ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 11 ตกหลุมรักศัตรูหัวใจ (11)
ปีนี้ชิวเฟิงอายุยี่สิบแปด กำลังอยู่ในช่วงกอบโกย เนื่องจากทางบ้านมีฐานะค่อนข้างดี หลังจากที่ชิวเฟิงเรียนจบก็นำเงินจำนวนหนึ่งที่ได้จากพ่อแม่มาลงทุนทำธุรกิจของตนเอง ตอนนี้เขาจึงเป็นเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ถือว่าเขาค่อนข้างประสบความสำเร็จเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน
เมื่อเห็นซูรุ่ยกับซูหว่านปรากฏตัวขึ้น ชิวเฟิงก็มองข้ามแม่ทัพซูในทันที เขายืนขึ้นให้ซูหว่านนั่งพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ซูหว่าน มาแล้วหรอ นั่งตรงนี้สิ ตรงนี้มีที่ว่าง!”
ซูหว่าน “…..”
นายเป็นใคร?
ต้องขอโทษด้วย ในความทรงจำของร่างเดิม ไม่มีร่องรอยของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเลย
อันที่จริง แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าชิวเฟิงเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ก็ถือว่าหน้าตาใช้ได้ เพียงแต่เขาไม่ใช่สเปคของร่างเดิม ดังนั้นในความทรงจำของร่างเดิม เขาจึงเป็นแค่คนที่ผ่านมาคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินชิวเฟิงพูด ซูหว่านก็ได้แต่ยิ้มตามมารยาท ส่วนแม่ทัพซูที่อยู่อีกด้านนั้นรีบตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ว้าว คุณชิวเฟิงสุภาพจังเลยนะครับ จองที่นั่งให้เราโดยเฉพาะด้วย!”
ซูรุ่ยว่าพลางลากซูหว่านให้เข้ามานั่งตรงที่นั่งเดิมของชิวเฟิง ขณะชิวเฟิงยืนตะลึงงัน
นี่…
ชิวเฟิงอึ้งไปชั่วขณะ จ้องหน้าซูรุ่ยโดยไม่รู้ตัว
แม่ทัพซู “…..”
มองทำไม ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง
“อะแฮ่ม เสี่ยวเฟิงจ๊ะ มานั่งนี่สิ”
พอเห็นบรรยากาศเริ่มน่าอึดอัด หลัวเยี่ยนที่อยู่อีกด้านก็รีบยิ้มก่อนลากญาติผู้น้องตนมาอยู่ข้างกาย มองไปยังซูหว่านและซูรุ่ยพลางยิ้มตาหยี
“เสียวหว่านจ๊ะ คนนี้แฟนเธอหรอ หล่อจัง ชื่ออะไรน่ะ”
“เหยียนมู่ไป๋” ซูรุ่ยพยักหน้าให้หลัวเยี่ยน
“คุณเหยียน ชื่อนี้เพราะมาก ฟังดูคล้ายบทกวี ท่าทางดูมีการศึกษา ไม่ทราบว่าทำงานอะไรอยู่คะ”
หลัวเยี่ยนยังคงยิ้มน้อย ๆ พลางมองซูรุ่ยอย่างสนิทสนม
ซูรุ่ยเลิกคิ้วพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยน “ผมไม่ได้เรียนสูงอย่างเสียวหว่านแฟนผมที่นั่งใส่สูททำงานในออฟฟิศได้ ผมเป็นแค่พ่อค้าขายของก็อปเกรดเอที่ถนนจิ่วหลิน”
ซูรุ่ยว่าพลางกวาดดวงตาอันเรียวยาวมองหลัวเยี่ยน
“อย่างนาฬิกาข้อมือเรือนนี้ของพี่ ที่ร้านผมก็มี แถมทำได้เหมือนกว่าของพี่แน่นอน ใช้แว่นขยายแปดเท่าส่องดูก็ยังเห็นโลโก้ชัดสุด ๆ พูดถึงเรือนนี้ พี่ซื้อมาเท่าไหร่หรอ ฝีมือธรรมดาแบบนี้ พี่คงไม่ได้ถูกเขาหลอกเอานะ”
หลัวเยี่ยน “…..”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซูรุ่ย คนทั้งโต๊ะก็พุ่งเป้าสายตาไปที่ข้อมือของหลัวเยี่ยน ทุกคนต่างรู้ว่าสามีของเธอเป็นคนซื้อนาฬิกาเรือนนี้ให้ ว่ากันว่าเป็นแบรนด์ดังจากสวิตเซอร์แลนด์ และมีราคาแพงมาก ครั้งแรกที่ใส่เธอก็ยังเอามาอวดทุกคน
หลัวเยี่ยนรู้สึกอับอายกับสายตาที่มองมาด้วยความกังขาและมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น จึงรีบดึงแขนเสื้อลงทันที
“เสี่ยวเหยียนนี่ล้อเล่นเก่งจริง ๆ เรือนนี้มีคนเขาให้มาน่ะ ซื้อมาจากเมืองนอก!”
