ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 13 อนุภรรยาขุนศึก (13)
เช้าวันรุ่งขึ้น เรือนใหญ่สกุลอินทั้งหลังยังคงมีควันหลงของงานมงคลเมื่อวาน
นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวสกุลอินนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าในห้องรับประทานอาหาร ทั้งหมดกำลังรอการตื่นนอนของบ่าวสาวคู่ใหม่
เนื่องจากสุขภาพของซูหว่านไม่ดี นางกับซูรุ่ยจึงตื่นสายหน่อย รอจนทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารนั้น อาหารเช้าก็วางเรียงรายพร้อมสรรพอยู่บนโต๊ะแล้ว
“อา!”
แรกเห็นซูหว่าน เหยารั่วฟางที่นั่งอยู่ข้างๆ อินเป่ยเกอก็ร้องอย่างตกใจออกมาทันที พลางหน้าซีด ตะเกียบในมือร่วงหล่นลงบนพื้น
“รั่วฟาง!”
เหยาไป๋เซียนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหลักเอ็ดเสียงต่ำออกมา ซึ่งความจริง ตอนเหยาไป๋เซียนเห็นใบหน้านี้ ก็พูดไม่ได้ว่าไม่ตกใจ แต่จะอย่างไร นางผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สติจึงไม่หลุดเหมือนเหยารั่วฟาง อีกอย่าง…
เมื่อก่อนอินหมิงเยี่ยก็เคยไปเรือนข้างของซูหว่าน แม้ต่อมา อินหมิงเยี่ยแสดงให้เห็นว่า เขาเล็งซูหนิงที่อยู่ในเรือนของซูหว่านต่างหาก แต่ในใจของเหยาไป๋เซียนมั่นใจแต่แรกแล้วว่า ซูหว่านคือนางจิ้งจอกที่ชอบยั่วยวนคนโดยเฉพาะ ซึ่งตอนนั้นนางก็สงสัยแล้วว่า จริงๆ แล้วอินหมิงเยี่ยหลงรักซูหว่าน ตอนนี้พอซูหว่านป่วยตายไป อินหมิงเยี่ยแต่งกับเสวี่ยหลิงหลงที่หน้าตาเหมือนซูหว่านมาก ก็สมเหตุสมผลดี
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
พอรู้สึกถึงความหวาดกลัวของเหยารั่วฟางในพริบตานั้น อินเป่ยเกอที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลงตามจิตใต้สำนึก ก่อนถามเสียงต่ำไปประโยคหนึ่ง
“เปล่า ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่…ปวดหัวนิดหน่อย”
เหยารั่วฟางรู้ตัวว่าตนเองเสียมารยาทมาก จึงรีบนั่งลงอย่างประหม่า เย่ว์ซิ่วที่อยู่ข้างกาย ก็เรียกคนใช้ในห้องครัวมาเปลี่ยนตะเกียบใหม่ให้เหยารั่วฟาง
ขณะเดียวกัน ซูรุ่ยก็พยุงซูหว่านก้าวเข้ามา ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนเรียบร้อย
สามพี่น้องสกุลอินสูญเสียบิดามารดาแต่เด็ก จากคำที่ว่า พี่คนโตดุจบิดา วันแรกหลังจากทั้งสองแต่งงานกัน ย่อมต้องยกน้ำชาให้ท่านพี่และพี่สะใภ้ทุกท่าน
พ่อบ้านที่ยืนอยู่อีกด้านนำถ้วยน้ำชามาให้ซูหว่านถือไว้ในมือ ซูหว่านจึงก้าวไปข้างหน้า ยิ้มน้อยๆ ขณะจ้องมองอินซุ่นกับเหยาไป๋เซียน “พี่ใหญ่ ดื่มน้ำชา พี่สะใภ้ดื่มน้ำชา!”
“ดี”
อินซุ่นกับเหยาไป๋เซียนต่างรับถ้วยน้ำชามา เหยาไป๋เซียนยิ้มเรียบๆ ให้ซูหว่าน แล้วว่า “หลิงหลง ต่อไปเจ้าก็คือคนในสกุลอินเราแล้ว ขอให้เจ้ากับน้องสามมีชีวิตที่ดี ผลิดอกออกผลให้สกุลอินเราในเร็ววัน สกุลอินเราน่ะ ล้วนมีแต่เด็กผู้ชาย ในวันข้างหน้า ถ้าพวกเจ้ามีลูกสาว ก็จะเป็นสาวน้อยสุดที่รักของสกุลอินเราเลยล่ะ!”
ว่าพลาง เหยาไป๋เซียนก็ยกมือขึ้น หยิบกล่องสีเงินฝีมือประณีตมากล่องหนึ่งวางไว้ในมือซูหว่าน “นี่คือของเล็กๆ น้อยๆ จากใจของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ พี่สะใภ้!”
