ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 1 อนุภรรยาขุนศึก (1)
ในเดือนสิบเอ็ด เมืองเหลียวเฉิงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว และลมหนาวจากทางเหนือ
ในใจกลางเมือง ณ ลานของจวนสกุลอิน
ซูหนิงออกมาจากห้องครัวโดยสวมเสื้อคลุมบุผ้าฝ้ายหนาๆ นางวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง โดยกอดสำรับอาหารร้อนๆ ไว้ในอ้อมแขนของนาง
เมื่อเห็นท่าทางสดใสร่าเริงของนาง เหล่าสาวใช้ในจวนก็อดกระซิบกระซาบไม่ได้
ช่วงนับเก้าเหมันต์[1]เช่นนี้ ซูหนิงได้ต้มน้ำซุปไปให้สะใภ้ใหญ่อีกครั้ง โธ่ท่านสะใภ้ใหญ่ น่ากลัวว่าท่านจะไม่สามารถผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้แล้ว
กล่าวถึงสตรีที่มีชีวิตแสนลำบากผู้นี้ บ่าวรับใช้ของครอบครัวสกุลอินก็รู้สึกอับอายเช่นกัน
สตรีที่อยู่ในเรือนผู้นั้น คือคุณหนูใหญ่ที่ออกมาจากจวนสกุลซูผู้ที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนมาก่อน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลับมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้~
ในเรือนลึกของจวนสกุลอินแห่งนี้ จะมีสตรีนางใดมีความสุขได้ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้กัน
เฮ้อ อย่าแม้แต่จะกล่าวถึงเรือนใหญ่ของจวนสกุลอินเลย เพราะทั้งเมืองเหลียวเฉิงนี้ก็เป็นของครอบครัวสกุลอินทั้งหมดมิใช่หรือ
……
“แค่กๆ”
เมื่อซูหนิงกลับมาถึงห้องข้างเรือนก็ได้ยินเสียงไอดังมาจากข้างใน
“ท่านสะใภ้ใหญ่!”
ซูหนิงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้ เพียงสองสามก้าวก็ลอยเข้าไปในห้องแล้ว ไฟจากเตาผิงภายในห้องยังติดอยู่ บนเตียงไม้สาลี่แกะสลักมีสตรีในชุดกี่เพ้าสีน้ำฟ้าใสไอจนตัวสั่นไม่หยุด
“ท่านสะใภ้ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ น้ำซุปมาแล้ว ท่านจิบเสียหน่อยเถอะ จะได้รู้สึกคล่องคอขึ้น”
ซูหนิงตบไปยังหลังของสตรีท่านนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดสำรับอาหารออก เผยให้เห็นซุปบำรุงกำลังที่กำลังกรุ่นอยู่ภายใน
“วางลงก่อนเถอะ”
เสียงของซูหว่านค่อนข้างแหบ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายนาง ซูหนิง แล้วนางก็โบกมือเรียก “ซูหนิง เจ้ามานี่หน่อยสิ!”
“เจ้าค่ะ”
ซูหนิงเดินมาที่ด้านข้างของซูหว่านด้วยความเคารพอย่างระมัดระวัง ซูหว่านก้มลงกระซิบสองสามคำที่ข้างหูของซูหนิง ทันใดนั้นสีหน้าของซูหนิงก็เปลี่ยนเป็นหวาดผวาไปทันที
“ท่านสะใภ้ใหญ่ นี่…”
“ชู่”
ซูหว่านจ้องมองไปยังซูหนิงและส่ายศีรษะเล็กน้อย “ทำตามที่ข้าสั่งเถอะ อย่าให้ฮูหยิน[2]ใหญ่จับได้เด็ดขาด ถ้าหากโดนจับได้ละก็ ถึงแม้จะโดนตีจนตายก็อย่าบอกว่าข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าไปซื้อ เข้าใจหรือไม่”
“บ่าวเข้าใจแล้ว”
“อืม”
สำหรับซูหนิง ซูหว่านยังไว้วางใจได้ ถึงอย่างไรเสียก็เป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมจะพามาจากสกุลซูเอง “ซูหนิง สองปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าวางใจเถอะ คืนวันที่แสนลำเค็ญจะผ่านพ้นไป คนสกุลอิน โดยเฉพาะพวกหญิงในเรือนหลังแห่งนี้ ข้าไม่ปล่อยพวกนางไปแน่”
เมื่อเห็นแววตาที่โหดเหี้ยมในดวงตาของซูหว่าน ซูหนิงก็ตกใจแต่ในไม่ช้านางก็อดกังวลเกี่ยวกับซูหว่านไม่ได้ “ท่านสะใภ้ใหญ่ ร่างกายของท่าน…”
“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีของข้า เจ้าออกไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ซูหนิงถอยออกไปอย่างกังวลใจ ขณะที่ซูหว่านนั่งอยู่บนเตียงคนเดียวและมองไปยังน้ำซุปร้อนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ อดยิ้มเย็นชาไม่ได้…
สะใภ้ใหญ่ป่วยและอ่อนแอ?
