ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 20 อนุภรรยาขุนศึก (20)
แม้ว่าได้ ‘สำเร็จโทษตาย’ กวนหลีไปแล้ว แต่คืนนี้ เรือนใหญ่สกุลอินก็ยังไม่สงบ
ในห้องของเหยารั่วฟาง…
“คุกเข่า!”
หลังจากกำชับให้เจินหลานปิดประตูห้องให้สนิท เหยาไป๋เซียนก็ทำหน้าขรึมพลางตะโกนดุอย่างเย็นชา ทำให้เหยารั่วฟางกับเย่ว์ซิ่วที่อยู่ในห้องล้วนหน้าซีดเผือด
พอได้ยินคำสั่งของเหยาไป๋เซียน เย่ว์ซิ่วก็รีบคุกเข่าลงทั้งๆ ที่ตัวสั่น ส่วนเหยารั่วฟางกลับมองเหยาไป๋เซียนด้วยดวงตาอันแดงก่ำอย่างน่าสงสาร
“ท่านแม่! ท่านป้า! รั่วฟาง…รั่วฟางผิดไปแล้ว!”
พอเห็นว่าเหยารั่วฟางไม่ยอมคุกเข่า เหยาไป๋เซียนก็เงื้อมือขึ้นสูง เพี้ยะ เสียงมือตบใส่ใบหน้าของเหยารั่วฟาง
เหยารั่วฟางจับแก้มที่เริ่มเจ็บของตนเอง พลางมองเหยาไป๋เซียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “ท่านป้า ท่านตีหลาน หลานทำผิดอะไร”
“ถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่า ตัวเองผิดตรงไหน”
พอได้ยินคำพูดของเหยารั่วฟาง สีหน้าของเหยาไป๋เซียนก็ยิ่งเย็นชาลง “ปกติไม่ว่าเจ้าจะมีท่าทีหึงหวง หรือโมโหร้าย ข้าก็ล้วนทนเจ้าได้ เดิมทีข้าเตรียมจะมอบหลังบ้านสกุลอินให้เจ้าเป็นคนจัดการ แต่เจ้าล่ะ กำลังทำอะไรอยู่ ถึงขนาดกล้าทำร้ายทายาทสกุลอิน!”
กับความโง่เขลาของเหยารั่วฟาง เหยาไป๋เซียนพูดไม่ออกจริงๆ
“ที่หลานทำแบบนี้ ก็หัดมาจากท่านป้านั่นล่ะ!”
พอได้ยินคำตำหนิของเหยาไป๋เซียน เหยารั่วฟางก็ปล่อยมือตนเองลง แล้วยิ้มเย็นชา “ตอนนั้นท่านป้ามิได้ทำกับเหล่าอนุในจวนเช่นนี้หรอกหรือ ในเมื่อท่านป้าทำได้ ทำไมหลานจะทำไม่ได้ อีกอย่างเรื่องวางยานี่ ท่านป้าถนัดเป็นที่สุดมิใช่หรือ นอกจากอนุในจวนเหล่านั้นแล้ว ยังมีซูหว่าน ซูหว่านนาง…”
ปัง ประตูห้องที่ปิดสนิท ตอนนี้ถูกคนถีบออกอย่างแรง ในความมืดยามค่ำคืน ใบหน้าอันหมองหม่นของอินเป่ยเกอ คล้ายรองรับน้ำตาที่หยดลงมาได้ทุกเมื่อ “เหยารั่วฟาง เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร พูดอีกทีซิ”
“เป่ยเกอ!”
พอเห็นอินเป่ยเกอปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน เหยารั่วฟางก็มึนงงไปหมด และในตอนนี้เอง เหยาไป๋เซียนก็กะพริบตา แล้วรีบยกมือขึ้นตบหน้าเหยารั่วฟางอีกฉาด “นางสารเลว! รู้ตัวว่าผิดแล้วไม่แก้ก็ช่าง! แต่ยังกล้าพูดจาเลอะเทอะอีก!”
