ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 22 อนุภรรยาขุนศึก (22)
เมื่อไป๋เยียนเสวี่ยแต่งเข้าบ้านสกุลอิน และกลายเป็นฮูหยินคนที่สองของท่านนายพลไป ไม่นานนัก หอหลิงหลงก็ปิดตัวลง เพราะไม่มีดาราชูโรงเป็นของตัวเองอีก และหอหลิงหลงก็ได้กลายเป็นตำนานของเมืองเหลียวเฉิงด้วยประการฉะนี้ แม้เปิดได้เพียงสองปีก็ตาม
ทั่วทั้งเมืองเหลียวเฉิง มีใครไม่รู้บ้างว่า ผู้หญิงของหอหลิงหลงล้วนบินขึ้นยอดไม้ กลายเป็นหงส์ไปแล้ว
หลังจากซูหว่านปิดหอหลิงหลง ก็เริ่มช่วยซูรุ่ยบริหารจัดการธุรกิจของบ้านสกุลอินอย่างสบายใจ การทำสงครามธุรกิจในยุคสมัยนี้ พวกเขาทั้งสองยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้อะไรจริงๆ เลย
ถ้าดูจากบัญชีของบ้านสกุลอินในตอนนี้ เหมือนทำกำไรได้ไม่น้อย แต่ในความเป็นจริง เงินทองกลับถูกซูหว่านกับซูรุ่ยยักย้ายถ่ายเทไปแต่แรกแล้ว ร้านค้ามากมายเหลือเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า เสี่ยงต่อการล้มละลายยิ่ง
ขณะเดียวกัน หลังบ้านสกุลอิน ไป๋เยียนเสวี่ยกับเหยาไป๋เซียนก็สู้กันชนิดตายกันไปข้าง แต่เนื่องจากไป๋เยียนเสวี่ยมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู และชอบร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสารต่อหน้าอินซุ่นทุกครั้ง นานวันเข้า ท่าทีที่อินซุ่นมีต่อเหยาไป๋เซียนจึงยิ่งเลวร้ายลง
หลายปีมานี้ คนในบ้านใหญ่สกุลอินจะมากจะน้อยล้วนเคยถูกเหยาไป๋เซียนกดขี่มาก่อน ทันทีที่ไป๋เยียนเสวี่ยแต่งเข้ามา ก็เริ่มดึงตัวเหล่าหัวหน้าคนรับใช้และสาวใช้ขาใหญ่ให้มาเป็นพวกด้วย กับเรื่องที่คนของเหยาไป๋เซียนลงมืออย่างโหดเหี้ยมนั้น อย่างไรอินซุ่นก็ยังคงเชื่อแต่นาง ดอกไม้สีขาวดอกน้อยๆ ดอกนี้ ขอเพียงเกิดเรื่องขึ้นในบ้าน อินซุ่นย่อมเข้าข้างไป๋เยียนเสวี่ยทันที…
ไป๋เยียนเสวี่ย “ฮือๆๆ น้องทำผิดอะไร ทำไมท่านพี่ถึงต้องต่อว่าน้องเช่นนี้ด้วย น้องเสียใจมากนะ น้องไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
อินซุ่น “ไม่ร้องนะยอดรัก เสวี่ยเอ๋อร์คนดี เดี๋ยวท่านนายพลจะจัดการให้เอง! เหยาไป๋เซียน เจ้านี่มัน ข่มเหงกันเกินไปแล้วจริงๆ!”