ป่วยน้องสะใภ้มันสิ!
เห็นได้ชัดว่ามีคนลอบวางยาพิษอย่างต่อเนื่อง!
จะว่าไปฮูหยินใหญ่ของครอบครัวสกุลอินนั้นเป็นตัวละครที่โหดเหี้ยมอย่างแน่นอน นางต้องใช้วิธีนี้เพื่อวางยาพิษเจ้าของร่างเดิมเป็นแน่ หากซูหว่านไม่เข้ามาปฏิบัติภารกิจในเวลานี้ เจ้าของร่างเดิมคงจะหายไปก่อนวันส่งท้ายปีเก่าอย่างแน่นอน
เฮ้อ เจ็บแค้นเคืองโกรธอะไรกัน
จะว่าไปแล้ว เจ้าของร่างเดิมไม่เคยทำร้ายใคร แต่ตลอดชีวิตกลับถูกคนในบ้านใหญ่ของสกุลอินจ้องจะทำร้ายตลอดเวลา
ครอบครัวสกุลอินมีทหารนับล้านนายที่คอยคุมทั้งเมืองเหลียวเฉิงและเมืองเล็กๆ ในบริเวณใกล้เคียงอีกหลายแห่ง
อินซุ่นใต้เท้าใหญ่สกุลอินผู้ปกครองแห่งเมืองเหลียวเฉิง ใครๆ ก็เรียกเขาว่านายพลอิน และอินเฉิงมั่วใต้เท้ารองแห่งสกุลอิน ในวัยสามสิบต้นๆ ก็สามารถรับตำแหน่งประธานหอการค้าของทางเหนือทั้งหมด จึงอยู่บนความมั่งคั่งอย่างมั่นคง
ส่วนท่านสามแห่งสกุลอิน เขาเป็นน้องคนสุดท้องและเป็นคนทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันมากที่สุด เขาชำนาญเรื่องการกินดื่มเที่ยวพนันมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพราะว่ามีพี่ใหญ่ทั้งสองคนที่มีทั้งอำนาจและเงินทอง อินหมิงเยี่ยท่านสามแห่งสกุลอินสามารถเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดลูกคุณหนูที่ใหญ่ที่สุดของเหลียวเฉิงทั้งหมด
และพระเอกของโลกนี้ชื่ออินเป่ยเกอ เขาเป็นบุตรชายคนรองของอินซุ่นหรือนายพลอิน คนเหลียวเฉิงจึงเรียกเขาว่า นายพลน้อยอิน
อินเป่ยเกอและเจ้าของร่างเดิมของซูหว่านได้พบกันตอนที่ไปร่ำเรียนในต่างแดน ทั้งสองคนต่างมีใจต่อกัน เมื่ออายุครบสิบแปดปีทั้งสองก็กลับถิ่นฐานเดิมด้วยกันและวางแผนจะแต่งงานกัน แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว อินเป่ยเกอกลับถูกเรียกตัวให้ไปฝึกฝนในค่ายทหารแนวหน้าโดยคำสั่งของอินซุ่นผู้เป็นบิดา แต่ครอบครัวสกุลซูกลับถูกหลอกให้หลงกล พวกเขาเตรียมสินสอดทองหมั้นให้ซูหว่านตามวันเวลาที่ตกลงกันไว้ และครอบครัวสกุลซูก็ยินดีให้บุตรสาวแต่งงานไปอย่างมีความสุข แต่เมื่อถึงเวลาทำพิธี คนสกุลซูจึงพบว่าครอบครัวตนโดนคนสกุลอินหลอกเข้าให้แล้ว คนที่เข้าพิธีแต่งงานกับซูหว่านไม่ใช่นายน้อยอินเป่ยเกอตามที่สัญญากันไว้ แต่กลับเป็นอินเป่ยเย่ว์บุตรชายคนโตของอินซุ่น
ไม่มีผู้ใดในเหลียวเฉิงไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของผู้บัญชาการใหญ่ป่วยและนอนซมมาเป็นเวลานาน
