ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 8 อนุภรรยาขุนศึก (8)
ตั้งแต่ออกจากเรือนข้างของซูหว่าน อินเป่ยเกอก็ทำหน้าขรึมมาตลอด ส่วนเหยารั่วฟางกลับเดินตามหลังเขาต้อยๆ
พอเดินได้ครึ่งทาง ขณะลังเลใจ นางก็ยกมือขึ้น คิดจะดึงเครื่องแบบทหารของอินเป่ยเกอ แต่พอนิ้วเพิ่งสัมผัสโดนแขนเสื้อของเขา ก็ถูกผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าสลัดออก
เหยารั่วฟางกัดริมฝีปาก พลางจ้องมองร่างอันสูงเพรียวหลังตรงของอินเป่ยเกอ ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ได้แต่ทำสีหน้าไม่พอใจ รีบก้าวตามหลังชายหนุ่มไป
ทั้งสองพาเย่ว์ซิ่วเดินเงียบๆ กลับถึงเรือนตนเอง พอเข้ามาในเรือนหลัก ก็เห็นเหยาไป๋เซียนสวมเสื้อหนาวผ้าแพรกระดุมกลางสีทองเข้มนั่งอยู่ในห้องรับแขก จิบน้ำชาพร้อมใบหน้าสงบนิ่ง
“ท่านแม่!”
เมื่อเห็นแม่สามีหรือป้าตนเอง เหยารั่วฟางก็รีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนเหยาไป๋เซียน ช่างออดอ้อนเสียนี่กระไร
“ท่านแม่ ท่านมาแล้ว! ท่านรีบอธิบายให้เป่ยเกอฟังที เขายังโกรธลูกอยู่ ทั้งๆ ที่ลูกไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย! ลูกหวังดีต่อเขาจริงๆ ลูก…”
“เอาล่ะ”
เหยาไป๋เซียนวางถ้วยน้ำชาลง โดยไม่ได้มองสีหน้าของเหยารั่วฟาง แต่กลับเหลือบมองเย่ว์ซิ่ว “เย่ว์ซิ่ว พยุงนายหญิงของพวกเจ้าเข้าไปพักที่ห้องด้านในหน่อย”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่”
เย่ว์ซิ่วเติบโตในบ้านสกุลเหยา ย่อมเชื่อฟังคำสั่งของเหยาไป๋เซียน
พอเห็นแม่สามีส่งเสียง เหยารั่วฟางก็รีบปล่อยมือลง ถอนสายบัวให้เหยาไป๋เซียน จากนั้นค่อยปล่อยให้เย่ว์ซิ่วพยุงตนเองเดินเข้าห้องด้านในไป
“เจินหลาน!”
เมื่อเห็นสองนายบ่าวจากไป เหยาไป๋เซียนก็กวักมือเรียกเจินหลานให้มาที่ข้างกายตน แล้วกำชับเข้าที่ข้างหูสองสามประโยค พอเจินหลานได้ยิน ก็มีสีหน้าเคารพนบนอบ พยักหน้า แล้วจึงยืดตัวตรง พาคนรับใช้ที่อยู่ในห้องเดินออกนอกห้อง ก่อนจากไป ยังปิดประตูห้องให้อย่างระมัดระวังด้วย
ตอนนี้ ทั้งห้องโถงใหญ่จึงเหลือเพียงเหยาไป๋เซียนกับอินเป่ยเกอสองแม่ลูก
“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรจะพูดหรือ”
อินเป่ยเกอย่อมดูออกว่าแม่ตนมีเรื่องอยากจะพูด จึงเงยหน้ามองเหยาไป๋เซียนตรงๆ “เป็นเพราะ…เรื่องซูหว่านหรือเปล่า”
กึก
เหยาไป๋เซียนวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะไม้แดงด้านข้างอย่างแรง
“นั่นเป็นสะใภ้ใหญ่แก แกเรียกชื่อออกมาตรงๆ ได้อย่างไรกัน! เพิ่งกลับมาแท้ๆ เรือนตัวเองยังไม่ทันเข้า ก็บึ่งไปที่เรือนข้างแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่อง ยังนึกว่าแกมีความสัมพันธ์ลับๆ อะไรกับนางจริงๆ! เป่ยเกอ แกเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อแล้ว เป็นนายพลน้อยแห่งเมืองเหลียวเฉิง ทายาทเพียงคนเดียวของบ้านสกุลอิน อนาคตของแกจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้หญิงไร้ยางอายคนหนึ่งไม่ได้!”
