ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 3 อนุภรรยาขุนศึก (3)
เมื่อซูหนิงจากไป เตาผิงยังคงสร้างความอบอุ่นอยู่ภายในห้อง เหลือเพียงซูหว่านและอินหมิงเยี่ยในชุดกว้าเผาสีน้ำเงิน
เมื่อเห็นคิ้วที่คุ้นเคยและสีหน้าที่มืดมนของชายที่อยู่ตรงหน้า ซูหว่านก็อดยิ้มออกมาอีกครั้งไม่ได้ มีประกายวาบปรากฏขึ้นในดวงตามที่งดงาม และมุมปากของนางก็มีก็มีกลิ่นอายของการเย้ยหยันอยู่เบาๆ “ท่านอาสาม?”
ซูรุ่ย “……”
ท่านอาบ้านคุณสิ~
ใช่แล้ว ซูรุ่ยก็คือท่านสามสกุลอิน คนที่ทำให้เหล่าสามงามน้อยใหญ่ต้องแปดเปื้อน ท่านสามสกุลอิน!
ในเวลานี้เมื่อมองไปเห็นการล้อเลียนจากซูหว่าน ซูรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอนตัวลงไปทั้งตัว แนบกายอยู่เงียบๆ ตรงหน้าซูหว่าน “ภรรยา อย่าซน”
“แค่ก แค่กๆ ”
ซูหว่านคิดจะหัวเราะอีกครั้ง แต่กลับไออย่างรุนแรงในวินาทีถัดมา
ในยุคสมัยนี้ การไอแบบนี้ไม่เป็นที่รู้จักและเป็นอาการป่วยระยะสุดท้ายที่รักษาไม่หาย แท้จริงแล้วซูหว่านไม่ได้ป่วย แต่เป็นเพราะได้รับยาพิษสะสมมาเป็นเวลานาน พิษนี้ค่อยๆ กัดกินอวัยวะภายในของนางอย่างช้าๆ แม้ว่าในเวลานี้นางจะไม่ได้ป่วยหนัก แต่พิษก็ได้แทรกซึมเข้าไปในปอดจนทำให้นางไอไม่หยุด
เมื่อได้ยินเสียงไอของนาง ดวงตาที่เฉียบคมของซูรุ่ยก็หม่นหมองลงทันที
เขายกมือขึ้นและกดปลายนิ้วลงบนจุดฝังเข็มของซูหว่าน ลมปราณภายในร่างกายของเขาค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ร่างกายของซูหว่านทีละเล็กทีละน้อย
เมื่อรู้ตัวว่าซูรุ่ยกำลังล้างพิษให้ตัวเอง ซูหว่านก็หลับตาลงทันที กลั้นหายใจ และปล่อยให้กระแสลมปราณไหลเวียนเข้าไปในร่างกายของนางอย่างช้าๆ หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าที่ซีดเผือดของนางก็กลับมามีสีเลือดฝาดอีกครั้ง
และในตอนนี้เอง เสียงที่ดูเป็นกังวลของซูหนิงก็ดังมาจากนอกประตู
“ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่เชิญทางนี้เจ้าค่ะ!”
เหยาไป๋เซียนมาแล้ว!
เมื่อได้ยินเสียงของซูหนิงที่ดังมาจากนอกประตู ซูหว่านก็ลืมตาขึ้นทันที และจิตสังหารในดวงตางามก็ประกายวาบขึ้นก่อนจะหายไป
ลมหายใจต่อไป…
“ท่านอาสาม!”
อยู่ดีๆ ซูหว่านก็คว้าแขนเสื้อของซูรุ่ยเอาไว้ ทำใบหน้าเศร้าสร้อยและมองขึ้นไปยังชายผู้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยสายตาที่อ่อนและหมดทางสู้ “ท่านอาสาม เสี่ยวหว่านขอร้องท่านแล้ว ขอร้องท่านแล้ว ปล่อยซูหนิงไปเถอะ! ชีวิตข้ามีเหลือเวลาอยู่ไม่มากนัก ข้างกายก็มีเพียงนางที่ข้าสามารถพูดคุยด้วยได้ ข้าพานางมาจากสกุลซู นางไม่ใช่คนของสกุลอิน หากว่าท่านอาสามอยากเชยชมนาง เสี่ยวหว่านสามารถ ข้าสามารถช่วยท่านอาสามหาผู้หญิงที่สวยกว่าซูหนิงได้…”
ทันทีที่เหยาไป๋เซียนก้าวผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้ยินเสียงซูหว่านขอร้องอินหมิงเยี่ย
จะว่าไปแล้วถึงเรือนในจวนสกุลอินนั้นจะกว้างใหญ่เพียงไหน แต่ต้นไม้ทุกต้นทั้งหมดในลานก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเหยาไป๋เซียนทั้งสิ้น
เมื่ออินหมิงเยี่ยมาปรากฏกายที่นี่ก็มีคนรายงานต่อเหยาไป๋เซียนทันที สำหรับน้องสามีของตนผู้นี้ เหยาไป๋เซียนเหยียดหยามเขามาก แต่ก็ทำสิ่งใดมากมิได้
ทุกครั้งที่ชายผู้นี้ปรากฏกายขึ้น เขามักจะทำให้ครอบครัวต้องระส่ำระส่าย ท่านสามผู้นี้ เป็นคนที่เหยาไป๋เซียนต้องเฝ้าระวังมาก
เมื่อรู้ว่าอินหมิงเยี่ยตรงไปยังห้องของซูหว่านในเรือนข้าง เหยาไป๋เซียนก็ไม่สามารถนั่งเฉยได้อีก
ในสายตาของเหยาไป๋เซียน ซูหว่านก็คือนางจิ้งจอก บุตรชายคนโตของตนเองต้องมาตายเพื่อนางไปแล้ว บุตรชายคนรองของตนเองก็ยังขัดแย้งกับภรรยาเพื่อนางอีก ตอนนี้แม้แต่ท่านสามผู้น่าผิดหวังก็ยังจะวิ่งเข้ามาในห้องของนางอีก นี่จะมากเกินไปแล้ว!
