ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 12 อนุภรรยาขุนศึก (12)
จากหน้าต่างนอกห้องหอ มองเห็นเพียงแสงเทียนในห้องสั่นไหว
“นี่ เร็วหน่อยสิ!”
อินเป่ยเหยียนในตอนนี้ได้คลานเข้ามาอยู่ใต้หน้าต่างห้องหอแล้ว เขายกมือขึ้น ใช้นิ้วตัวเองจิ้มหน้าต่างกระดาษให้เป็นรู แล้วโผล่หัวขึ้นมองเข้าไปด้านในด้วยความสงสัย
“เห็นยัง เห็นยัง ท่านอาสะใภ้สามหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง”
พี่น้องคู่นี้ยังท้าพนันกันก่อนจะมาแอบดูคนในห้องหอด้วย โดยอินเป่ยเยี่ยเชื่อเสมอมาว่า ผู้ชายเจ้าชู้ประตูดินอย่างอาสามของตน เวลากลับตัวกลับใจ ผู้หญิงของเขาต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองเหลียวเฉิงแน่
แต่อินเป่ยเหยียนกลับมีความคิดที่ต่างไปจากพี่ชายตนเอง
เขาในตอนนี้กำลังตั้งใจมองสิ่งที่อยู่ในห้อง เสียดายตำแหน่งกับมุมมองไม่ดี จึงเห็นเพียงอีกด้านหนึ่งของห้อง อย่าว่าแต่ตัวเจ้าสาวเลย กระทั่งเท้าเจ้าสาวก็ยังมองไม่เห็น
“มองไม่เห็น เจ้าจะเร่งอะไรหนักหนาเล่า”
อินเป่ยเหยียนหันมาค้อนให้อินเป่ยเยี่ย แล้วจึงเปลี่ยนมุมมอง ย่องมาที่ข้างประตู สองมือคลานเบาๆ ไปที่รอยแตกประตู
“นี่ มาเร็วเข้า! ตรงนี้น่าจะเห็นหน้าตรง!”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเหยียน อินเป่ยเยี่ยที่อยู่ด้านหลังก็รีบลากอินเป่ยเกอที่ทำหน้าพูดอะไรไม่ออกไปที่ประตูห้องอย่างตื่นเต้น
“ใครกัน ลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ทำอะไรกันน่ะ”
เบื้องหลังของทั้งสามพลันมีเสียงเอ็ดตะโรของซูหนิงดังมา
โอ้มารดา
อินเป่ยเหยียนตกใจ ร่างจึงพุ่งพรวดชนประตูเข้าไป…
เสียงดัง ปัง ประตูห้องหอถูกเขาชนจนเปิดออก
ซูหว่านที่อยู่ในห้องมองมายังอินเป่ยเหยียนที่ล้มสะบักสะบอมอยู่บนพื้น อึ้งไปสักพัก ก่อนเงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก จึงเห็นหน้าอินเป่ยเยี่ยกับอินเป่ยเกอ
“โอ๊ย…เห็นผีแล้ว!”
พออินเป่ยเยี่ยเห็นหน้าซูหว่าน ก็ร้องอย่างตื่นตกใจทันที
ส่วนอินเป่ยเหยียนที่อยู่บนพื้นก็รีบลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่อยู่ตามตัวออก พลางยิ้มอย่างอิหลักอิเหลื่อ ก่อนเงยหน้าขึ้น พริบตาที่เห็นซูหว่าน เขาก็ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น…
เหมือน เหมือนมากจริงๆ
แม้พวกเขาพี่น้องใช้เวลาอยู่ในบ้านสกุลอินไม่มาก แต่กับซูหว่านแล้ว พวกเขายังคงประทับใจอย่างสุดซึ้ง
“พวกเจ้า…”
ซูหว่านมองนิ่ง แววตากังขาอยู่บ้าง ขณะมองดูคุณชายทั้งสามท่านที่อยู่หน้าประตู
“นายหญิงสาม!”
ซูหนิงก้าวเข้ามาในห้องหออย่างรวดเร็ว มองคนทั้งสามที่หน้าประตู ก่อนกวาดตามองสีหน้าอินเป่ยเกอ แล้วจึงก้มหน้าพูดเสียงต่ำอย่างเคารพนบนอบ
“นายหญิงสามเจ้าคะ ทั้งสามท่านนี้คือคุณชายบ้านสกุลอินเรา สองท่านนี้อยู่บ้านท่านรอง ส่วนท่านนี้ ก็คือนายพลน้อย!”