เวลานั้นครอบครัวสกุลซูคิดจะถอนหมั้นฝ่ายเดียว แต่เพราะนี่คือเมืองเหลียวเฉิง! สถานที่ที่ครอบครัวสกุลอินกุมผืนฟ้าไว้ด้วยมือเดียว ผู้ใดจะกล้าก่อปัญหาให้พวกเขาได้
ด้วยเหตุนี้ในคืนนั้น ซูหว่านคนก่อนจึงโดนมัดไว้ในห้องเจ้าสาวและสังเวยให้แก่อินเป่ยเย่ว์
โชคดีที่อินเป่ยเย่ว์เป็นคนมีเหตุผล ถึงแม้ว่าเขาจะเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ แต่เขากลับเป็นชายที่อ่อนโยนมากผู้หนึ่ง เขารู้ว่าซูหว่านและน้องชายของเขามีใจต่อกัน ดังนั้นจึงสัญญากับนางว่าจะร่วมมือกับนางเพื่อหลอกท่านแม่ของตน
โดยตลอดมาทั้งสองคนก็ไม่เคยเข้าห้องหอกัน เพียงแค่ทำตัวเสมือนคู่รักเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น และพวกเขาก็หลอกฮูหยินใหญ่มาสักพักหนึ่ง
ใครเลยจะรู้ว่าช่วงเวลาดีๆ นั้นช่างแสนสั้น ไม่นานหลังจากนั้นอินเป่ยเย่ว์ก็ป่วยหนักขึ้น ซูหว่านรำลึกถึงบุญคุณที่เขาเมตตาต่อตนเอง ดูแลเขาอยู่ทุกวันไม่ห่าง แต่คราวนี้เมื่ออินเป่ยเกอกลับมาจากกองทัพแนวหน้า
เมื่อรู้ว่าคนรักของเขาแต่งงานกับพี่ชายคนโตของตนเอง แถมยังเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันดี เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจต่อพ่อพระเอกของเราอย่างรุนแรง
ใช่แล้ว จอมพลหนุ่มผู้สง่างามถูกขโมยผู้หญิงไป และคนที่ขโมยคนรักของเขาไปก็คือพี่ชายของเขาเอง
เรื่องนี้เรียกว่าอะไรนะ
ตัวตนของพระเอกเดิมทีก็เป็นคนชั่วร้ายและบ้าคลั่ง เขาแสดงออกว่าตัวเองรับเรื่องนี้ไม่ได้ เขาไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ และไม่สามารถให้อภัยแก่หญิงหลายใจผู้นี้ได้
ดังนั้น ในคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดและมีลมแรง อินเป่ยเกอที่ดื่มเหล้าจนเมามายได้บุกเข้าไปในห้องของซูหว่าน คิดจะใช้กำลังบีบบังคับนาง เจ้าของร่างเดิมไม่คาดคิดว่าคนรักที่เขาเฝ้าคิดถึงไม่เพียงแต่จะไม่เชื่อมั่นในตัวเขาเท่านั้น แต่ยังดูหมิ่นตัวเขาได้ถึงเพียงนี้ เป็นธรรมดาที่นางจะกรีดร้องและดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด เสียงของนางปลุกให้อินเป่ยเย่ว์ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงตื่นขึ้น
เมื่อเห็นการกระทำของน้องชายตนเองแล้ว อินเป่ยเย่ว์ย่อมต้องเข้าไปช่วยเหลือซูหว่านเป็นธรรมดา ส่งผลให้เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันระหว่างคนทั้งสาม อินเป่ยเย่ว์ที่ร่างกายอ่อนแอและป่วยมากนานจึงถูกผลักล้มลง หัวกระแทกลงไปที่มุมโต๊ะ เสียชีวิต!