“หลานพูดจาเลอะเทอะ?”
เหยารั่วฟางหรี่ตา พร้อมแก้มอันบวมแดง จ้องมองเหยาไป๋เซียน “ท่านป้า ไม่สิ หลานควรเรียกว่าท่านแม่ถึงจะถูก ตั้งแต่หลานแต่งเข้าบ้านสกุลอินวันนั้น หลานก็น่าจะเข้าใจแล้วว่า ท่านเพียงแต่ไม่อยากให้บ้านสกุลอินตกอยู่ในมือของคนอื่น จึงวางแผนสารพัด ให้เป่ยเกอแต่งกับหลาน แย่ที่หลานในตอนนั้นนึกว่าท่านเอ็นดูหลานมาก! เหยาไป๋เซียน ท่านเห็นแก่ตัวมากจริงๆ!”
“หุบปาก!”
พอเห็นเหยารั่วฟางกล้าเรียกชื่อตนเองตรงๆ เช่นนี้ เหยาไป๋เซียนก็ถลึงตามอง แล้วเงื้อมือขึ้นตบอีก แต่เหยารั่วฟางกลับหลบเลี่ยงได้ “ตอนนี้ในเมื่อเป่ยเกอได้ยินหมดแล้ว หลานก็จะพูดให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย!”
เหยารั่วฟางจ้องมองอินเป่ยเกอที่หน้าประตู สีหน้าท่าทางดูแปลกๆ อยู่บ้าง “เป่ยเกอ ท่านรู้ไหมว่า ท่านป้าไม่ได้อยากให้ท่านแต่งซูหว่านเข้าบ้านตั้งแต่แรก พอตอบรับการแต่งงานของพวกท่าน นางก็วางแผนจัดการซูหว่านมาตลอด นางจงใจให้ท่านลุงย้ายท่านไป จากนั้นก็แอบเปลี่ยนตัวเจ้าสาวในพิธีแต่งงาน แล้วจะจับกุมคนบ้านสกุลซู กระทั่ง พี่เป่ยเย่ว์ก็ถูกท่านป้าหลอกใช้มาตลอด ต่อมาพอพี่เป่ยเย่ว์ตายไป ท่านป้าก็จัดการคิดบัญชีทั้งหมดกับซูหว่าน นางอยากฝังซูหว่าน ให้อยู่เป็นเพื่อนลูกชายตนเอง จึงใส่ยาพิษที่ออกฤทธิ์ทีละนิดลงไปในอาหารของซูหว่าน กระทั่งหมอทุกคนในจวนก็ถูกนางซื้อตัวไว้หมด…”
“ท่านแม่”
พอได้ยินคำพูดของเหยารั่วฟาง ร่างของอินเป่ยเกอก็ซวนเซ จ้องมองเหยาไป๋เซียนที่อยู่ในห้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านแม่ ที่รั่วฟางพูด ล้วนเป็นความจริงหรือ”
เมื่อนึกถึงการคลาดกันของตนกับซูหว่าน นึกถึงการตายของพี่ใหญ่ และนึกถึงความเจ็บปวดของซูหว่านในวันเวลาที่ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียง หัวใจของอินเป่ยเกอก็ปวดแปลบขึ้นมา
“ท่านแม่ ทำไมถึงได้ใจร้ายแบบนี้ ผมกับพี่ใหญ่ล้วนเป็นลูกของแม่นะ! หรือแม่ไม่เคยนึกถึงความสุขของพวกเราเลย”
“ความสุข?”