เหยาไป๋เซียนหมดคำจะพูด “……”
ดังนี้ ไม่ว่าเจ้าจะโหดร้ายและร้ายกาจเพียงใด ข้าแค่โยนดอกบัวสีขาวที่ใครเห็นใครก็ชอบให้เจ้า เจ้าก็ต้องโมโหจนอวัยวะภายในบาดเจ็บอย่างแน่นอน
พอถูกไป๋เยียนเสวี่ยเหยียบศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด เหยาไป๋เซียนผู้หยิ่งยโสก็ล้มป่วยลง
และในตอนนี้เอง หลังบ้านก็มีข่าวดีของหัวเหยาหลานแพร่ออกมา และนี่อาจเป็นข่าวดีที่ใหญ่ที่สุดของบ้านสกุลอินแล้ว พอรู้ข่าว เหยาไป๋เซียนที่นอนป่วยอยู่ก็พยายามลุกจากเตียง หลังจากเรียกเจินหลานมาเช็ดตัว แต่งตัวแต่งหน้าให้ตนเองเรียบร้อย นางก็พาคนไปที่ห้องของหัวเหยาหลานทันที
เพียงแต่ตอนนี้ ไป๋เยียนเสวี่ยได้นั่งอยู่ที่หัวเตียงแต่แรกแล้ว การแสดงความรักแบบพี่สาวน้องสาวที่ไป๋เยียนเสวี่ยมีต่อหัวเหยาหลาน ทำให้เหยาไป๋เซียนเห็นแล้วรำคาญตายิ่ง
“ท่านพี่ ท่านป่วยแล้วก็ควรพักผ่อนดีๆ เกิดเอาโรคมาติดเหยาหลานเข้า จะทำอย่างไรกันดีล่ะที่นี้”
พอเห็นหน้าป่วยๆ ของเหยาไป๋เซียน ไป๋เยียนเสวี่ยก็แสดงท่าทีห่วงใยออกมาทันที “ท่านพี่วางใจได้ ท่านนายพลได้มอบหมายให้น้องดูแลหลังบ้านทั้งหมดแล้ว น้องจะจัดการทุกอย่างให้ถูกต้องเรียบร้อย ท่านน่ะ มีเวลาก็ควรพักผ่อนอยู่ในห้องตัวเองให้มากๆ!”
คำพูดของไป๋เยียนเสวี่ยฟังดูสุภาพอ่อนโยน แต่สีหน้ากลับหยิ่งยโสและเย็นชายิ่ง
ไป๋เยียนเสวี่ย เสวี่ยหลิงหลง…
เหยาไป๋เซียนลอบกัดฟัน พอกลับถึงลานหน้าห้องตนเอง ก็รีบทำหน้าขรึมพลางหันมองเจินหลานที่อยู่ข้างกาย “เรื่องที่ฉันสั่งให้ไปสืบ เป็นอย่างไรบ้าง”
“เรียนฮูหยิน บ่าวกำลังสืบอยู่ เพียงแต่…ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผลสรุปอะไร”
“สวะ!”
พอได้ยินคำตอบของเจินหลาน เหยาไป๋เซียนก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ สีหน้ายิ่งซีดขาวลง “ให้เจ้าสืบคนคนเดียว เจ้ายังสืบไม่ได้ ประโยชน์อะไรที่ข้าจะเลี้ยงเจ้าไว้”
“ฮูหยินใจเย็นๆ เจ้าค่ะ”
เจินหลานรีบคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม “ขอฮูหยินให้เวลาบ่าวอีกหน่อย บ่าวต้องสืบได้แน่!”
“ไสหัวไป!”
“เจ้าค่ะ”
พอออกจากห้องของเหยาไป๋เซียนมา สีหน้าของเจินหลานก็ดูไม่ได้ยิ่ง คนในบ้านสกุลอินล้วนรู้ว่านางเป็นคนสนิทของฮูหยินใหญ่ เป็นสาวใช้ขาใหญ่ ดูไปแล้วก็ภูมิฐานดี แต่ใครจะรู้บ้างว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางต้องลำบากมากแค่ไหน ทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
“พี่เจินหลาน”
เจินหลานเพิ่งก้าวออกนอกเรือน ก็ถูกเสียงเพราะๆ เสียงหนึ่งเรียกไว้ นางหันมองอย่างกังขา ก็เห็นสาวใช้คนสนิทของไป๋เยียนเสวี่ย จูอวี้ ยืนยิ้มตาหยีอยู่ข้างๆ “พี่เจินหลาน น้องมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่น่ะ!”
