ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 15 อนุภรรยาขุนศึก (15)
พริบตาเดียวก็สิ้นเดือนแล้ว
ได้เวลาจัดการแสดงในทุกๆ สิ้นเดือนของหอหลิงหลงพอดี นี่เป็นช่วงที่หอหลิงหลงคึกคักที่สุดในแต่ละเดือน โดยเช้านี้ เพิ่งเปิดประตู ก็มีแขกประจำมากมายทยอยกันเข้ามาแล้ว
อินเป่ยเกอย่อมจำวันเวลาที่ซูหว่านบอกตนได้ เพียงแต่พอเขาเดินมาถึงปากทาง ก็ลังเลใจอยู่บ้าง หมู่นี้เหยาไป๋เซียนกำลังวางแผนแต่งอนุให้เขา บอกตามตรง อินเป่ยเกอต่อต้านเรื่องการแต่งอนุมาก และเพราะความทรงจำยังฟื้นคืนมาไม่หมด เขาจึงไม่รู้สึกผูกพันแบบแม่ลูกกับเหยาไป๋เซียนดังเดิม สองสามวันมานี้ จึงอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
พอเห็นหน้าประตูหอหลิงหลงดุจเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน อินเป่ยเกอก็ชะงักฝีเท้า
ในหัวกลับปรากฏใบหน้าของเสวี่ยหลิงหลงขึ้นวาบ เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากจริงๆ ใจเขาแค่คิดถึง ก็รู้สึกปวดแปลบไม่หยุด…
ซูหว่าน
ที่ผ่านมา เราพบเจออะไรกันแน่
ท่านตายอย่างไร
ทำไมยังคงมีบางอย่าง ที่ข้านึกไม่ออก…
ขณะที่อินเป่ยเกอหยุดยืน คิดสะระตะมากมายอยู่นั้น พลันมีท่วงทำนองที่คุ้ยเคยเอามากๆ ท่อนหนึ่งลอยออกมาจากหอหลิงหลง…
ลมพัดเอื่อย เมฆเคลื่อนลอย
คลื่นทะเลม้วนตามแรงลม
ท่านพ่อไปจับปลา ไม่กลับบ้านสักที ท่านแม่ที่อยู่บนฝั่งเฝ้าคิดถึง…
เสียงสวยใสไพเราะเสนาะหู คล้ายดังมาจากที่ที่ไกลแสนไกล ข้ามห้วงวันเวลาเข้ามา ล่องลอยอยู่ข้างหูของอินเป่ยเกออีกครั้ง
ใช่แล้ว!
สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที ก่อนพุ่งไปยังทิศที่เสียงดังมาอย่างรวดเร็วปานสายลมอย่างไรอย่างนั้น
บนเวทีใหญ่ชั้นล่างของหอหลิงหลง หัวเหยาหลานในชุดกระโปรงแดงกำลังขยับท่าทาง ผมดำยาวประบ่าพลิ้วไหวเบาๆ ตามการเคลื่อนไหวของนาง…
ท่านพ่อง่วนจับปลา ท่านแม่คิดถึงมาก
น้องสาวนั่งบนเรือ โคลงไปโคลงมา…
“แฮ่ก” “แฮ่ก!”
ตอนที่อินเป่ยเกอวิ่งหอบแฮ่กๆ มาถึงโถงใหญ่หอหลิงหลงนั้น เสียงร้องของหัวเหยาหลานก็เข้าสู่ช่วงท้ายพอดี
“เยี่ยม!”
“เยี่ยม!”
เสียงหวีดและเสียงชื่นชมดังขึ้นจากทุกทิศทุกทางในโถงใหญ่ หัวเหยาหลานในชุดแดงได้แต่แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทุกๆ คน นางกวาดตามองไปในกลุ่มคน ตอนหยุดอยู่ที่อินเป่ยเกอ คล้ายอึ้งไปสักพัก แล้วจึงผงกศีรษะให้ตามมารยาท
อินเป่ยเกอในตอนนี้ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน ชั่วขณะหนึ่ง เขายังนึกว่าตนเองจะได้เห็นซูหว่านอีกครั้ง
เสียงร้องเหมือนมาก รอยยิ้มเหมือนมาก กระทั่งชุดกระโปรงแดงที่นางใส่ ก็เหมือนในวันที่พวกเขาพบเจอกันเป็นอย่างยิ่ง…
“เจ้าหอเสวี่ย เปิดราคามาเลย! แม่นางเหยาหลาน ข้าเหมาแล้ว!”
พลันมีเสียงทุ้มต่ำดังมาจากกลุ่มคน ผู้พูดคือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในเมืองเหลียวเฉิง มั่งคั่งร่ำรวย พูดพลางเชิดหน้ายืดอก
“หึ”
พอได้ยินคำพูดเชยๆ แบบนี้ ซูหว่ากับซูรุ่ยที่นั่งอยู่บนชั้นสองก็หันมาสบตากันแล้วหัวเราะ
“เถ้าแก่หวง หอหลิงหลงเราเป็นสโมสรบันเทิงตามกฎหมาย ไม่ขายร่างกายนะ!”
“อ้อ?”
ได้ยินเช่นนี้ เถ้าแก่หวงผู้มั่งคั่งก็ทำหน้าเหยียดๆ พลางยกมือขึ้น “หนึ่งหมื่นต้าหยาง!”
หนึ่งหมื่น!
แม้แขกที่มาวันนี้ล้วนเป็นคนมีเงิน แต่ผู้ที่ใจกว้าง สะบัดแขนทีเดียวให้หนึ่งหมื่นต้าหยางอย่างเขา มีน้อยมากจริงๆ
“เถ้าแก่หวง ท่านรู้สึกว่าสกุลอินเราขาดเงินหนึ่งหมื่นต้าหยางหรือ”
คราวนี้ ซูรุ่ยยิ้มเยาะให้เถ้าแก่หวง “ข้าได้ยินมาว่า ล่าสุดเถ้าแก่หวงเพิ่งแต่งอนุคนที่แปดไป ข้าให้ท่านสามหมื่นต้าหยาง ท่านยอมขายอนุของท่านให้ข้าหรือเปล่าล่ะ”
“เฮอะ”
เถ้าแก่หวงทำหน้าเย็นชา “ท่านสาม แม้พูดได้ว่าเมืองเหลียวเฉิงเป็นของสกุลอิน แต่นั่นหมายถึงนายพลอิน ข้าขอแนะนำท่านว่า เป็นคนน่ะ สำรวมหน่อยเป็นดี อย่าสร้างปัญหาที่ไม่ควรเกิดแก่ท่านนายพลเลย ข้าให้สองหมื่นต้าหยาง!”
สองหมื่น!
ซูรุ่ยไม่พูด เพียงหรี่ตามองเถ้าแก่หวงที่อยู่ชั้นล่าง ท่านผู้นี้คือปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ตนกับซูหว่านใช้เวลานานโขอยู่เช่นกัน ถึงทำให้เขาติดเบ็ดได้ ตอนนี้ก็รอดูอินเป่ยเกอแล้วว่า จะทำได้ตามเป้าหรือไม่…
“สามหมื่น!”
เสียงใสเย็นของชายคนหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้น ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน อินเป่ยเกอค่อยๆ ก้าวไปยังด้านหน้าของเวที
นายพลน้อย!
คนเมืองเหลียวเฉิงไม่มีใครไม่รู้จักนายพลน้อย พอเห็นนายพลน้อยก้าวออกมา คนอื่นๆ ก็รีบเงียบเสียง
ส่วนเถ้าแก่หวงนั้น มองหน้าอินเป่ยเกออย่างไม่เป็นมิตร “นายพลน้อย นี่ท่านจะงัดข้อกับข้าจนถึงที่สุดใช่ไหม”
แม้เขา หวงเชิน เป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง แต่น้องสาวเขากลับได้แต่งเข้าจวนผู้ว่าในเมืองหลวง เป็นฮูหยินสามของท่านผู้ว่า ถ้าพูดถึงเบื้องหลังแล้ว หวงเชินไม่กลัวคนสกุลอินจริงๆ
งัดข้อจนถึงที่สุด?
พอได้ยินคำพูดของหวงเชิน อินเป่ยเกอก็เพียงหัวเราะเย็นชาอย่างดูหมิ่น คนที่สูญเสียความทรงจำอย่างเขาล้วนไม่รู้ว่าหวงเชินที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครมาจากไหน เขาแค่อยากปกป้องผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังตามจิตใต้สำนึก
“นางเป็นคนของข้าผู้เป็นนายพลน้อย ใครกล้าแตะต้องนาง ข้าจะยิงมันตายในนัดเดียว!”
อินเป่ยเกอพูดพลางไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยที่จะล้วงปืนพกของตนออกมา เล็งไปที่หน้าอกหวงเชิน...
“อา!”
“สวรรค์!”
“นายพลน้อยเท่มาก!”
โถงใหญ่ชั้นล่างเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ พอซูหว่านที่อยู่ชั้นบนเห็นเหตุการณ์ชั้นล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซูรุ่ย “นี่ ท่านสาม เห็นไหมว่านายพลน้อยบ้านเราเท่ขนาดไหน! แทบจะแย่งซีนคุณไปหมดแล้ว!”
ซูรุ่ย…
เรื่องการแสดงความรัก ใครไม่เป็นบ้าง แม่ทัพซูเพียงแต่ไร้โอกาสเช่นนี้ชั่วคราวเท่านั้น ฮึ
เมื่อเห็นอินเป่ยเกอไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยในการชักปืนออกมา สีหน้าของหวงเชินก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก สุดท้ายจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ แล้วว่า “นายพลน้อยเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนจริงๆ เลย! ข้าล้อคุณเล่นน่ะ ไยท่านต้องจริงจังด้วย ใครไม่รู้บ้างว่า นายหญิงสามของพวกท่านเป็นเจ้าของหอหลิงหลง คนในหอนี้ก็ล้วนเป็นคนของนายพลน้อยมิใช่หรือ!”
พอเห็นว่าหวงเชินเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วถึงเพียงนี้ อินเป่ยเกอก็เก็บปืนกลับเข้าที่เดิม จากนั้นค่อยหันไปมองหัวเหยาหลานอย่างห่วงใย “แม่นาง ไม่เป็นไรนะ”
หัวเหยาหลานค่อยๆ ถอนสายบัวให้อินเป่ยเกอ “เหยาหลานไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณนายพลน้อยที่จัดการให้!”
…..
เพียงแค่ช่วงเช้า ข่าววีรบุรุษช่วยสาวงามในหอหลิงหลงของนายพลน้อยก็แพร่ไปถึงเรือนใหญ่สกุลอิน พอรู้ว่าลูกชายตนชมชอบคนในหอหลิงหลง เหยาไป๋เซียนก็อึ้งไปเหมือนกัน ดีที่เสียงร่ำลือและชื่อชั้นของหอหลิงหลงในเมืองเหลียวเฉิงล้วนไม่เลว การอุ้มนางรำเข้าจวนสกุลอินมาเป็นอนุ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นมีคุณสมบัติเช่นไร
ขณะลังเลใจ เหยาไป๋เซียนก็สั่งเจินหลานให้ส่งคนไปหาซูรุ่ย ชักชวนพวกเขาสองคนให้กลับมาทานอาหารที่บ้านในคืนนี้
ซูหว่านกับซูรุ่ยที่ได้รับการชักชวน ย่อมรู้ความคิดของเหยาไป๋เซียน ซึ่งทั้งสองก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว รับรองว่าเหยาไป๋เซียนต้องพอใจแน่
ค่ำคืน เรือนใหญ่บ้านสกุลอิน
หลังอาหารค่ำ เหยาไป๋เซียนก็เรียกซูหว่านให้มาพบตนเองเป็นการส่วนตัวในเรือน ย่อมถามเรื่องของหัวเหยาหลานตามคาด
ซูหว่านเตรียมไว้แต่แรก จึงเล่าเรื่องราวบางส่วนของหัวเหยาหลานให้เหยาไป๋เซียนฟัง พอได้ยินว่าทางบ้านของนางประกอบอาชีพสุจริต และนางก็ยังดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนพู่กันเป็น เก่งไปเสียทุกอย่าง เหยาไป๋เซียนก็พออกพอใจในทันที
“หลิงหลง เจ้าเห็นว่าเป่ยเกอเขา…”
“พี่สะใภ้ ข้าเข้าใจความหมายของพี่ เหยาหลานของเราชื่นชมนายพลน้อยมาก! ขอเพียงพี่สะใภ้เห็นด้วย ก็จัดงานมงคลให้พวกเขาได้ทุกเมื่อ!”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน เหยาไป๋เซียนก็หัวเราะอย่างปีติยินดีทันที
“ดีๆๆ ข้าจะเรียกคนให้เตรียมการเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
ครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่ซูหว่านกับเหยาไป๋เซียนอยู่กันอย่างปรองดองมากที่สุดแล้ว และเป็นเฉพาะครั้งนี้เท่านั้น
พอออกจากเรือนของเหยาไป๋เซียน และเห็นบริเวณประตูเรือนว่างเปล่า แววตาของซูหว่านก็เปลี่ยนทันที
ซูรุ่ยล่ะ
ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เขาไม่มีทางจากไปแน่ หรือว่า…
“ซูหว่าน!”
ขณะนั้น ในราตรีอันมืดมิด พลันมีร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวมาทางซูหว่านทีละก้าว พร้อมกับความรู้สึกกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออก
อิน เป่ย เกอ!