ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 16 อนุภรรยาขุนศึก (16)
“ซูหว่าน”
อินเป่ยเกอเรียกชื่อซูหว่านอีกครั้ง ตอนนี้ร่างทั้งร่างของเขาได้มาถึงตรงหน้าซูหว่านแล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลา มีเหลี่ยมมุมชัดเจน มาพร้อมกับอารมณ์ซับซ้อนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เป่ยเกอ?”
ซูหว่านจ้องมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจเย็น ก่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เจ้า กำลังเรียกข้าอยู่หรือ เจ้าเป็นไรไป เจ้าไม่…”
ซูหว่านยังไม่ทันพูดจบ ตลอดทั้งร่างก็ถูกอินเป่ยเกอบีบจนชิดติดกำแพง เขายกมือขึ้นจับข้อมือขวาของนาง แล้วเลิกแขนเสื้อนางขึ้นอย่างไม่ลังเลใจ บนแขนขาวๆ ของซูหว่านมีรอยแผลเป็นเล็กๆ อยู่หนึ่งรอย แต่กลับหนีไม่พ้นสายตาอันเฉียบคมและจริงจังของอินเป่ยเกอ
“หึ”
“หึๆ”
อินเป่ยเกอพลันหัวเราะขึ้นมาขณะจ้องมองรอยแผลเป็นนั้น หัวเราะพลางน้ำตาหยดลงจากหางตาทีละหยด
“เสี่ยวหว่าน ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดีจริงๆ”
ว่าพลางอินเป่ยเกอก็คลายมือออกจากข้อมือของซูหว่านตามจิตใต้สำนึก แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้น คิดกอดนาง เหมือนคืนที่เขาฝันถึงนางนับครั้งไม่ถ้วนแบบนั้น…
กอดนางไว้แน่น แล้วบอกนางว่า เขารักนาง เขาขาดนางไม่ได้
ลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่าน อินเป่ยเกอตาลายวูบ พริบตานั้น เขาเห็นร่างของอินหมิงเยี่ย
“เป่ยเกอ เจ้าคิดทำอะไรน่ะ”
ซูรุ่ยกึ่งโอบซูหว่านไว้ พลางเลิกคิ้วน้อยๆ จ้องมองอินเป่ยเกออย่างเย็นชา
“ท่านอาสาม”
พอเห็นซูรุ่ยกลับมาเร็วเกินคาดเช่นนี้ อินเป่ยเกอก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็รีบหลุบตาลง “ท่านอาสาม ท่านเป็นคนทำ ท่านเป็นคนช่วยเสี่ยวหว่านไว้ ใช่ไหม”
“หึ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”
ซูรุ่ยโอบแขนของซูหว่านไว้แน่น พลางประกาศศักดาของตนเองกับอินเป่ยเกอ “นี่คือเสวี่ยหลิงหลงภรรยาของข้า ซูหว่านน่ะตายไปแล้ว แม้หลิงหลงกับนางหน้าคล้ายกันมาก แต่…”
“อย่าหลอกข้าอีกเลย!”
พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย อินเป่ยเกอก็ค่อนข้างควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดตัดบททันที “แผลเป็นบนมือนาง เกิดจากการที่นางช่วยชีวิตข้าไว้ตอนเรียนอยู่ต่างแดน แผลเป็นนั่นข้าไม่มีวันลืมชั่วชีวิต อีกอย่าง…”
น้ำเสียงของอินเป่ยเกอค่อยๆ เคร่งขรึมลง “ข้าเพิ่งกลับจากสุสานสกุลอิน ในโลงศพของซูหว่าน ไม่มีศพแต่อย่างใด มีแค่เสื้อผ้ากับก้อนหิน!”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเกอ ซูรุ่ยก็ยิ้มเย็นชา “แล้วอย่างไร ต่อให้เจ้ามีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่สามารถพิสูจน์ได้ว่านางคือซูหว่าน แล้วอย่างไร ข้ามีทะเบียนสมรส ข้ากับนางเคยไหว้ฟ้าดิน เคยเข้าห้องหอด้วยกัน นางคือภรรยยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของข้า อินเป่ยเกอ อย่าบอกนะว่า แม้แต่อาสะใภ้สามเจ้าก็คิดจะแย่ง”
อินเป่ยเกอเงียบ สายตาจ้องจับใบหน้าซูหว่านอีกครั้ง “ซูหว่าน บอกข้าหน่อยว่าทำไม ทำไมท่านถึงต้องแกล้งตาย ทำไมถึงต้องแต่งกับอาสาม ทำไมท่านถึงไม่รู้จักข้า”
“คำพูดของนายพลน้อย ข้าเข้าใจแล้ว แต่กระทั่งคำว่าอยู่ด้วยกัน หมายความว่าอะไรข้าก็ไม่รู้จริงๆ”
ซูหว่านจ้องมองอินเป่ยเกอที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉยเมย จากนั้นก็รู้สึกว่าใบหน้าที่ซีดขาวกำลังพยุงหน้าผากของตนอยู่ “หมิงเยี่ย ข้าปวดหัวจัง กลับเรือนเรากันเถอะ”
ว่าพลาง ร่างของซูหว่านก็พิงลงในอ้อมอกของซูรุ่ย
“ตกลง ภรรยา กลับเรือนเรากัน!”