ซูหว่านเก็บของขวัญของเหยาไป๋เซียนขึ้น แล้วค่อยมาที่ข้างกายอินเฉิงมั่วกับปู้หนิงซาน “พี่รองดื่มน้ำชา พี่สะใภ้รองดื่มน้ำชา!”
“ได้ ดี ดี!”
อินเฉิงมั่วมองซูหว่านด้วยท่าทางพอใจยิ่ง อะแฮ่ม ใครใช้ให้ในมือคนเขามีนารีระบำที่งดงามเช่นนั้นเล่า
ปู้หนิงซานที่อยู่อีกด้านก็ให้ของขวัญซูหว่านมาหนึ่งชิ้นอย่างปีติยินดีเช่นเดียวกัน ดูไปแล้วยังล้ำค่ากว่าของเหยาไป๋เซียนเสียอีก ซึ่งความจริง หลายปีมานี้ปู้หนิงซานถูกเหยาไป๋เซียนข่มมาตลอด นางไม่พอใจมานาน ตอนนี้เมื่อซูหว่านแต่งเข้าบ้านสกุลอิน ปู้หนิงซานจึงรู้สึกว่าโอกาสของตนเองได้มาถึงแล้ว!
อาศัยหน้าตาของซูหว่าน เหยาไป๋เซียนย่อมหวาดกลัวและอยู่ห่างๆ นางแน่ จึงเป็นโอกาสดีที่ตนจะดึงน้องสามและภรรยามาเป็นพวกพอดี!
อาหารเช้าที่อุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่ง ครอบครัวใหญ่ที่ดูมีความสุขครอบครัวหนึ่ง แต่ความจริง คลื่นใต้น้ำได้ก่อความปั่นป่วนมานานแล้ว…
หลังอาหารเช้า ซูหว่านนั่งอยู่ในเรือนใหญ่สกุลอินได้ไม่ทันไร ซูรุ่ยก็กำชับคนให้ขับรถไปส่งซูหว่านที่หอหลิงหลง
ขณะนั้น หอหลิงหลงเพิ่งเปิดประตูดำเนินการ พอเห็นเจ้าหอมา คนในหอหลายคนก็รีบเข้ามาห้อมล้อม
ไป๋เยียนเสวี่ย เยี่ยนซิ่วอู่ ยังมีหัวเหยาหลาน สามสาวเปี่ยมเสน่ห์และศิลปะการแสดง ล้วนเป็นคนที่ซูหว่านกับซูรุ่ยใช้เงินก้อนโตชุบเลี้ยงมา
แน่นอน จุดประสงค์ที่ซูหว่านชุบเลี้ยงพวกนางมา มิได้ต้องการให้พวกนางทำกำไรให้หอหลิงหลงของตน จุดประสงค์ของตน ย่อมเป็นบ้านสกุลอิน
“ซิ่วอู่ อินเฉิงมั่วดูแลเจ้าดีไหม”
พอกลับถึงห้องหลักในหอหลิงหลง ซูหว่านก็นั่งลงบนโซฟาเก้าอี้ยาวแบบมีพนักพิงและที่เท้าแขนข้างหนึ่ง หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยเย็นชาทันที
“ท่านเจ้าหอ เรือนของอินเฉิงมั่วไม่ลึกซึ้ง ข้ามั่นใจว่าควบคุมเขาได้ แต่ปู้หนิงซานนั่น…”
“ปู้หนิงซานข้าจัดการเอง”
ซูหว่านยิ้มริมฝีปากโค้ง “หลังบ้านสกุลอินเป็นสนามรบของข้า สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือช่วยข้าจัดการพวกผู้ชายสกุลอิน!”
ว่าแล้วซูหว่านก็ชำเลืองมองไป๋เยียนเสวี่ย “เยียนเสวี่ย อีกสองสามวันท่านสามจะจัดให้เจ้าไปทำการแสดงในจวนนายพล จ้าต้องจำเอาไว้ว่า ท่านนายพลชอบผู้หญิงที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ เพียงให้ทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าเป็นนกน้อยที่ทั้งน่ารักทั้งเชื่องก็พอ”
“เจ้าค่ะ”
พอไป๋เยียนเสวี่ยได้ยินคำพูดของซูหว่าน ก็รีบผงกศีรษะอย่างนอบน้อม
และคราวนี้ซูหว่านก็ชำเลืองมองหัวเหยาหลาน ลูกคอของหัวเหยาหลานดีเป็นพิเศษ หน้าตาก็สะสวย นางจึงเป็นหนึ่งในไพ่ใบใหญ่ที่สุดของซูหว่าน
“ข้าให้เจ้าหัดร้องเพลงพื้นบ้านเพลงนั้น เจ้าหัดไปถึงไหนแล้ว”
“ท่านเจ้าหอ ข้าร้องได้แล้ว”
หัวเหยาหลานตอบอย่างมั่นใจ พอได้ยินคำตอบนี้ ซูหว่านก็ยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นก็ดี ระยะนี้เจ้าต้องดูแลกล่องเสียงของตัวเองให้ดี ข้าให้คนตัดชุดกระโปรงสีแดงให้เจ้าโดยเฉพาะชุดหนึ่ง อีกสักพัก ก็น่าจะได้ใช้แล้ว!”