“อ้อ”
พอได้ยินคำพูดของซูหนิง ซูหว่านก็พยักหน้าราวกับรู้ทัน แล้วจึงโน้มตัวลงเล็กน้อย ยิ้มบางๆ ให้คนทั้งสาม “ท่านสามยังไม่กลับเข้ามาเลย พวกเจ้าก็มาป่วนห้องหอแล้ว ไม่เร็วไปหน่อยหรือไรกัน”
พอได้ยินเสียงอันอ่อนโยนแฝงความขี้เล่นของนาง อินเป่ยเยี่ยก็รีบขยิบตาให้อินเป่ยเหยียน สองพี่น้องจึงคล้องแขนทั้งสองข้างของอินเป่ยเกอ คิดก้าวออกไป
ทว่า อินเป่ยเกอกลับยืนนิ่งอยู่กับที่
ตั้งแต่นาทีที่ประตูถูกชนโดยบังเอิญ เขาก็เห็นหญิงสาวในชุดแต่งงานบนเตียงมงคลสีแดงวาบหนึ่งแล้ว
ดังคำที่ว่า วาบเดียวจดจำไปหมื่นปี ครั้งแรกที่เขาเห็นนาง หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุด
เป็นนาง เป็นนางใช่ไหม
คนคนนั้นในความทรงจำ ใบหน้าแบบนั้นในความทรงจำ
เหมือนมาก เหมือนมากจริงๆ
อินเป่ยเกอตะลึงงันอยู่กับที่ ร่างแข็งเหมือนหิน ทำให้คุณชายน้อยร่างบางที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างทำอะไรไม่ถูก!
“เป็นท่านใช่ไหม”
อินเป่ยเกอถามเสียงสั่น ตอนนี้แม้เขายังไม่ฟื้นคืนความทรงจำ แต่เค้าโครงของคนคนนั้นในหัวสมองค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
พอได้ยินเสียงของอินเป่ยเกอ ซูหว่านก็ขมวดคิ้ว
“นายพลน้อยกำลังพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
“เข้าใจผิดแล้ว ท่านอาสะใภ้สาม นายพลน้อยได้รับบาดเจ็บ ก็เลย…หัวมึนนิดหน่อย!”
อินเป่ยเหยียนขยับร่างมาขวางอยู่ตรงหน้าอินเป่ยเกอ กันไม่ให้เขาจ้องมองซูหว่าน
“เป่ยเกอ ท่านอาสามกำลังจะกลับมาแล้ว เรารีบไปกันเถอะ!”
ว่าแล้วอินเป่ยเหยียนก็กระซิบเข้าที่ข้างหูอินเป่ยเกอ “เป่ยเกอ เจ้าอย่าซี้ซั้ว นี่คือท่านอาสะใภ้สาม ไม่ใช่คนคนนั้นที่อยู่ในใจเจ้า”
คนคนนั้น…
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเหยียน อินเป่ยเกอก็มองหน้าเขาทันที “เจ้ารู้ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร?”
“ข้า…”
อินเป่ยเหยียนอ้าปากแล้วก็หุบ พูดไม่ออกไปสักพัก ก็ท่านนายพลสั่งทุกคนให้ปิดปากสนิทนี่
“พับผ่า พวกเจ้านิ่งเฉยอะไรกันอยู่ ท่านอาสามกลับมาแล้ว ยังไม่รีบแยกย้ายกันอีก!”
ขณะนั้น นอกห้องมีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังมา อินเป่ยเยี่ยจึงคล้องแขนอินเป่ยเกออย่างร้อนรน “ท่านพี่ ท่านเป็นพี่ที่รักของข้า เรารีบไปกันเถอะ มีเรื่องอะไร เราพี่น้องกลับไปค่อยว่ากันเนอะ!”
ระหว่างพูด ทั้งสองก็ฉวยโอกาสตอนอินเป่ยเกอใจลอย คล้องแขนเขาแล้วหนีออกจากห้องหอหน้าตาตื่น
ซูหนิงมองตามหลังสามคุณชายที่จากไปพลางขมวดคิ้ว ก่อนหันมามองซูหว่านอย่างเคร่งเครียด “นายหญิงสาม นี่…”
“ไม่เป็นไร”
ซูหว่านเพียงยิ้มบางๆ นางไม่กลัวอินเป่ยเกอจะจำนางได้ กลัวแต่ว่าเขาจะจำไม่ได้ต่างหาก!