ซูรุ่ยลูบผมสลวยของซูหว่านอย่างอ่อนโยน ก่อนชำเลืองมองอินเป่ยเกอ
“เราจะกลับเรือนแล้ว เป่ยเกอ เรื่องในครั้งนี้ ข้าจะไม่ถือสาหาความเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะจำไว้เสมอว่า ผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงของข้า อินหมิงเยี่ย นางเป็นอาของเจ้า!”
พูดจบ ซูรุ่ยก็หันกายโอบซูหว่านเดินจากไป ขณะมองดูแผ่นหลังของทั้งสองค่อยๆ จากไปไกล อินเป่ยเกอก็กำหมัดแน่น แล้วชกลงบนกำแพงอิฐสีเขียวด้านข้างอย่างแรง ทิ้งคราบโลหิตส่วนหนึ่งไว้บนกำแพง
“นายพลน้อย…”
ร่างหนึ่งวาบออกมาด้วยความกังวลใจ พอเห็นหลังมือของอินเป่ยเกอเลือดไหล เจ้าของร่างก็รีบพูดอย่างกระวนกระวาย “นายพลน้อย อย่าเพิ่งขยับ บ่าวจะไปหาผ้าพันแผลมาพันให้”
“หึ เห็นจนพอแล้ว ฟังจนพอแล้ว ตอนนี้ยอมออกมาแล้วรึ”
อินเป่ยเกอมองดูการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเจินหลาน ก่อนจ้องตานางอย่างดุดัน “เจ้าควรรีบกลับไปรายงานให้ท่านแม่ข้าฟังไม่ใช่รึ”
“บ่าว…เอ่อ…”
เจินหลานยังไม่ทันโต้ตอบ ร่างทั้งร่างก็ถูกอินเป่ยเกอกดไว้ด้วยการบีบคอ ร่างผอมบางที่ถูกกดติดกำแพง ค่อยๆ ถูกยกขึ้น เจินหลานหายใจลำบาก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงจางๆ
“พูด เจ้ารู้อะไรบ้าง! อาการป่วยของซูหว่านเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“ข้า…ไม่…ไม่รู้…”
เจินหลานตอบอย่างยากเย็น เสียงขาดๆ หายๆ
นางไม่กล้าพูด พูดไม่ได้ เพราะถ้าไม่พูด ยังพอมีหวังรอดชีวิต แต่ถ้าพูดแล้ว ดูจากวิธีการของฮูหยินใหญ่ ต้องฆ่านางให้ตายในเร็ววันแน่
พอเห็นว่าอย่างไรเจินหลานก็ไม่ยอมเปิดปาก อินเป่ยเกอจึงเพิ่มแรงอย่างอดไม่ได้ “พูดไม่พูด?”
สติของเจินหลานเริ่มหลุดลอย แต่ยังส่ายศีรษะตามสัญชาตญาณ
นางกำลังเดิมพัน เดิมพันว่าอินเป่ยเกอมีความเป็นคนมากกว่าเหยาไป๋เซียน
เสียง กึก ร่างของเจินหลานถูกปล่อยให้หล่นลงบนพื้น นางอ้าปากกว้างๆ หายใจ รอดตายจนได้ ตอนนี้ แผ่นหลังของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ
“อย่าบอกเรื่องในคืนนี้กับใครเป็นอันขาด มิฉะนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้า”
อินเป่ยเกอทิ้งท้ายประโยคนี้ไว้ ก่อนหันกายจากไปอย่างเย็นชา
ขณะมองตามร่างเขาไป เจินหลานก็ลูบคอตนเองโดยไม่รู้ตัว…
นายพลน้อยฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
แต่…เสวี่ยหลิงหลงคือซูหว่านหรือ นางยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน ท่านสามรู้อะไรบ้างกันแน่
พริบตาเดียว ในหัวของเจินหลานก็มีคำถามผุดขึ้นมากมาย
“พี่เจินหลาน! พี่เจินหลาน! ฮูหยินเรียกพี่น่ะ!”
เสียงดังมาจากในเรือน เจินหลานรีบลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามตัวพลางดึงเสื้อผ้าให้เข้าที่ นางต้องจัดการปิดรอยแดงที่คอตนเองด้วย เรื่องในคืนนี้ ต่อให้อินเป่ยเกอไม่ตักเตือนนาง นางก็ไม่มีทางพูดแม้สักคำอยู่แล้ว
……
อินเป่ยเกอฟื้นคืนความทรงจำแล้วจริงๆ
ตอนอยู่ในหอหลิงหลง หัวเหยาหลานทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่ตนพบกับซูหว่าน หลังออกจากหอหลิงหลง เขาก็ไปที่สุสานสกุลอินโดยไม่รู้ตัว และนั่งอยู่หน้าหลุมฝังศพของซูหว่านกับอินเป่ยเย่ว์เนิ่นนาน…
‘ข้ายังมีความปรารถนาสุดท้าย…หลังจากข้าไปแล้ว ฝังข้า ฝังศพข้าไว้ข้างๆ เป่ยเย่ว์นะ ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเขา นี่เป็น…สิ่งที่ข้า…ติดค้าง…เขา’
อินเป่ยเกอพลันนึกขึ้นได้ถึงความปรารถนาสุดท้ายของซูหว่าน ยังมี…
ถุงผ้าแพร!
ถุงผ้าแพรใบนั้น!
อินเป่ยเกอนึกถึงถุงผ้าแพรที่อยู่ในช่องเก็บของซึ่งเย็บติดกับเสื้อชั้นในของตน ตอนเดินทางไปยังที่ต่างๆ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าจนหมด ตอนนั้นเขาจำอะไรไม่ได้เลย แต่สัญชาตญาณทำให้รู้สึกว่าถุงผ้าแพรใบนั้นสำคัญมาก จึงยังคงเก็บติดตัวไว้
อินเป่ยเกอล้วงถุงผ้าแพรออกจากอกเสื้อตนเอง แล้วเปิดออกดู ในนั้นมีผงคล้ายผงหอมอยู่ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะแช่อยู่ในน้ำทะเล จึงไม่มีกลิ่นหอมอย่างตอนแรก แต่ในผงเหล่านั้น กลับมีเส้นผมสีดำที่ใช้ด้ายสีแดงพันไว้มัดหนึ่ง
นี่คือเส้นผมของซูหว่าน
มอบเส้นผมให้บุรุษ ไม่พรากจากกันตลอดไป! พริบตานั้น อินเป่ยเกอพลันนึกขึ้นได้ทุกสิ่งอย่าง ความทรงจำทั้งหมดประเดประดังเข้ามาในหัวของเขา คนทั้งสองรู้จักกัน สัญญากัน ความบังเอิญที่ผิดพลาด การเข้าใจผิดของตน ความตายของพี่ใหญ่ อาการป่วยของซูหว่าน…ทั้งหมดทั้งมวลวาบผ่านหัวสมองของเขาดุจฉากในภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายภาพที่ค้างอยู่ตรงหน้า ก็คือใบหน้าเสวี่ยหลิงหลง
ซูหว่าน
อินเป่ยเกอคิดว่าเขาคุ้นเคยและเข้าใจซูหว่านดีพอ จึงไม่มีทางจำลมหายใจของนางผิดแน่ ถ้าเสวี่ยหลิงหลงคือซูหว่าน แล้วในหลุมฝังศพฝังใครไว้
พอนึกถึงตรงนี้ แววตาของอินเป่ยเกอก็เครียดลงทันที เขารู้ว่าตนเองบ้าไปแล้ว แต่นาทีนั้น เขาไม่อยากคิดอะไรจริงๆ แค่อยากรีบพิสูจน์ว่า ซูหว่านยังมีชีวิตอยู่ นางต้องมีชีวิตอยู่แน่ๆ และแล้ว อินเป่ยเกอก็ขุดหลุมฝังศพของซูหว่าน
นี่อาจเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำมาก็เป็นได้ ทว่า นาทีที่เห็นก้อนหินในโลงศพ อินเป่ยเกอก็ไม่สนใจว่าเนื้อตัวเลอะดินไปทั่ว หัวเราะลั่นอยู่ข้างโลงศพอย่างสะใจ…
ซูหว่าน ครั้งนี้ ข้าจะไม่ยอมคลาดจากท่านอีกเด็ดขาด