“อ้อออ”
ซูรุ่ยจงใจลากเสียงยาว “เข้าใจแล้ว ของแท้จากเมืองนอก!”
“เอาล่ะ กินข้าวกันดีกว่า อย่าพูดจาไร้สาระอยู่เลย”
เมื่อซูหว่านเห็นว่าสุมไฟได้พอประมาณ ก็ทำเป็นงอนใส่ซูรุ่ยและดึงแขนเสื้อเขา ก่อนหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้หลัวเยี่ยนที่อยู่อีกด้าน
“พี่เยี่ยนอย่าถือสานะคะ! เป็นโรคจากการประกอบอาชีพน่ะค่ะ แบบพอเห็นเครื่องประดับหรูหรา ก็จะรู้สึกว่าเป็นของปลอม”
หลัวเยี่ยน “เหอ ๆ”
…..
แต่ไหนแต่ไรมา งานเลี้ยงของบริษัทก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนมารวมตัวกันกินดื่ม พูดคุยสัพเพเหระ พอกินอิ่ม ก็มีคนเสนอให้ไปร้องคาราโอเกะ ซูหว่านและซูรุ่ยไม่อยากที่จะร้องเพลง ทั้งสองจึงหาข้ออ้างในการขอตัวกลับก่อน
แต่เพิ่งจะก้าวเท้าพ้นประตูโรงแรม ก็เห็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีเทาคันหนึ่งจอดอยู่ กระจกหน้าต่างลดลง เผยให้เห็นใบหน้าของชิวเฟิง
“พวกคุณจะกลับบ้านกันใช่มั้ย ตอนนี้เรียกแท็กซี่ไม่สะดวกหรอก ผมไปส่งพวกคุณดีกว่า”
“โอเค”
ทันทีที่ได้ยินชิวเฟิงชวน ซูรุ่ยก็รีบลากซูหว่านขึ้นรถอย่างกระดี๊กระด๊า
เมื่อได้ขึ้นมาบนรถ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเล่นใหญ่ ตบเบาะหลังซึ่งบุด้วยหนังแท้
“รถคันนี้ของคุณไม่เลวนี่ ดูดีมากเลย!”
“ก็พอใช้ได้”
ชิวเฟิงรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงชื่นชมของซูรุ่ย จึงยืดอกขึ้น แววตาฉายความภาคภูมิใจ
ซูหว่าน “…..”
แม่ทัพซู คุณซุกซนใหญ่แล้วน้า
“จริงสิ ยังไม่รู้เลยเสียวหว่าน คุณอยู่ที่ไหน”
ชิวเฟิงไม่เกรงใจ เหมือนลืมไปแล้วว่าซูรุ่ยเป็นใคร เขาทำตัวคุ้นเคย และเรียก ‘เสียวหว่าน’ ออกมาตรงๆ
นี่เป็นการหลอกถามที่อยู่ของซูหว่าน
“ฉันอยู่ที่…”
ขณะซูหว่านกำลังจะเอ่ยปาก ซูรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยกยิ้ม ก่อนบอกที่อยู่ที่หนึ่งออกมา
“รบกวนคุณไปส่งพวกเราที่นั่น”
เอ่อ
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ชิวเฟิงก็อึ้งไปชั่วขณะ เนื่องจากที่อยู่ที่ซูรุ่ยบอก อยู่ในเขตหมู่บ้านระดับไฮเอนด์
“ทำไมล่ะ คุณไปไม่ถูกหรอ”
แม่ทัพซูอดขำไม่ได้เมื่อเห็นชิวเฟิงทำหน้ามึนงง ก่อนถามต่อ “ถ้างั้นผมบอกทางให้”
“ไม่ต้อง ผมรู้”
ชิวเฟิงเรียกสติกลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะแอบมองซูรุ่ยกับซูหว่าน ดูไปแล้วทั้งสองคนไม่เหมือนคนที่สามารถอยู่ในสถานที่แบบนั้นได้ และเขาก็เคยสืบถามภูมิหลังของซูหว่านจากญาติผู้พี่ จึงรู้ว่าญาติของซูหว่านล้วนเป็นคนต่างจังหวัด ส่วนตัวเธอเองมาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร!