แต่ก็เอาเถอะ เรื่องนี้ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว
หลังจากที่อินเป่ยเย่ว์ตายจากไป ฮูหยินใหญ่ก็เชื่อว่าเป็นเพราะซูหว่านเองที่ทำตัวไม่เหมาะสม หลอกล่อและเกลี้ยกล่อมให้บุตรชายคนรองของนางฆ่าสามีของตัวเองตาย (ตรรกะอะไรของหล่อนเนี่ย)
ดังนั้นฮูหยินใหญ่จึงจงเกลียดจงชังซูหว่านมาก
ในอีกด้านหนึ่ง พระเอกที่บังเอิญฆ่าพี่ชายใหญ่ของตัวเองตายโดยไม่ตั้งใจ เขาก็เอาแต่กล่าวโทษและตำหนิตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจรับซูหว่านผู้เป็นพี่สะใภ้ที่เคารพรักที่สุดมาดูแลอย่างดี (นายเปลี่ยนท่าทีไปเร็วพอตัวอยู่นะ~)
และก็เป็นเพราะว่าอินเป่ยเกอดูแลซูหว่านมากเป็นพิเศษ จึงทำให้ฮูหยินใหญ่มั่นใจอีกครั้งว่าซูหว่านยังมีความเสน่หาในตัวบุตรชายคนรองของนางอยู่
ต้องรู้ว่า เดิมทีผู้ที่ริเริ่มคิดจับให้ซูหว่านแต่งงานกับอินเป่ยเย่ว์นั้นก็คือฮูหยินใหญ่เหยาไป๋เซียน เพราะนางได้ปรึกษากับสามีของนางไว้นานแล้วว่าจะให้หลานสาวของตนเองเหยารั่วฟังแต่งงานเข้าสกุลอิน เป็นฮูหยินของนายพลน้อย
นางจะยอมให้หญิงอื่นมาเป็นลูกสะใภ้ของตนได้อย่างไรกัน
หลังจากอินเป่ยเย่ว์เสียชีวิตได้ครึ่งปี อินเป่ยเกอได้เชื่อฟังบิดามารดาของตนและตกลงแต่งงานกับเหยารั่วฟังบุตรสาวคนโตของสกุลเหยาผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา
เหยารั่วฟังชื่นชมอินเป่ยเกอมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก หลังจากแต่งงานแล้วนางย่อมต้องเชื่อฟังเขาเป็นธรรมดา
น่าเสียดายที่นายพลน้อยอินผู้ซึ่งบอบช้ำทางความรู้สึกไม่เหลียวแลภรรยาแสนหวานของเขาเลย
เหยารั่วฟังผู้ซึ่งถูกสามีทอดทิ้งและเคยได้ยินเรื่องราวอื้อฉาวในครอบครัวระหว่างอินเป่ยเกอและซูหว่านมาบ้าง นางโมโหมากเมื่อคิดว่าสามีของนางคงจะคิดถึงแค่เพียงพี่สะใภ้ที่เป็นหม้ายทั้งวัน เหยารั่วฟังจึงแอบไปคุยกับท่านป้าอย่างลับๆ ทั้งสองเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย สุดท้ายก็ตัดสินใจวางยาพิษเป็นเวลานานเพื่อฆ่าซูหว่านให้ตายโดยไม่รู้ตัว
——
[1] นับเก้าเหมันต์ หมายถึง วันที่หนาวที่สุดในฤดูหนาว เป็นวิธีของชาวจีนโบราณเริ่มนับเมื่อฤดูหนาวเริ่มต้นขึ้น วิธีการคือทุก 9 วัน นับเป็นหนึ่งเก้า 18 วัน นับเป็น สองเก้า 27 วัน นับเป็น สามเก้า จะนับกันไปจนถึงเก้าเก้า (81 วัน) ซึ่งจะเป็นช่วงที่สิ้นฤดูหนาวพอดี ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดคือช่วง สามเก้าและสี่เก้า
[2] ฮูหยิน คือ คำที่ใช้เรียกหญิงที่แต่งงานแล้วเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย