดจึงไปทูลสู่ขอฝ่าบาทแทนเขาเล่า”
“มีความรักอยู่แบบหนึ่ง เรียกว่าปล่อยมือ ใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ข้าแล้ว ข้าจึงได้แต่ปล่อยมือ ให้เขาไปตามหาความสุขในแบบที่เขาต้องการ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูหว่านก็จ้องมองฉือเสวี่ยยวนอย่างลึกซึ้ง “ข้ารู้ว่าจักรพรรดินีกำลังกังวลเรื่องอะไร ครั้งนี้ข้าปล่อยมือและอยากให้พวกเขามีความสุขจากใจจริง ฝากให้เสนาบดีฉือกลับไปทูลจักรพรรดินีด้วย ขอให้ทรงอภิเษกสมรสอย่างสบายใจได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉือเสวี่ยยวนก็ได้แต่ยิ้มพลางพยักหน้า “คำพูดของจ่างกงจู่ หม่อมฉันจะกราบทูลพระองค์เอง นี่ก็สายมากแล้ว จ่างกงจู่พักผ่อนก่อนเถิด หม่อมฉันทูลลา!”
ว่าแล้วฉือเสวี่ยยวนก็ลุกขึ้นยืนกล่าวอำลา ส่วนซูหว่านก็มองตามร่างนางไป พลางอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย…
ฉือเสวี่ยยวนไม่มีทางเชื่อคำพูดของตนหรอก และซูม่านก็เช่นเดียวกัน
สตรีในแคว้นหลวนเฟิ่ง ก็เหมือนบุรุษในยุคโบราณอย่างไรอย่างนั้น เมื่อพวกนางอยู่ในจุดสูงสุดและมองลงมาดูใต้หล้า พวกนางจะลืมความรักที่แท้จริงของตนเองไป
ฉือเสวี่ยยวนรู้สึกว่า ความรักมีหรือไม่มีก็ได้ ส่วนในสายตาจักรพรรดินีอย่างซูม่าน มีเพียงผู้ชายที่โดดเด่นเท่านั้น ถึงจะคู่ควรกับตน ซึ่งตนก็ดีกับผู้ชายเหล่านี้มาก ความดีทั้งหมดที่ตนมีให้พวกเขา ก็คือความรัก
คำพูดที่ว่า หนึ่งเดียว คำพูดที่ว่า รักเดียว ในสายตาของพวกนางล้วนเป็นแค่เรื่องตลก
จวบจนร่างของฉือเสวี่ยยวนหายลับไปกับตา ซูหว่านค่อยลุกขึ้นนั่งจริงจัง ก่อนเหลือบมองฉากกั้นตรงห้องด้านในของตน “ใต้เท้าเสนาบดีกลาโหม หลบอยู่นานขนาดนี้ ไม่คิดจะออกมาสูดอากาศบ้างหรือ”
“หึ”
ได้ยินดังนี้ ซูรุ่ยก็ค่อยๆ เดินออกจากหลังฉากกั้น “ภรรยา เมื่อครู่คุณพูดได้ดีมาก ฟังจนผมรู้สึกหึงขึ้นมา ไหน คุณพูดให้ผมฟังอีกทีซิ”
“พอเถอะ”
ซูหว่านมองดูซูรุ่ยอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “คุณหึงอะไรไม่ทราบ เย่ว์ชิงเป็นคนของซูม่านไปแล้ว ฉันสิควรจะเป็นฝ่ายหึงคุณมากกว่า คุณกับฉือเสวี่ยยวนเป็นอะไรกัน ตัวคุณเองรู้ดี”
“เฮ้อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยก็ตีหน้าขรึม ก่อนถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง
“มีความรักอยู่แบบหนึ่ง เรียกว่าปล่อยมือ ญาติผู้น้องสูงส่งและเย็นชาจนเกินไป ญาติผู้พี่ก็เป็นคนที่บาดเจ็บจากความรัก ดังนั้น ชายโง่กับหญิงแค้นอย่างคุณกับผมถึงจะเป็น คู่ฟ้าสร้าง ดินกำหนด!”
ซูหว่าน “….”
คำพูดนี้ คุณกลับเรียนรู้และประยุกต์ใช้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ซูรุ่ยพูดไม่ผิด รอให้ครั้งนี้จัดการเรื่องซูม่านกับเย่ว์ชิงเรียบร้อย เป้าหมายต่อไปก็คือฉือเสวี่ยยวนแล้ว…