“ท่านแม่ ท่านจะพูดถึงซู…สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ไม่ได้! นางไม่เคย…ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่ผิดต่อพี่ใหญ่! วันที่พี่ใหญ่เกิดเรื่อง เห็นชัดว่าเป็นเพราะลูก…”
“พอแล้ว!”
เพล้ง เหยาไป๋เซียนปัดถ้วยน้ำชาบนโต๊ะลงบนพื้น ลุกขึ้นยืน รีบก้าวเข้ามาตรงหน้าอินเป่ยเกอ เงยหน้าขึ้นจ้องตาเขาเขม็ง “แกอยากให้คนทั้งโลกรู้ว่าใช่ไหมว่า พี่ใหญ่แกตายอย่างไร”
“แกอยากให้คนทั่วทั้งเมืองเหลียวเฉิงนินทาลับหลังใช่ไหมว่า แกเคยคิดขืนใจพี่สะใภ้ตัวเอง”
แววตาของเหยาไป๋เซียนเย็นชาต่อเนื่อง “เป่ยเกอ เป่ยเย่ว์ไม่อยู่แล้ว แม่มีแกแค่คนเดียวแล้ว! เพราะผู้หญิงคนเดียวทำให้แม่ไม่มีพี่แก แม่จะเสียแกไปเพราะนางไม่ได้อีกเป็นอันขาด ทำไมแกถึงไม่เข้าใจหัวอกของแม่นะ”
ขณะจ้องมองน้ำในดวงตาของเหยาไป๋เซียน อีกทั้งริ้วรอยจางๆ บนดวงหน้าอันสง่างามของแม่ อินเป่ยเกอก็ก้มหน้าลง เส้นสายบนใบหน้าก็ค่อยๆ อ่อนโยนลง
“ท่านแม่ ลูกรู้ว่า สิ่งที่ท่านแม่ทำ ล้วนเพื่อลูก เพื่อบ้านหลังนี้”
เขายกมือขึ้น จับไหล่เหยาไป๋เซียนเบาๆ “แม่ ลูกรู้ว่าลูกผิดไปแล้ว และลูกก็ไม่มีความคิดอื่นใด ลูกเคยรับปากพี่ใหญ่ว่าจะช่วยดูแลสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้สะใภ้ใหญ่ป่วยหนักถึงเพียงนี้ ลูกย่อมต้องร้อนใจ ลูกคิดดีแล้ว พรุ่งนี้จะให้คนส่งสะใภ้ใหญ่ไปที่โรงหมอฝรั่ง ให้ฝรั่งช่วยตรวจดูอาการนางใหม่!”
“ไม่ได้!”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเกอ เหยาไป๋เซียนก็กะพริบตา รีบปฏิเสธข้อเสนอของเขา “สะใภ้ใหญ่แกอยู่ในสถานะอะไร จะเปิดหน้าค่าตาให้ชาวต่างชาติเห็นได้อย่างไรกัน แกอย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะว่า ชาวต่างชาติทำอะไรกันบ้าง! ทั้งลูบคลำทั้งถอดเสื้อผ้า ถึงตอนนั้นเกียรติยศสกุลอินเรายังจะมีอยู่ไหม เรื่องสะใภ้ใหญ่แก ต่อไปแกก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว! แม่วานให้คนเชิญหมอระดับชาติจากเมืองหลวงมาแล้ว บรรพบุรุษของพวกเขาน่าจะเป็นหมอหลวงในราชวงศ์ก่อน ที่รักษาอาการประชวรขององค์จักรพรรดิโดยเฉพาะ! หมอฝรั่งพวกนั้นจะเทียบกับหมอหลวงใหญ่ได้อย่างไรเล่า!”
เมื่อได้ฟังคำของเหยาไป๋เซียน อินเป่ยเกอก็กะพริบตา “แม่ แม่เชิญทายาทหมอหลวงมารักษาอาการป่วยให้สะใภ้ใหญ่จริงๆ หรือ เช่นนี้ก็ยอดเยี่ยมนัก นางมีทางรอดแล้ว!”
มีทางรอด?
เหยาไป๋เซียนที่อยู่อีกด้านหลุบตาลง ลอบยิ้มเย็นชา…
ผู้หญิงคนนี้เอาไว้ไม่ได้เป็นอันขาด ครั้งนี้…ต้องจบในครั้งนี้ให้ได้ ส่งนางกลับบ้านเก่า!