…..
เรือนหลัก บ้านสกุลอิน
หลังกลับจากมื้อเช้า เหยารั่วฟางก็ว้าวุ่นใจอยู่ตลอด พอเห็นนางมีท่าทางใจลอยเป็นพักๆ อินเป่ยเกอก็โบกมือให้คนรับใช้ในห้องออกไปจนหมด
“รั่วฟาง”
“หือ”
พอได้ยินเสียงของอินเป่ยเกอ เหยารั่วฟางก็ค่อยๆ ได้สติ “เป่ยเกอ มีอะไรหรือ”
“รั่วฟาง ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า เกี่ยวกับ…พี่สะใภ้ใหญ่!”
อินเป่ยเกอจ้องจับใบหน้าเหยารั่วฟาง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาอันเฉียบคม “บอกข้าหน่อย พี่สะใภ้ใหญ่ตายอย่างไร”
“อา!”
พอเห็นว่าในที่สุดอินเป่ยเกอก็นึกถึงซูหว่านจนได้ เหยารั่วฟางก็ตกใจตาลุกวาว แต่ก็ฝืนตอบอย่างใจเย็น “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่นาง…ก็ป่วยตายอย่างไรเล่า นี่ นี่คนทั้งเมืองเหลียวเฉิงมีใครบ้างไม่รู้บ้าง!”
“หึ”
พอได้ยินคำตอบของเหยารั่วฟาง อินเป่ยเกอก็ยิ้มเย็นชา “ในเมื่อคนทั้งเมืองเหลียวเฉิงรู้ ทำไมพวกเจ้าต้องคอยปกปิดข้าด้วย ยังมี เจ้าเพิ่งเห็นท่านอาสะใภ้สามเป็นครั้งแรก ทำไมถึงตกใจและหวาดกลัวขนาดนั้น เหยารั่วฟาง เจ้ากำลัง…กลัวอะไรอยู่”
อินเป่ยเกอพูดพลางก้าวเข้าหาเหยารั่วฟางทีละก้าว บีบให้นางจนมุม
นางมองดวงตาอันเย็นชา ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อยของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นี้ เคยทำให้นางหลงใหลได้ปลื้ม แต่ดวงตาคู่นี้ ก็ทำให้หัวใจนางด้านชาและสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นเดียวกัน
หึ หึๆ
เหยารั่วฟางพลันหัวเราะเย็นชาออกมา
นางพลันไม่รู้สึกหวาดกลัวเช่นนั้นแล้ว
“อินเป่ยเกอ ท่านถามว่าข้ากำลังหวาดกลัวอะไรใช่ไหม ข้ายังมีอะไรที่ต้องหวาดกลัวอีกเล่า ทำไมท่านแม่ถึงต้องให้ทุกคนปกปิดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่รู้หรือจริงๆ หรือ หึ จริงสิ ท่านสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ท่านลืมไปแล้วว่า ตอนแรกท่านพยายามขืนใจพี่สะใภ้อย่างไร แต่ที่สุดแล้วกลับทำร้ายพี่ชายตัวเองตายโดยไม่ได้ตั้งใจ!”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
พอได้ยินคำพูดของเหยารั่วฟาง อินเป่ยเกอก็หน้าเปลี่ยนสีทันที เขายกมือขึ้นจับเสื้อของเหยารั่วฟางแน่น
“เจ้าโกหก!”
“ข้าเปล่า!”
ดวงตาทั้งสองข้างของเหยารั่วฟางจับจ้องใบหน้าอินเป่ยเกอ
“อินเป่ยเกอ ท่านลืมแล้วจริงๆ หรือ ท่านจงใจ จงใจลืมใช่ไหม ท่านนึกว่าท่านลืมแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ตายไปแล้ว พวกเขาเป็นเนื้อคู่กัน ส่วนท่าน…ไม่ได้อะไรเลยตลอดกาล ไม่ได้คนคนนั้น และไม่ได้หัวใจดวงนั้นด้วย!”
พอเห็นอินเป่ยเกอที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาบิดเบี้ยวเพราะเจ็บปวดและมึนงงเหลือเกิน เหยารั่วฟางพลันรู้สึกสะใจขึ้นมา…
เพราะอะไร ต้องให้ข้าเจ็บปวดเพียงคนเดียวด้วย
หึ ข้าไม่ได้ใจท่านแล้วอย่างไร อย่างน้อยข้าก็เป็นภรรยาท่านตามประเพณี เป็นฮูหยินที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่าน แต่ท่าน อินเป่ยเกอ ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางได้ผู้หญิงที่ตายไปแล้วอีก…
ท่านว่า ข้ากับท่าน ใครน่าสงสารกว่ากันเล่า