ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 11 อนุภรรยาขุนศึก (11)
ม้วนภาพวาดมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ถูกคลี่ออกช้าๆ
หญิงสาวในภาพเกล้ามวยสูง สวมชุดกระโปรงแดงเย้ายวนใจ
นางนั่งอยู่หน้าพิณยาว ก้มหน้าก้มตาดีดพิณอย่างจริงจัง นิ้วของนางเรียวบางและขาว รอยยิ้มที่ริมฝีปากเย็นชาและมีเสน่ห์
อินซุ่นกับอินเฉิงมั่ววางจอกสุราพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หลังจากเห็นคนในภาพวาด
“ดี! ดี!”
อินเฉิงมั่วเอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้ เย็นชาแต่ไม่ขาดเสน่ห์ ผู้หญิงแบบนี้เร้าใจสุดๆ
อินซุ่นที่อยู่อีกด้านมิได้ส่งเสียง ยังคงจ้องมองคนในภาพวาดเงียบๆ
“พี่ใหญ่?”
พอเห็นอินซุ่นคล้ายอึ้งอยู่บ้าง อินเฉิงมั่วก็อึ้งตาม แม้บอกว่าพวกเขาสามพี่น้องล้วนชมชอบสาวงาม แต่สาวงามแบบไหนบ้างที่พี่ใหญ่ไม่เคยเห็นล่ะ
หรือต่อให้เสวี่ยหลิงหลงคนนี้สวยที่สุดในโลกจริงๆ ก็เป็นผู้หญิงของน้องสามนา!
“พี่ใหญ่?”
อินเฉิงมั่วดันอินซุ่นเบาๆ อีก
“เอ่อ”
อินซุ่นค่อยมีปฏิกิริยาตอบกลับ ดวงตามีแววกระอักกระอ่วนใจ “น้องรอง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า เจ้าหอเสวี่ยเหมือนคนคนหนึ่งมาก”
“หา?”
พออินเฉิงมั่วได้ยินคำพูดพี่ใหญ่ของตน ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปจ้องมองภาพวาดให้ถ้วนถี่ “ไม่รู้สึกนะ แต่พอพี่ใหญ่พูดแบบนี้ ข้ามองไปมองมา กลับรู้สึกจริงๆ ว่าหน้าคุ้นๆ”
“เฮ้อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนทั้งสอง ซูรุ่ยก็เก็บม้วนภาพขึ้น ก่อนถอนหายใจยาวๆ ออกมา “พี่ใหญ่ พี่รอง ไม่ปิดบังพวกพี่แล้ว หลิงหลงนางเหมือนคนคนหนึ่งมากจริงๆ และเพราะนางเหมือนคนคนนั้นมากเกินไป ข้าเลยไม่กล้าพานางมาที่บ้านสักที ข้ากลัว…พี่สะใภ้ใหญ่จะไม่ชอบ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไม่ชอบ”
พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย แววตาของอินซุ่นก็สว่างวาบ “เป็นนาง!”
ถ้าพูดว่าหญิงสาวที่ฮูหยินตนไม่ชอบ นอกจากเหล่านางบำเรอที่รายล้อมข้างกายตนแล้ว อินซุ่นรู้ว่าผู้หญิงที่ฮูหยินตนไม่ชอบมากที่สุด ก็คือซูหว่าน ลูกสะใภ้ใหญ่ที่ตายไปแล้ว
ตอนนี้นึกไปนึกมา หน้าตาของเสวี่ยหลิงหลงกับซูหว่านก็เหมือนกันมากจริงๆ ทว่า…ซูหว่านเป็นกุลสตรี เป็นลูกผู้ดีมีสกุล มีความรู้ สุภาพอ่อนโยน ส่วนเสวี่ยหลิงหลงนั่น ดูจากภาพวาดก็รู้ว่ามีนิสัยเย็นชา และเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแกร่งคนหนึ่ง
ทั้งสองมีหน้าตาคล้ายกัน แต่บุคลิกแตกต่างกัน
“เรื่องนี้”
อินซุ่นถอนหายใจยาวๆ ออกมา “ด้านพี่สะใภ้ เจ้าไม่ต้องห่วง นางไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่ามเรื่องในเรือนของพวกเจ้าหรอก กลับเป็น…”
“พี่ใหญ่จะพูดถึงเป่ยเกอหรือ”
แววตาซูรุ่ยฉายวาบ ฟังความหมายโดยนัยของอินซุ่นออกทันที
หลังจากซูหว่านตายไป อินเป่ยเกอก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมเรื่อยมา ตอนนี้คนในบ้านสกุลอิน ใครไม่รู้บ้างว่านายพลน้อยคิดอย่างไรกับซูหว่าน
ต่อให้ตอนนี้เหยารั่วฟางหึงแค่ไหน ก็ไม่มีทางแข่งกับคนตายแล้ว
ตั้งแต่อินเป่ยเกอหายตัวไปไม่นาน อินซุ่นก็ส่งคนออกตามหาเขาไปทั่ว ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะได้ข่าวเมื่อสองวันก่อน พอรู้ว่าอินเป่ยเกอกำลังพักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง อินซุ่นก็รีบสั่งให้ลู่อันปั๋วพาคนไปรับเขากลับมา คิดคำนวณแล้วอีกสามถึงห้าวัน น่าจะกลับถึงเมืองเหลียวเฉิง
“พี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บของเป่ยเกอสำคัญมาก”
ซูรุ่ยแสดงท่าทีรักความเป็นธรรมออกมา “ข้ากับหลิงหลงไม่รีบ รอให้เป่ยเกอกลับมาพักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน ค่อยพูดเรื่องการแต่งงานของข้ากับหลิงหลิงยังได้!”