ค่ำคืน เรือนใหญ่สกุลอิน
ตอนที่อินเป่ยเกอออกมาจากห้องหนังสือ บนท้องฟ้าก็โปรยปรายไปด้วยเกล็ดหิมะอีกแล้ว เป็นหน้าหนาวที่มีหิมะมากจริงๆ ขณะมองดูหิมะสีขาวโพลน อินเป่ยเกอก็อึ้งไปสักพัก เขาพลันนึกถึงครั้งแรกที่ตนพบกับซูหว่านในต่างแดน ซึ่งเป็นวันที่หิมะตกหนักเช่นเดียวกัน
วันนั้นนางสวมเสื้อหนาวตัวใหญ่สีแดง ตลอดทั้งร่างห่ออยู่ในสีแดงสดอันเจิดจ้า ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักในฤดูหนาว รอยยิ้มของนางทำให้โลกสีขาวบริสุทธิ์นั่น เปล่งประกายสว่างสดใสขึ้นใหม่ในทันที…
อินเป่ยเกอเดินมาถึงบริเวณเรือนข้างอีกโดยไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูเรือนเล็กๆ ที่ค่อนข้างเปลี่ยวเหงา ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ขณะเตรียมหันกายจาก ในเรือนพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังมา…
ลมพัดเอื่อย เมฆเคลื่อนลอย
คลื่นทะเลม้วนตามแรงลม
ท่านพ่อไปจับปลา ไม่กลับบ้านสักที ท่านแม่ที่อยู่บนฝั่งเฝ้าคิดถึง…
นี่เป็นเพลงพื้นบ้านที่ซูหว่านชอบฮัมเป็นที่สุด
เท้าที่กำลังจะก้าวจากไปของอินเป่ยเกอจึงหยุดชะงัก แววตาค่อยๆ ตกอยู่ในภวังค์…
“ทำไมทำนองเพลงถึงเศร้าขนาดนี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ ทุกครั้งที่ท่านแม่ร้อง เหมือนกำลังนึกถึงความหลัง แล้วก็เหมือนกำลังคิดถึงใครอยู่”
วันนั้น ดวงจันทร์ใสกระจ่างดุจสายน้ำ เป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ซูหว่านนั่งเงียบๆ อยู่ข้างอินเป่ยเกอ มองดูพระจันทร์บนท้องฟ้า พลางพูดด้วยน้ำเสียงสูงต่ำไพเราะเสนาะหู “ทุกครั้งที่คิดถึงแม่ ข้าต้องร้องเพลงนี้ แต่ละท่อนที่ร้อง ข้ารู้สึกได้เสมอว่าแม่อยู่ข้างๆ ไม่เคยจากไปไหน”
“เด็กโง่”
อินเป่ยเกอที่อยู่ข้างกาย อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นยีหัวนางเบาๆ แล้วปล่อยให้นางเอนหัวลงมาซบบ่าของตนตามสบาย “ถ้าต่อไปข้าไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน ท่านจะร้องเพลงนี้เพราะข้าหรือเปล่า จะคิดถึงข้าไหม”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเกอ ซูหว่านก็หน้าแดง แต่ยังคงพยักหน้าน้อยๆ “คิดถึงสิ แต่ข้ายังคงหวังว่า เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่พรากจากกัน”
ตลอดไปที่พูดถึง ก็เหมือนหิมะที่อยู่ตรงหน้า ร่วงหล่น ละลาย แล้วหายไป มองไม่เห็นอีก
อินเป่ยเกอพลันอยากพุ่งเข้าไปในเรือนนั้น แล้วถามนางซึ่งหน้าว่า ยังรักเขาอยู่ไหม ทว่า…
เขาไม่มีความกล้าเช่นนั้น
ตั้งแต่พี่ใหญ่ตายไป เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะเฝ้าถามนางอีก
เขากำลังกลัว กลัวคำตอบนั่น ไม่ว่าคำตอบคืออะไร เขาล้วนไม่กล้ายอมรับ…
อินเป่ยเย่ว์
คนที่กั้นขวางระหว่างพวกเขาตลอดมา ก็คือคนที่ตายไปนานแล้วคนหนึ่ง
ค่ำคืนหิมะโปรยปราย ร่างของอินเป่ยเกอค่อยๆ จากไปไกล
ส่วนซูหว่านในเรือนข้าง เสียงร้องเพลงเหงาๆ อันไพเราะ ยังคงดังขาดๆ หายๆ ไปทั่วบริเวณ…