ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 10 อนุภรรยาขุนศึก (10)
หิมะและน้ำแข็งละลาย ปีใหม่ในเดือนสามตามปฏิทินจันทรคติกำลังจะมาถึง
และปีใหม่นี้ เรือนใหญ่อย่างบ้านสกุลอินก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ซูหว่าน ‘ป่วยเสียชีวิต’ เรือนข้างของนางก็กลายเป็นเขตหวงห้ามของบ้านสกุลอิน นอกจากอินเป่ยเกอแล้ว ไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าไปในนั้นอีก
ช่วงต้นเดือนสองอินเป่ยเชาออกจากบ้านสกุลอิน โดยอินซุ่นได้ฝากฝังคนให้พาเขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาด้านการเงินที่ต่างประเทศ แต่เรื่องที่นายพลอินไม่มีทางคาดคิดได้ในตอนนี้ก็คือ หลังจากนี้อีกไม่กี่ปี การกลับมาของอัจฉริยะทางการเงินคนนี้ จะกลายเป็นฝันร้ายของคนบ้านสกุลอิน
การตายของซูหว่านทำให้อินเป่ยเกอซึมลงระยะหนึ่ง ซึ่งเหยาไป๋เซียนก็กลุ้มใจมากกับสภาวะหลงใหลในความรักของลูกชายตนเอง…
ถ้านางไม่เห็นแก่ตัว แยกซูหว่านกับอินเป่ยเกอออกจากกันในตอนนั้นแล้วละก็ สถานการณ์ในวันนี้จะเป็นอย่างไรหนอ
ครอบครัวรักใคร่สามัคคี ลูกหลานล้อมหน้าล้อมหลังหรือไม่หนอ
เสียดาย โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า และไม่มียาแก้อาการสำนึกเสียใจอย่างแน่นอน
พอถึงเดือนห้า พวกอันธพาลที่เหลือซึ่งถูกบีบให้จนมุมเมื่อปีที่แล้ว ได้สมรู้ร่วมคิดกับคนในกองทัพเมืองอวิ๋นเฉิง เริ่มออกปล้นสะดม ฆ่าคนวางเพลิงไปทั่วเมืองเหลียวเฉิง
ขณะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองเหลียวเฉิงกับเมืองอวิ๋นเฉิงที่อยู่ใกล้ๆ กันตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองฝ่ายขาดก็แต่บาดหมางซึ่งๆ หน้าเท่านั้น ในช่วงเวลาอันเปราะบางเช่นนี้ อินซุ่นย่อมไม่ยอมจำนนให้คนเมืองอวิ๋นเฉิง เขาจึงสั่งให้อินเป่ยเกอนำทหารออกนอกเมืองอีกครั้ง และการสู้รบในครั้งนี้ อินเป่ยเกอก็ตกลงไปในทะเล หายสาบสูญ…
เมื่อบ้านสกุลอินได้ข่าวว่าอินเป่ยเกอหายสาบสูญ เหยาไป๋เซียนกับเหยารั่วฟางก็เป็นลมล้มพับลงทันทีส่วนหูฮุ่ยเย่ว์ที่อยู่ในเรือน แม้สีหน้าเป็นกังวลอยู่พักหนึ่ง แต่ในใจกลับยินดีปรีดาไม่หยุด…
ลูกเมียหลวงสองคนของบ้านสกุลอิน คนหนึ่งเสียชีวิต อีกคนหายสาบสูญ
ถ้าอินเป่ยเกอตายไป ลูกชายตน อินเป่ยเชามิกลายเป็นลูกชายคนเดียวของท่านนายพลหรอกหรือ
พอนึกถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ หูฮุ่ยเย่ว์ก็รู้สึกว่าทุกส่วนในร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น…
…
ขณะเดียวกัน ในเรือนของท่านสาม
“ภรรยา วันนี้รู้สึกหายหน่อยหรือยัง”
ตอนซูรุ่ยก้าวเข้าไปในห้องนอนนั้น เห็นซูหนิงกำลังหวีผมให้ซูหว่านอยู่พอดี ในที่สุดตอนนี้ ผมยาวสลวยของนางก็เงางามแล้ว ไม่มีท่าทีแห้งเสียไร้ชีวิตชีวาเหมือนเมื่อปีก่อนอีก
“รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
ซูหว่านยิ้มให้ซูรุ่ย ซึ่งซูรุ่ยก็เดินมาถึงด้านหลังของนางพอดี เขาแย่งหวีไปจากมือของซูหนิง จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาหวีผมสลวยของซูหว่านอย่างอ่อนโยน
เมื่อซูหนิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้งาน รีบถอยออกไปแต่โดยดี
หลายเดือนมานี้ ซูหว่านพักรักษาตัวอยู่ในห้องตลอด ซึ่งซูรุ่ยก็ช่วยนางปรับกำลังภายในทุกวัน พิษที่เหลือในร่างกายนางถูกกำจัดออกไปแล้ว ทว่า…อวัยวะภายในทั้งหมดได้รับพิษรุนแรงเกินไป แม้ตอนนี้กำจัดพิษจนหมดแล้ว ร่างกายก็ยังอ่อนแอกว่าคนทั่วไปมาก และอย่างมาก มีชีวิตอยู่ได้อีกห้าปี
ซึ่งห้าปีนี้ เพียงพอที่ซูหว่านกับซูรุ่ยจะทำลายบ้านสกุลอิน เพียงแต่พอนึกว่า ภรรยาตนเองต้องลากสังขารที่ป่วยกระเสาะกระแสะแบบนี้ ปฏิบัติภารกิจในโลกใบนี้ แม่ทัพซูก็รู้สึกปวดใจ
เขาได้ให้ในสิ่งที่เขาสามารถให้นางได้ สิ่งที่เขาอยากจะให้ก็มอบให้แล้ว แต่เรื่องบางอย่างที่เคยเกิดขึ้น เขายังคงทำอะไรไม่ได้
“เอาล่ะ”
พอรู้สึกว่าซูรุ่ยกำลังใจลอย ซูหว่านก็ยกมือขึ้น นิ้วมือเรียวบางและเย็นเล็กน้อยกุมมือใหญ่ของเขาไว้ “ไม่ต้องหวีแล้ว สวยมากแล้วล่ะ”
ขณะมองดูใบหน้าที่กลับคืนมาเฉิดฉายดังเดิมในกระจก นางก็อดที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่ได้ “ตอนนี้เวลาเหลือน้อยแล้ว สิ่งที่ควรเตรียมการ เตรียมการเสร็จแล้วหรือยัง”
“อืม”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยก็ผงกศีรษะเบาๆ “ผมหาคนเช่าสโมสรจุ้ยเยียนได้แล้ว ต่อไปคุณก็คือเสวี่ยหลิงหลง เถ้าแก่เนี้ยของที่นั่น จะไม่มีใครสงสัยสถานะของคุณ ชื่อของคุณ อดีตของคุณ ผมเตรียมทุกอย่างไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไร้ช่องโหว่!”
“อืม มีท่านสามคอยจัดการ ข้าวางใจเป็นที่สุด”
ซูหว่านหัวเราะพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ถ้างั้นพรุ่งนี้ เราก็เริ่มกันเลย!”
“ภรรยา อย่าลำบากจนเกินไปนัก ร่างกายคุณ…”
“ชู่”
ซูหว่านเอนตัวเข้าหาซูรุ่ย เขย่งเท้าแล้วจูบริมฝีปากเขาเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก มีคุณอยู่ด้วย ฉันไม่ลำบากสักนิด”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยก็เก็บสายตาคืนกลับ แล้วจึงอุ้มหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าขึ้น
“เอาล่ะ ไปพักผ่อนสักครู่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปสโมสรจุ้ยเยียน”…
…
สโมสรจุ้ยเยียน เมืองเหลียวเฉิง
ที่นี่เคยเป็นสโมสรบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหลียวเฉิง น่าเสียดาย ตั้งแต่ไป่หลิง นักร้องสาวชื่อดังของที่นี่เสียชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำเมื่อปีที่แล้ว กิจการของที่นี่ก็แย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายเถ้าแก่จึงจำต้องปล่อยเช่าสโมสรทั้งหลังในราคาต่ำ ทว่าราคาแม้ต่ำที่สุด แต่กับคนทั่วไป กระทั่งพ่อค้าธรรมดาเหล่านั้น ยังคงเป็นราคาที่แพงลิบลิ่วอยู่ดี
ตอนนี้ สโมสรจุ้ยเยียนได้เปลี่ยนเจ้าของและเปิดกิจการใหม่แล้ว ขณะมองดูประตูอาคารสีสันสวยงาม อีกทั้งป้ายชื่อที่คลุมผ้าแดงไว้ ทุกคนต่างสงสัยว่า หลังจากสโมสรจุ้ยเยียนเปลี่ยนเจ้าของ จะเปลี่ยนเป็นเช่นไร
“ได้ฤกษ์แล้ว!”
เสียงตะโกนดังฟังชัด ต่อด้วยเสียงประทัดดัง ขบวนเชิดสิงโตที่หน้าประตูก็เริ่มเต้นระบำกันอย่างทะมัดทแมง พอหัวสิงโตคาบผ้าแดงคลุมป้ายออก ตัวอักษร ‘หอหลิงหลง’ ก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน
ดื่มด่ำห้วงวิจิตรในหอหลิงหลง
เยียนเสวี่ย เหยาหลาน และซิ่วอู่
นี่คือกลอนปากเปล่าซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายมากที่สุดในแวดวงผู้ชายเมืองเหลียวเฉิงประจำฤดูใบไม้ผลินี้
หอหลิงหลง (หอวิจิตร) ตัวหอก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับชื่อ เถ้าแก่เนี้ยเสวี่ยหลิงหลง หญิงสาวผู้มีผ้าขาวปิดหน้าพร้อมความสามารถล้นเหลือ ยิ่งเด็กๆ สามอันดับต้นของนาง ไป๋เยียนเสวี่ย หัวเหยาหลาน เยี่ยนซิ่วอู่ แต่ละนางล้วนมีรูปโฉมงดงามในแบบของตัวเอง เป็นเทพธิดาในใจของผู้ชายทั่วทั้งเมืองเหลียวเฉิง
เพียงเสียดาย ที่ค่าบริการในหอหลิงหลงสูงมาก ด้วยสุราดี ดนตรีเพราะ สาวๆ ก็สวย เต้นรำมีเสน่ห์ยิ่ง
คนระดับล่างธรรมดาจ่ายไม่ไหวแน่ๆ ดังนั้นบุคคลที่สามารถเป็นแขกพิเศษของสาวงามในหอทั้งสี่ได้นั้น ก็มีเพียงกลุ่มคนรวยที่สุดในเมืองเหลียวเฉิงแล้ว ซึ่งท่านสามสกุลอินผู้โดดเด่นก็คือหนึ่งในบุคคลเหล่านี้ กระทั่งยังมีคนเคยเห็นเขาค้างคืนในห้องของเสวี่ยหลิงหลงด้วย
และแล้ว จวนนายพลก็คือผู้หนุนหลังหอหลิงหลง เสวี่ยหลิงหลงคือคนรักของท่านสามสกุลอิน ข่าวนี้เริ่มค่อยๆ แพร่กระจายออกไปตามห้างร้านต่างๆ ในเมืองเหลียวเฉิง
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของท่านสามสกุลอินในช่วงที่ผ่านมานั้น แรกๆ คนในเมืองเหลียวเฉิงก็รู้สึกตกใจอยู่ แต่หลังจากได้ข่าวว่าท่านสามกำลังหลงใหลเสวี่ยหลิงหลง ชาวเมืองเหลียวเฉิงค่อยรู้สึกโล่งใจในที่สุด…
ท่านเจ้าหอเสวี่ย ท่านคือเจ้าแม่กวนอิมมาจุติ รีบจัดการจอมมารตนนั้นให้พวกเราด้วย
ซึ่งจริงๆ แล้ว แม้เปิดเป็นสโมสรบันเทิง แต่การรับแขกชายหญิงในหอหลิงหลงล้วนเป็นไปตามมาตรฐานสโมสรบันเทิง และเจ้าของหอ เสวี่ยหลิงหลงก็มักพาคนของหอหลิงหลงไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ ยังแจกข้าวต้มกับหมั่นโถวให้เหล่าผู้ลี้ภัยที่หนีความทุกข์ยากมาที่เมืองเหลียวเฉิงด้วย
ในสายตาของทุกคน นางย่อมเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง และผู้หญิงเช่นนี้ก็กำลังจะใช้ชีวิตร่วมกับท่านสาม และแล้วทุกคนก็มองโลกอย่างสวยงามดังนี้…
แม่นางเสวี่ยเป็นคนดีนะ! ช่างเป็นคนดีอะไรเช่นนี้! นางกลัวว่าจอมมารอย่างท่านสามจะคอยระรานหญิงสาวในเมืองเหลียวเฉิงเรื่อยไป จึงต้องเสียสละตนเอง
อย่างที่พระท่านกล่าวว่า…เราไม่ลงนรกแล้ว ใครจะลงนรก
ซูรุ่ย…
ไปลงนรกบ้านเอ็งสิ…
แน่นอน จากการพูดกันไปต่างๆ นานาของชาวเมือง ตอนนี้ท่านใหญ่กับท่านรองสกุลอินล้วนรู้แล้วว่า น้องชายที่ไม่เอาไหนของตน ในที่สุดก็กำลังจะลงหลักปักฐาน หาผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งมาแต่งงานด้วย
เหตุนี้ อินซุ่นกับอินเฉิงมั่วจึงเรียกซูรุ่ยกลับมาที่เรือนใหญ่บ้านสกุลอิน สามพี่น้องรวมตัวกันบนโต๊ะ พูดคุยพลางดื่มสุรา
“น้องสาม นางสวยขนาดไหนเชียว ถึงทำให้เจ้าหลงใหลได้ปลื้มขนาดนั้น จนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมพากลับมาที่บ้านให้พวกเราดูเป็นขวัญตา”
อินซุ่นดื่มสุราไปอึกหนึ่ง ก่อนยิ้มตาหยี จ้องมองน้องสามของตนเอง
“นั่นน่ะสิ”
อินเฉิงมั่วที่อยู่อีกด้านก็อดไม่ได้ที่จะมองน้องชายตนเองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “เถ้าแก่เนี้ยเสวี่ยคนนั้นสวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าใบหน้ามีปานอะไรที่ไม่อยากให้คนมองเห็นนะ หรือไม่ก็…สวยยิ่งกว่านางฟ้าจริงๆ”
“หึ”
พอได้ยินคำถามของคนทั้งสอง ซูรุ่ยก็ยิ้มน้อยๆ แล้วจึงล้วงภาพม้วนหนึ่งออกจากแขนเสื้อตนเอง “วันนี้ข้าเอาภาพเหมือนของหลิงหลงติดมาด้วย แต่พี่ใหญ่กับพี่รองต้องเตรียมตัวให้ดีนา ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะแต่งกับนางเท่านั้น!”