หลังจากที่รู้ข่าว เหยาไป๋เซียนก็รีบไปที่ลานในจวนพร้อมกับเจินหลานหัวหน้าสาวใช้ของนาง…
“อะแฮ่ม”
ทันทีที่เข้ามาในห้อง เหยาไป๋เซียนก็กระแอมไอโดยไม่รู้ตัว
“ท่านแม่!”
ซูหว่านที่อยู่บนเตียง เมื่อเห็นร่างที่งามสง่าของเหยาไป๋เซียน ก็รีบดึงมือทั้งสองข้างของตนเองกลับอย่างประหม่า และดิ้นรนที่จะลุกจากเตียงลงมาให้ได้
“พอแล้วๆ ร่างกายของเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องลงมาทำความเคารพข้าหรอก”
เมื่อเห็นสีหน้าป่วยของซูหว่าน แถมยังมีความกลัวและความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในแววตา เหยาไป๋เซียนก็โบกมืออย่างใจกว้าง อย่างไรเสียนางก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เหยาไป๋เซียนไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับซูหว่านมากถึงเพียงนั้น
“เอ๋ พี่สะใภ้มาแล้ว”
ซูรุ่ยหันหน้าไป ดวงตาสีเข้มกวาดไปทั่วใบหน้าของเหยาไป๋เซียนและเจินหลาน หลังจากที่โดนเขาเหลือบมองด้วยสายตาเช่นนั้น ชั่วขณะหนึ่ง เหยาไป๋เซียนก็มีความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกงูพิษจ้องมองอยู่
นี่…ต้องเป็นภาพลวงตาแน่
เหยาไป๋เซียนตั้งสมาธิมั่น และเมื่อมองดูซูรุ่ยอีกครั้ง ก็เห็นเขากำลังมองไปที่เจินหลานด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ไม่พบท่านเพียงไม่กี่วัน พี่เจินหลานท่านสวยขึ้นอีกแล้ว!”
แม้ว่าเจินหลานจะเป็นหัวหน้าสาวใช้ของเหยาไป๋เซียน แต่แท้จริงแล้วนางอายุเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น แก่กว่าอินหมิงเยี่ยเพียงหนึ่งปี
สาวใช้คนสนิทที่ได้รับการเลือกสรรโดยนายหญิงของบ้านอย่างเหยาไป๋เซียนย่อมมีความเป็นเลิศในทุกด้าน เจินหลานไม่เพียงแต่ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่นางยังรู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูด อีกทั้งยังเป็นมือดีในการเย็บปักถักร้อย ที่สำคัญที่สุดคือนางมีใบหน้าที่สวยงามมาก
จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นจุดแข็งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเหยาไป๋เซียน นางเอาหญิงสาวที่มีความสามารถและสวยที่สุดในบ้านไว้ข้างกายได้และรับใช้ตนเองอย่างใกล้ชิด
เช่นนี้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าผู้ชายของตนจะถูกพวกสาวๆ ที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นแย่งไป
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ร่องรอยความสยดสยองก็ปรากฏบนใบหน้าของเจินหลาน จากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณท่านสามที่ชมข้า ท่านสามช่วงนี้ท่านเองก็รูปงามขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน”
“โอ้”
ซูรุ่ยเลิกคิ้วด้วยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “ปากจิ้มลิ้มของพี่เจินหลานนี่ช่างหวานเสียจริง ไม่แปลกใจที่พี่ใหญ่…เอ่อ และพี่สะใภ้ใหญ่เชื่อใจในท่านมากเช่นนี้!”