กับคนในเรือนใหญ่ที่ทะเยอทะยานอยาก ชอบใช้ฝ่ามือเดียวปิดท้องฟ้าคนหนึ่ง ท่านให้นางปุบปับล้มลงในโคลนตมยังไม่พอ ทางที่ดี ต้องให้นางถูกญาติสนิทมิตรสหายหักหลัง ไม่เหลืออะไรอีกด้วย
อาการป่วยของเหยาไป๋เซียนลากยาวไปเรื่อยๆ ไม่หนักหนาแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เปลี่ยนหมอคนแล้วคนเล่า ลากยาวไปจนถึงปลายปี ท้องของหัวเหยาหลานโตแล้ว สถานะของไป๋เยียนเสวี่ยในบ้านสกุลอินก็มั่นคงแล้ว ตอนนี้หลายคนคล้ายลืมไปแล้วว่า ยังมีฮูหยินใหญ่ที่เคยสั่งนมต้องได้นมอยู่ท่านหนึ่ง
เหยาไป๋เซียนไม่ยอม นางไม่ยอมมอบทุกสิ่งอย่างในบ้านสกุลอินให้กับไป๋เยียนเสวี่ย ดอกไม้สีขาวดอกน้อยๆ ที่ไร้ยางอายนั่น เหยาไป๋เซียนจึงแอบติดต่อกับคนสกุลเหยา ให้พวกเขาช่วยสืบข้อเท็จจริงของไป๋เยียนเสวี่ย ยังมีเสวี่ยหลิงหลง กระทั่งคนในหอหลิงหลงทั้งหมด เหยาไป๋เซียนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นการสมรู้ร่วมคิด ซึ่งนางต้องสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่างแจ้ง
โดยขณะที่เหยาไป๋เซียนกำลังง่วนอยู่กับการเป็นนักสืบนั้น อินซุ่นก็แต่งอนุเข้ามาอีกคน และอนุคนนี้มิใช่ใครอื่น เป็นคนข้างกายของเหยาไป๋เซียนเอง เจินหลาน!
วันที่เจินหลานแต่งเข้าบ้าน เหยาไป๋เซียนที่รู้ว่าตนเองถูกหักหลัง ได้บุกเข้าไปในโถงพิธีอย่างบ้าคลั่ง คิดสั่งสอนเจินหลาน ในความวุ่นวาย เหยาไป๋เซียนชนหัวเหยาหลานที่ก้าวเข้ามาเกลี้ยกล่อมล้มลง จนเกือบทำให้หัวเหยาหลานแท้ง…
“สารเลว!”
เสียง เพี้ยะ ขณะที่แขกเหรื่อกำลังเบิ่งตาอ้าปากอยู่นั้น อินซุ่นก็ตบเหยาไป๋เซียนอย่างแรงไปฉาดหนึ่ง
เหยาไป๋เซียนมองดูหัวเหยาหลานที่นอนหน้าซีดอยู่บนพื้น พลางมึนงงไปหมด
“ข้า…”
เหยาไป๋เซียนจะพูดอะไรได้ ในเมื่อตอนนี้ตรงหน้านางมีแต่ความโกรธแค้นของอินซุ่น ความเย็นชาของอินเป่ยเกอ รวมทั้งความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นของไป๋เยียนเสวี่ย
“พรวด…”
ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบไปทั่วของแขกเหรื่อ เหยาไป๋เซียนกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ แล้วจึงเป็นลมล้มพับไป
……
จวบจนเหยาไป๋เซียนฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็กลับมาที่ห้องของตนเองแล้ว เปลวเทียนในห้องสั่นไหว แสงเทียนสลัวๆ สะท้อนใบหน้าที่คุ้นเคย
นี่คือ
“หลิงหลง?”