“ดี”
พอเห็นน้องสามของตนเปลี่ยนเป็นคนมีเหตุผลเช่นนี้ อินซุ่นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
กลับเป็นอินเฉิงมั่วที่ดื่มสุราไปอีกสองสามจอก จากนั้นก็ลอบใช้ศอกแตะแขนของซูรุ่ย “น้องสาม ว่ากันว่าระบำแขนเสื้อแดงของหอหลิงหลงเป็นระบำนารีอันดับหนึ่งของเมืองเหลียวเฉิง แต่พี่รองไม่มีเวลาไปดูสักที เจ้าบอกเจ้าหอเสวี่ยหน่อยสิว่า ให้แม่นางเยี่ยนมาแสดงให้พี่ดูในจวนสักรอบ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอินเฉิงมั่ว ซูรุ่ยก็ยิ้มอย่างรู้ใจ “ถ้าเป็นคนอื่นนะ หลิงหลงไม่เต็มใจแน่ แต่นี่พี่รองขอมา ข้ากลับไปปุ๊บก็บอกหลิงหลงปั๊บ พี่รองปูเสื่อรอได้เลย!”
“ฮ่าๆ”
พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย อินเฉิงมั่วก็ยกจอกสุราขึ้นสูง “มามามา น้องสาม พี่รองดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง!”
…..
สามวันให้หลัง ลู่อันปั๋วก็นำคนกับรถม้าขบวนหนึ่ง รับอินเป่ยเกอที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บกลับมา
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ อินเป่ยเกอสูญเสียความทรงจำไปแล้ว!
พอรู้ข่าวนี้ จิตใจของเหยาไป๋เซียนก็ซับซ้อนยิ่ง นางสงสารลูกตัวเอง ขณะเดียวกันในส่วนลึกก็มีกระทั่งร่องรอยของความรู้สึกโชคดี…
เป่ยเกอสูญเสียความทรงจำไปแล้ว หมายความว่าเขาลืมซูหว่านไปแล้วด้วยหรือเปล่า
จิตใจของเหยารั่วฟางก็บังเอิญเหมือนกับเหยาไป๋เซียน
ขณะมองดูอินเป่ยเกอที่มีสีหน้างุนงงบนเตียง เหยารั่วฟางก็หลุดรอยยิ้มน้อยๆ อันอ่อนโยนและมีเสน่ห์ยิ่งออกมาอย่างอดไม่ได้ “เป่ยเกอ ท่านจำฉันไม่ได้ไม่เป็นไร ต้องมีสักวันที่ท่านนึกขึ้นได้ แต่ท่านก็อย่ากดดันตัวเองล่ะ”
ขณะพูด เหยารั่วฟางก็ยกมือตัวเองขึ้น คิดจับหลังมือของอินเป่ยเกอตามความเคยชิน แต่อินเป่ยเกอกลับชักมือหนี ประหนึ่งถูกกระแสไฟฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าอยากอยู่เงียบๆ”
สำหรับบ้านสกุลอิน เขาคุ้ยเคยยิ่ง แต่ในความคุ้นเคย ก็มีร่องรอยของการต่อต้านอยู่ลึกๆ ในใจ ราวกับว่าที่นี่เคยเกิดบางอย่างที่เลวร้ายขึ้น ทำให้เขาไม่อยากนึกถึงมันอีก
ที่สุดแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เหตุใดตนอยู่ในเรือนหลังใหญ่ที่คุ้นเคย แต่กลับหาเงาร่างที่คุ้นเคยไม่เจอ
อินเป่ยเกอนึกถึงเงาร่างของกวนหลีขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว ผู้หญิงคนนั้นกับคนที่อยู่ในความทรงจำตนเหมือนกันมาก แต่ก็ต่างกันมากเช่นเดียวกัน…
การกลับมาของอินเป่ยเกอ ทำให้หมอกควันที่ปกคลุมบ้านสกุลอินเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาสลายไปไม่น้อย หลังจากรู้ว่าอินเป่ยเกอสูญเสียความทรงจำ อินซุ่นกลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ตรงกันข้าม เขานึกถึงการแต่งงานของอินหมิงเยี่ยขึ้นมา จึงฉวยโอกาสขณะเป่ยเกอสูญเสียความทรงจำ ให้หมิงเยี่ยกับเสวี่ยหลิงหลงแต่งงานกันให้เรียบร้อย ดูเหมือนพอดีเป็นช่วงเวลาที่ดี
ซึ่งไม่แน่ว่า เป่ยเกออาจไม่นึกถึงอดีตอีกตราบชั่วชีวิต ขอเพียงคนในจวนสกุลอินทุกคนปิดปากให้สนิท เช่นนี้อินเป่ยเกอก็จะไม่มีวันรับรู้ถึงการมีอยู่ของซูหว่านแล้ว…