ระหว่างที่สมองของชิวเฟิงกำลังเกิดข้อสงสัย ซูรุ่ยก็ล้วงมือถือก็อปยี่ห้อดังของตนออกมา ก่อนจะส่งข้อความหาเซียวชิงเงียบ ๆ
ใช่แล้ว ที่อยู่ที่ซูรุ่ยบอกไป คือบ้านของเซียวฉิง
ในเวลานั้น เซียวชิงเพิ่งถูกเจียงหมิ่น แม่ของเขา บังคับให้ดื่มน้ำแกงไก่ดำตุ๋นยาจีนหนึ่งชามใหญ่
จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กกำพร้าอย่างเซียวชิงสัมผัสได้ถึงรสชาติของความเป็นบ้าน เขาเข้ามาแทนที่เซียวฉิง และอยากทุ่มเทแรงกายแรงใจกตัญญูต่อพ่อแม่แทนเซียวฉิง
แต่เจียงหมิ่นกลับเป็นคุณนายประเภทที่รักลูกมากเป็นพิเศษ จึงเลี้ยงลูกสาวคนเดียวของตนอย่างทะนุถนอมราวไข่ในหินมาโดยตลอด
ตอนนี้เซียวชิงที่ได้รับการ ‘ดูแล’ จากเจียงหมิ่นเป็นอย่างดี และรู้สึกสิ้นหวังกับการมีชีวิตอยู่นั้น ก็ได้รับข้อความจากเพื่อนรัก พอเห็นข้อความในมือถือ เซียวชิงก็รู้สึกโกรธทันที—
โว้ย ยังมีไอ้หน้าขาวที่เฝ้าคิดถึงซูหว่านอยู่อีกหรือ
แม้ตอนนี้ซูหว่านจะไม่ใช่ที่รักของเขา แต่อย่างไรก็เคยเป็น!
และไม่แน่ว่า วันใดวันหนึ่ง อาจจะกลายเป็นที่รักของเพื่อนรักของเขาก็ได้
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันทีที่เซียวชิงเห็นข้อความของซูรุ่ยก็รีบลุกจากเตียง และกระวีกระวาดสวมเสื้อคลุม จากนั้นจึงวิ่งลงชั้นล่าง เจียงหมิ่นที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ชั้นล่าง พอเห็นลูกสาวสุดที่รักของตนรีบร้อนลงบันไดมา ก็มองเซียวชิงด้วยความเป็นห่วง
“เซียวฉิง เป็นอะไรลูก ไม่สบายอีกหรือเปล่า ให้แม่ตามซูสิงมาดูลูกหน่อยดีมั้ย”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูออกไปรับเพื่อนสองคน”
เซียวชิงพูดก่อนวิ่งออกนอกบ้าน
เพื่อน?
ตาสวยของเจียงหมิ่นกระพริบเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลูกสาวสุดที่รักของตนถูกตนตามใจจนเสียผู้เสียคน ถึงได้ชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะสงบนิ่งได้ก็ตอนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง แล้วทำไมออกจากโรงพยาบาลได้เพียงไม่กี่วันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ เจียงหมิ่นก็อดไม่ได้ที่จะล้วงมือถือขึ้นมาโทรหากู้ซูสิง
“ซูสิง ฉิงฉิงลูกป้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่เลย ถ้าหนูว่างช่วยมาตรวจดูน้องหน่อยนะ”
อันที่จริงแล้วบ้านสกุลกู้ก็อยู่ในหมู่บ้านนี้ ไม่ไกลจากบ้านสกุลเซียวเท่าไหร่
กู้ซูสิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ และกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาลังเลอยู่เล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำพูดของเจียงหมิ่น แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ
“โอเคครับป้าเจียง เดี๋ยวผมจะเข้าไปครับ”
พอวางสายลง กู้ซูสิงก็ถอนหายใจ ก่อนหันหลังเดินกลับห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้า
ทางด้านเซียวชิงในตอนนี้ กำลังยืนอยู่หน้าบ้าน เพื่อรอคอยการมาของซูหว่าน…