เหยาไป๋เซียนจ้องมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงตนเองอย่างตะลึงงัน พลางร้องเสียงแหบแห้งออกมา
“พี่สะใภ้ใหญ่ ตื่นแล้วหรือ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
พอเห็นเหยาไป๋เซียนฟื้นตื่น ซูหว่านก็รีบยกมือดึงมุมผ้าห่มของนางคืนกลับ เหยาไป๋เซียนเห็นการกระทำของซูหว่าน ก็อึ้งไปพักหนึ่ง
“หลิงหลงเจ้า…มาได้อย่างไร”
“ข้าก็มาเยี่ยมท่านอย่างไรเล่า”
ซูหว่านหลุดรอยยิ้มแปลกๆ ให้เหยาไป๋เซียน “ต่อไปคนที่มาเยี่ยมท่านจะน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าข้าไม่มา ท่านก็เหงาแย่เลย”
“เจ้า…”
พอเหยาไป๋เซียนเห็นรอยยิ้มของซูหว่าน ในใจก็รู้สึกถึงลางร้ายทันที
“หึๆ”
ซูหว่านพลันโน้มตัวลง จ้องมองเหยาไป๋เซียนบนเตียงเงียบๆ “รสชาติของการลุกจากเตียงไม่ขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง เพราะบุญจากพี่สะใภ้ใหญ่แท้ๆ ข้าถึงได้นอนอยู่บนเตียงมาครึ่งปีเต็มๆ”
“เจ้าคือ…”
พอได้ยินคำพูดของซูหว่าน ม่านตาของเหยาไป๋เซียนก็หดลงทันที นางพยายามลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าแขนขาของตนไม่เชื่อฟัง
“อย่าพยายามทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์อีกเลย ถึงเวลาแล้ว ท่านนึกว่ามีแต่ท่านเท่านั้นที่วางยาเป็นหรือ”
ซูหว่านหรี่ตาลงพลางยิ้มน้อยๆ ให้เหยาไป๋เซียน “นี่เป็นยาพิษที่ข้าผสมด้วยตัวเอง ได้ผลดีมากเลย ต่อไปท่านก็นอนอยู่บนเตียงดีๆ นานๆ ครั้งข้าจะมาเยี่ยมท่านที แล้วถือวิสาสะบอกท่านทีละนิดว่า…บ้านสกุลอินแตกสลายได้อย่างไร เหยาไป๋เซียน อย่างไรท่านก็อย่าเพิ่งรีบตายล่ะ!”
“ซูหว่าน!”
เหยาไป๋เซียนจ้องมองซูหว่านอย่างดุร้ายจนดวงตาแทบจะถลนออกมา “เจ้ามันนางงูพิษ ข้าไม่ปล่อยแกแน่! เป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้า! เจ้าอยากโค่นล้มสกุลอินรึ ฝันไปเถอะ! เป่ยเกอไม่มีวันถูกเจ้าหลอกอีก ข้าจะแฉโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้ากับเขา บอกให้ทุกคนรู้”
“ก็ดี เช่นนั้นท่านก็ไปบอกพวกเขาสิ จนถึงเวลานี้แล้ว เหยาไป๋เซียน ท่านนึกว่ายังมีคนสกุลอินเชื่อท่านอยู่อีกหรือ”
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในโลกก็คือ ทั้งๆ ที่ทุกคำที่ท่านพูดเป็นความจริง แต่อย่างไรก็ไม่มีใครยอมเชื่อท่าน
ซูหว่านลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยี่หระ ก่อนหันกายเดินจากไปอย่างสบายๆ
“ซูหว่าน เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”
ในห้องมีเสียงอันแหบแห้งของเหยาไป๋เซียนดังมา
ซูหว่านก้าวออกนอกประตูห้อง ซูรุ่ยกำลังรอนางยู่
พอได้ยินเสียงของเหยาไป๋เซียน ซูรุ่ยก็ขมวดคิ้ว “ทำให้ตายๆ ไปเลยดีไหม”
“ช่างเถอะ ปล่อยให้ตายทั้งเป็นแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ตายน่ะง่ายนิดเดียว มีชีวิตอยู่นี่สิ ยากกว่า”
ซูหว่านแย้มยิ้ม พลางควงแขนซูรุ่ย ทั้งสองค่อยๆ เดินจากไป