เหยาไป๋เซียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชา “ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ซูหว่านเป็นผู้หญิงใจง่าย แม่ไม่ยอมให้เจ้าแต่งนางเข้าบ้าน เพราะหวังดีกับเจ้า! ทุกอย่างที่แม่ทำ ล้วนเพื่อพวกเจ้า เพื่อบ้านสกุลอิน”
“ไม่”
อินเป่ยเกอค่อยๆ ก้าวถอยหลัง แววตาที่มองเหยาไป๋เซียนราวกับมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง “แม่ไม่ได้ทำเพื่อพวกเรา แม่ทำเพื่อตัวแม่เอง”
ความเห็นแก่ตัวของตนเองทำร้ายผู้อื่น และสุดท้ายก็ทำร้ายตนเอง…
…
วันรุ่งขึ้น เรือนในบ้านสกุลอิน
ตอนที่กวนหลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่แปลกตาออกไป การตกแต่งของที่นี่ ใกล้เคียงกับการตกแต่งของบ้านสกุลอิน
“เจ้าตื่นแล้วหรือ”
เสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวดังขึ้นที่ข้างหู กวนหลีค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง นางเห็นซูหว่านนั่งอยู่บนโต๊ะแปดเซียน ที่ไม่ไกลกันนัก
“นาย นายหญิงสาม”
แม้เคยเห็นแค่ครั้งเดียว แต่กวนหลีก็ประทับใจในตัวซูหว่านมาก เพราะนางให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับตนเป็นพิเศษ ราวกับเราเคยรู้จักกันมานานอย่างไรอย่างนั้น
พอได้ยินคำเรียกขานจากกวนหลี ซูหว่านก็ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเรียกข้าแบบนี้ก็ได้ ถ้าเจ้าชอบก็เรียกข้าว่า หลิงหลง”
หลิงหลง?
กวนหลีมองดูซูหว่านอย่างแปลกใจ “ท่านช่วยข้าไว้หรือ ทำไมท่านถึงต้องช่วยข้า”
เมื่อวาน กวนหลีคิดจริงๆ ว่าตนเองต้องตายแน่ๆ แล้ว
“ข้าช่วยเจ้าตามคำไหว้วานของเพื่อนเก่าน่ะ อันนี้ไว้ข้าค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟังในภายหลัง เจ้าอยู่ที่บ้านข้ารักษาตัวไปพลางๆ ก่อน”
ขณะซูหว่านกำลังพูดคุยกับกวนหลี ซูหนิงก็รีบก้าวเข้ามา “นายหญิงสาม นายหญิงรองมาแล้วเจ้าค่ะ กำลังรออยู่ที่โถงหน้า!”
“อืม ข้ารู้ละ”
ซูหว่านตอบรับ แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “กวนหลี เจ้าพักผ่อนไปก่อนนะ สายๆ ข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่!”
“เอ่อ เจ้าค่ะๆ”
กวนหลีอึ้งพลางจ้องมองการจากไปของซูหว่าน ชั่วขณะนั้น สมองของนางค่อนข้างสับสน ทว่า ดูไปแล้วนายหญิงสามหลิงหลงก็เป็นดีคนหนึ่ง
อันที่จริง บ้านสกุลอินก็มีคนดีอยู่เหมือนกัน
…
ในโถงรับแขกของเรือนด้านหน้า
ขณะปู้หนิงซานกำลังจิบน้ำชาช้าๆ อยู่นั้น ซูหนิงก็พยุงซูหว่านออกมา พอเห็นสีหน้าของซูหว่านดีขึ้นบ้าง ปู้หนิงซานก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปจับข้อมือของซูหว่านไว้ “หลิงหลง เจ้าไม่เป็นไรนะ เมื่อวานพอพี่กลับไป ก็เอาแต่เป็นห่วงเจ้า วันนี้พี่เลยจัดการเรื่องที่บ้านให้เรียบร้อยแต่เช้า แล้วรีบมาเยี่ยมเจ้า พี่เอารังนกชั้นหนึ่งติดมาด้วย เดี๋ยวจะให้คนครัวต้มให้เจ้ากิน”
“ขอบคุณพี่สะใภ้รองที่ห่วงใย”
พอได้ยินคำพูดของปู้หนิงซาน ซูหว่านก็รีบแสดงท่าทางปลาบปลื้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจขณะจ้องมองนาง
“คนบ้านเดียวกัน เกรงใจอะไร! ตอนนี้โลกมันเลวร้าย เราคนบ้านเดียวกันก็ต้องสามัคคีกันเข้าไว้!”
พอพูดถึงตรงนี้ ปู้หนิงซานก็จงใจถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เจ้าดูพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้สิ คนเขาทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในเรือนเก่า เฝ้าอยู่แต่จวนนายพล ในมือยังมีกำลังทหารหลายแสนคน สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ คนที่มีอำนาจทางทหารในมือเท่านั้น จึงจะตั้งหลักปักฐานได้อย่างแท้จริง แล้วเจ้าดูครอบครัวพี่สิ! เฮ้อ เฉิงมั่วของเราน่ะ รู้จักแต่หาเงิน แล้วเงินที่หามาได้ทั้งหมด ก็มอบให้พี่ใหญ่เอาไปใช้เป็นเงินเดือนทหาร จนถึงตอนนี้ เงินก็มีใช้อยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ทหารในมือกลับเหมือนเดิม ไม่มีเลยสักคน ส่วนหมิงเยี่ยเขา…เฮ้อ”
ปู้หนิงซานถอนหายใจติดต่อกันหลายครั้ง ขณะฟังคำพูดของนาง สีหน้าของซูหว่านก็เปลี่ยนไม่หยุด “พี่สะใภ้รองพูดก็ถูก ล่าสุดหมิงเยี่ยเขาอยากเข้าไปทำงานในกองทัพ แต่พี่ใหญ่บอกว่าเขาไม่เหมาะกับงานแบบนั้น เลยให้เงินเขามาจำนวนหนึ่ง ให้เขากลับมาทำธุรกิจหอหลิงหลงกับข้า อย่างว่า ผู้ชายต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ พี่ว่าเขากับข้าเฝ้าอยู่แต่สโมสรบันเทิงหลังหนึ่ง จะมีอนาคตได้อย่างไรกันล่ะ ถ้าวันหนึ่ง ไฟสงครามเกิดลามมาที่เมืองเหลียวเฉิงของเราจริงๆ ต่อให้สโมสรบันเทิงเล็กๆ ของเราทำเงินได้มากแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไร”
“หลิงหลง เจ้าน่ะ ฉลาดอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด!”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ปู้หนิงซานก็รีบจับมือนางแน่นอีกครั้ง “เสียดายก็แต่ตอนนี้ ทุกอย่างในเมืองเหลียวเฉิงอยู่ในกำมือพี่ใหญ่ เราอยากวางแผนอะไรหน่อยก็ยากจริงๆ ส่วนคนที่อยู่ในบ้านพี่ใหญ่ ก็ใช่ว่าจะตอแยได้ง่ายๆ หลิงหลง เจ้าฉลาดที่สุด เจ้าว่าเราควรจะทำอย่างไร”
ทำอย่างไร?
พอได้ยินคำพูดของปู้หนิงซาน ซูหว่านก็ลังเลเล็กน้อยชั่วขณะ “พี่สะใภ้รอง อันที่จริงวิธี ใช่ว่าไม่มี ต้องดูว่าพี่จะยอมร่วมมือกับข้าหรือเปล่า!”
ปู้หนิงซานทอประกายตา แล้วซูหว่านก็กระซิบเบาๆ เข้าที่ข้างหูนางสองสามประโยค
“นี่…”
พอได้ยินวิธีของซูหว่าน ปู้หนิงซานก็ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง
“แน่นอน นี่เป็นแค่ความคิดของข้า พี่สะใภ้รอง คิดดูก่อนก็ได้”
พอเห็นปู้หนิงซานลังเลใจ ซูหว่านก็ไม่เร่งรัด เพียงพูดเบาๆ พลางยิ้มน้อยๆ