เช่นนี้ วันที่ห้าของเดือนหก ท่ามกลางบรรยากาศยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านสามสกุลอินก็แต่งท่านเจ้าหอเสวี่ยหลิงหลงของหอหลิงหลงเข้าบ้าน
พิธีแต่งงานของท่านสามสกุลอิน ย่อมยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ น่าเสียดายที่เจ้าสาวคลุมศีรษะด้วยผ้าแดงตลอดเวลา ทำให้แขกเหรื่อที่อยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าหอเสวี่ยผิดหวังกันยกใหญ่
พิธีแต่งงานดำเนินไปตลอดทั้งวัน ยิ่งใหญ่และคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายซูหว่านอ่อนแอ จึงถูกซูหนิงพยุงให้เข้าไปพักผ่อนในห้องหอเสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งซูรุ่ยย่อมอยู่ด้านนอก รับรองแขกเหรื่อบนโต๊ะอาหาร
“นายหญิงสาม ถ้าเพลียก็พักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ บ่าวไปดูที่หน้าประตูหน่อย”
แม้ซูหนิงรู้สถานะของซูหว่าน แต่นางก็จำคำกำชับของซูรุ่ยได้เสมอ ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้คน ก็ล้วนต้องเรียกซูหว่านว่านายหญิงสาม
“อืม”
พอได้ยินคำของซูหนิง ซูหว่านก็พยักหน้า นางในตอนนี้ได้ถอดหมวกและเสื้อคลุมเจ้าสาวออกแล้ว บนร่างสวมเพียงชุดแต่งงานสีแดง
แม้พิธีแต่งงานของบ้านสกุลอินเรียบง่ายกว่าของราชวงศ์ในสมัยโบราณมาก แต่ร่างกายของนางในตอนนี้ก็ยังคงรับไม่ไหวจริงๆ
ขณะซูหว่านที่อยู่ในห้องหอกำลังปลดเครื่องประดับบนศีรษะ และแกะมวยผมออก เตรียมมุดเข้าผ้าห่มสีแดงปักลายมังกรหงส์ แล้วงีบสักพักนั้น พลันมีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากด้านนอก
“เร็วเข้าๆ! ข้าหลอกซูหนิงออกไปแล้ว สักพักถ้านางกลับมา ก็น่าจะไปฟ้องท่านอาสาม!”
เสียงผู้ชายที่มีชนักติดหลังพูดพลางย่องเข้ามาใกล้ประตูห้องหอ
“พับผ่า อินเป่ยเยี่ย เจ้าเหยียบเท้าข้า!”
“อินเป่ยเหยียน! ข้าเป็นพี่เจ้านะ! เจ้าใช้ ‘เจ้าข้า’ กับใครอยู่ฮึ”
อินเป่ยเยี่ยที่อยู่อีกด้านยกเท้าขึ้น แล้วจ้องน้องชายตนเองเขม็ง
เอ่อ สองท่านนี้หรือ ก็คือคุณชายบ้านท่านรอง คุณชายใหญ่อินเป่ยเยี่ยกับคุณชายรองอินเป่ยเหยียน
เนื่องจากอินเฉิงมั่วทำธุรกิจการค้าอยู่นอกบ้านตลอดทั้งปี ลูกชายทั้งสองจึงเป็นทั้งมือขวาและมือซ้ายของเขา ยามปกติ ถ้าคุณอยู่ในเรือนใหญ่สกุลอิน จะไม่มีทางเห็นเงาของคุณชายทั้งสองท่านหรอก
ส่วนคืนนี้น่ะ เนื่องจากทั้งสองได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าหอเสวี่ยมานาน รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าไม่ไหว คืนนี้เลยกะมายลโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าหอเสวี่ยสักหน่อย
แน่นอน เพราะทั้งสองขาดความกล้านิดหน่อย อินเป่ยเยี่ยจึงลากเครื่องรางป้องกันตัวมาด้วยคนหนึ่ง
“พี่รอง พี่รอง ท่านเร็วหน่อยได้ไหม!”
พอเห็นอินเป่ยเกอเดินเอ้อระเหยลอยชายอย่างไร้อารมณ์ อินเป่ยเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไป ใช้แรงลากเขาเข้ามา “ท่านอย่าเอ้อระเหยสิ ประเดี๋ยวถูกคนของท่านอาสามพบเข้าจะทำอย่างไรเล่า”
อินเป่ยเกอ…
อันที่จริง เขาไม่เข้าใจความคิดของนายน้อยสองท่านนี้เลย เสวี่ยหลิงหลงมีอะไรน่าดู นางแต่งเข้าบ้านสกุลอินแล้ว ต่อไปก็คือนายหญิงสาม อยากจะเจอเมื่อไหร่ก็ได้นี่