“บ่าวมิกล้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ใบหน้าของเจินหลานก็ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่ นางขบมุมปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว นางก้มศีรษะลงและไม่กล้ามองไปยังท่านสามที่อยู่เบื้องหน้า
“อา”
ในเวลานี้เอง เหยาซานซานที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มขึ้นมาจางๆ “น้องสาม แม้ว่าจะเป็นกลางวันแสกๆ แต่เสี่ยวหว่านก็เป็นสะใภ้หม้ายของเป่ยเย่ว์ เจ้าอยู่ที่นี่นานๆ คนเขาจะเอาไปพูดเสียๆ หายๆ ได้ หากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ ข้าว่า… ต่อจากนี้เจ้าอย่าเข้ามาที่ลานนี้เลยดีกว่า เสี่ยวหว่านนี้ร่างกายอ่อนแอนักและยังป่วยหนักอีก หากไม่ระวังก็อาจจะแพร่เชื้อไปให้น้องสามได้ เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าอีก!”
“ที่พี่สะใภ้สอนมาก็ถูกแล้ว แท้จริงแล้วที่ข้ามาวันนี้…”
ซูรุ่ยหันกลับไปทันที เขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่เหยาไป๋เซียนแล้วพูดว่า “ข้ามาที่นี่ด้วยน้ำใสใจจริง ข้ามาเพื่อตรวจไข้ของเสี่ยวหว่าน”
“เจ้า?”
อินหมิงเยี่ยรู้วิธีตรวจไข้หรือ
ช่างเป็นเรื่องตลกระดับแคว้น!
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย เหยาไป๋เซียนก็เตรียมจะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่ซูรุ่ยก็ไม่เปิดโอกาสให้นางพูด “แน่นอน ข้าย่อมตรวจไข้ไม่เป็นอยู่แล้ว แต่ว่าข้ารู้จักหมอจากต่างแดนผู้หนึ่ง ท่านหมอสมิธ! เขาเป็นหมออยู่ในโบสถ์ ว่ากันว่ากลุ่มของเขาฉลาดมาก เขารักษาผู้ป่วยวัณโรคจำนวนมาก ข้าคิดว่า เสี่ยวหว่านยังสาวเพียงนี้ สกุลอินของเราเองก็มีเงินทองมากเพียงพอ เหตุใดไม่ลองให้ท่านหมอสมิธมาตรวจดูอาการของเสี่ยวหว่านเสียหน่อยเล่า พี่สะใภ้ใหญ่ท่านคิดเช่นไร”
“เหลวไหล!”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ใจของเหยาไป๋เซียนก็ตื่นตระหนก แต่ใบหน้ายังคงแสดงออกอย่างมีศีลธรรม “คนต่างถิ่นต่างแดนพวกนั้นเดิมทีก็ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำสิ่งใดเขาก็จับผู้คนมาผ่าตัดเปิดท้องหมด คนเขาถึงว่าคนต่างแดงย่อมคิดต่างกัน! คำพูดของพวกนั้น น้องสามเชื่อลงได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ พี่ใหญ่ของเจ้าก็เกลียดการคบค้าสมาคมกับพวกต่างด้าวต่างแดนมากที่สุด หมิงเยี่ย ต่อจากนี้ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก!”
เหยาไป๋เซียนสะบัดแขนเสื้อขึ้นด้วยความโกรธขณะพูด
แสดง เจ้ายังจะแสดงอีก!
ซูรุ่ยยิ้มอย่างเย็นชาอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่านางกลัวผู้อื่นจะรู้สาเหตุที่แท้จริงของ ‘อาการป่วย’ ซูหว่าน จะเล่นใหญ่เพื่ออะไร
ถึงแม้ว่าจะเกลียดเหยาไป๋เซียนจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ใบหน้าของซูรุ่ยกลับแสดงออกว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง “ที่พี่สะใภ้สอนมานั้นถูกแล้ว ไม่มีเหตุอันใดแล้ว ข้าขอตัวลา”
ซูรุ่ยก้าวเท้าออกไปนอกประตูขณะที่พูด เขากะพริบตาให้เจินหลานเมื่อเดินผ่านนาง แต่เมื่อจะเดินผ่านซูหนิงไป ซูรุ่ยก็เลิกคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นราวกับจะลูบใบหน้าของซูหนิง ทำเอาเด็กสาวตกใจกลัวจนทรุดตัวลงไปกับพื้น
“ฮ่าๆ”
เมื่อเห็นภาพนี้ ซูรุ่ยก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาเดินออกไปพร้อมกับหัวเราะร่า
เมื่อร่างของเขาหายไปจากสายตา ซูหว่านที่อยู่บนเตียงก็มองเหยาไป๋เซียนในห้องด้วยความหวัง “ท่านแม่ เสี่ยวหว่านคงอยู่ได้อีกไม่นาน ซูหนิงนาง…”
“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง เจ้าดูแลตัวเองให้ดีเถอะ!”
เหยาไป๋เซียนขัดจังหวะซูหว่านขึ้นเพราะทนฟังไม่ไหว ทันใดนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินจากไปพร้อมเจินหลานที่ตามไปติดๆ…