ไม่นานนัก ซูรุ่ยก็ค่อยๆ เดินเข้าห้องหอมา เขาโบกมือ ซูหนิงจึงรีบถอยออกไปอย่างนอบน้อม
“พอไหวไหม”
ซูรุ่ยเข้ามานั่งข้างเตียง มองดูซูหว่าน แล้วยกมือขึ้นลูบนิ้วมือนางตามความเคยชิน ยังดี ไม่เย็นจนเกินไป
“ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องระมัดระวังขนาดนี้หรอก ฉันเป็นใครกัน ไม่มีทางตายหรอก”
ซูหว่านเห็นว่าหมู่นี้ซูรุ่ยมีท่าทีระมัดระวังตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะจิ้มเบาๆ บนใบหน้าเขา “ท่านสาม ต้องให้ข้าปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก่อนนอนด้วยหรือไม่ หือ”
“หึ”
ซูรุ่ยหัวเราะ “วันนี้ท่านสามอารมณ์ดี ให้ท่านสามปรนนิบัติเจ้าดีกว่า”
ว่าพลางซูรุ่ยก็ยกมือขึ้นปลดกระดุมชุดแต่งงานของซูหว่าน แล้วค่อยประคองนางให้นอนลงบนเตียงอย่างระมัดระวังอีก
“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว คุณเข้านอนแต่หัววันหน่อยนะ พรุ่งนี้ยังต้องไปพบเหยาไป๋เซียนที่เรือนใหญ่อีก จริงสิ เมื่อกี้ อินเป่ยเกอมีปฏิกิริยายังไงบ้าง”
“อ้อ ฉันรู้สึกว่าอินเป่ยเยี่ยน่าจะบอกเรื่องในอดีตกับเขา สรุปแล้ว พรุ่งนี้มีเรื่องดราม่าให้ดูกันล่ะ”
ว่าแล้วซูหว่านก็หลับตาลง ก่อนเอ่ยปากเสียงเบา “สามี ราตรีสวัสดิ์”
“ราตรีสวัสดิ์”
ซูรุ่ยโน้มตัวลงหอมแก้มซูหว่าน แล้วค่อยยกมือขึ้น โบกตะเกียงน้ำมันในห้องให้ดับ
คืนนี้ สองสามีภรรยานอนหลับอย่างสบายใจ แต่พอมาถึงเรือนใหญ่ อินเป่ยเกอกลับกำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนข้าง เรือนนี้ไม่มีคนทำความสะอาดมาหลายวันแล้ว พอก้าวเข้าประตูเรือนมา ก็เห็นหญ้ารกตรงประตูขึ้นสูงมาก
“ที่นี่ก็คือ…ที่ที่นางเคยอยู่หรือ”
อินเป่ยเกอส่งเสียงถาม พลางหลับตาตนเองลงช้าๆ
คุ้นเคยยิ่ง ก็คือที่นี่ล่ะ
ผมรู้สึกได้แล้ว
“อืม”
อินเป่ยเยี่ยที่อยู่ด้านหลังพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ “หญิงงามอาภัพ! เมื่อก่อนสุขภาพนางดีมาก แต่พอท่านพี่เป่ยเย่ว์เสียชีวิต สุขภาพของซูหว่านก็แย่ลงเรื่อยๆ ขนาดท่านหมอซุนก็ยังไม่มีปัญญารักษา”
“ท่านหมอซุน?”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเยี่ย อินเป่ยเกอก็อึ้งเล็กน้อย “บ้านสกุลอินมีท่านหมอแซ่ซุนด้วยหรือ”
แม้เพิ่งกลับมาไม่กี่วัน แต่เนื่องจากร่างกายยังบาดเจ็บอยู่ อินเป่ยเกอจึงหาหมอมาไม่น้อย แต่เขาก็ไม่เคยเห็นท่านหมอซุนเลย
“ท่านหมอซุนเป็นหมอที่แก่ที่สุดในสกุลอินเรา แต่เป่ยเกอ เจ้าสูญเสียความทรงจำไปแล้ว อาจจำไม่ได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนท่านหมอซุนได้เสียชีวิตลง อืม เหมือนหลังจากซูหว่านเสียชีวิตไปไม่นาน”
สำหรับการตายของท่านหมอซุน อินเป่ยเยี่ยก็ใช่ว่าจะชัดเจนนัก เขามักค้าขายอยู่นอกบ้าน ตอนที่ซุนฉางอี้ตาย เขาก็อาศัยอยู่ต่างเมือง
“บังเอิญจริง”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเยี่ย แววตาของอินเป่ยเกอก็เปลี่ยนเล็กน้อย…
คนดีๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงป่วยเรื้อรังกะทันหัน กินยาอะไรก็ไม่เป็นผล
และหมอที่รักษานาง หลังจากนางเสียชีวิตไปไม่นาน ก็เสียชีวิตลงเหมือนกัน
ในนี้ ซ่อนอะไรอยู่ ใช่ความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้หรือไม่