ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 9 อนุภรรยาขุนศึก (9)
เนื่องเพราะการกลับมาของอินเป่ยเกอ สองสามวันติดต่อกันนี้ บ้านสกุลอินจึงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เรือนข้างของซูหว่านระยะนี้ก็มีคนเข้าๆ ออกๆ มากมายเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งย่อมเป็นคนที่เหยาไป๋เซียนส่งมาดูแลซูหว่าน ซึ่งก็มีคนในบ้านที่เรียกกันว่าเด็กรับใช้ อีกทั้งหมอที่รักษาคนบ้านสกุลอินโดยเฉพาะ
ซูหว่านเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า เหยาไป๋เซียนต้องการทำให้อินเป่ยเกอดู
ซึ่งอุบายของเหยาไป๋เซียนเหล่านี้ ซูหว่านรู้ดีอยู่แล้ว นางจึงรับไว้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามส่งอะไรมา อย่างไรนางในตอนนี้กำลังเป็นคนป่วยที่ ‘ลงจากเตียงไม่ได้’ เหยาไป๋เซียนจึงมีความระแวดระวังนางน้อยเป็นพิเศษ และนางก็สนุกกับงานยากที่ต้องแสดงเป็น ‘สะใภ้ใหญ่ที่เหลือเวลาในชีวิตไม่มาก’ ด้วย
พริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงวันส่งท้ายปีเก่า พวกอันธพาลบนเนินเขานอกเมืองก็เริ่มก่อคดี เคลื่อนไหวไปทั่ว
ในฐานะทายาทที่อินซุ่นเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี นายพลน้อยอย่างอินเป่ยเกอย่อมต้องเป็นผู้นำออกปราบปรามเหตุร้ายทุกรูปแบบ
โดยครั้งนี้ ก่อนออกจากบ้าน อินเป่ยเกอได้ไปหาอินซุ่นที่ห้องทำงานในจวนนายพลโดยเฉพาะ เป็นครั้งแรกที่เขาพูดคุยกับบิดาตนเองเรื่องอินเป่ยเชา
ซึ่งอินซุ่นก็ตกใจมากที่อินเป่ยเกอเสนอแนะให้ส่งอินเป่ยเชาไปเรียนต่างแดน แต่พอมาคิดทบทวนดู ก็จริงอยู่ ลูกชายคนเล็กของตนไม่ใช่คนประเภทที่พาทหารออกไปสู้รบได้ จึงมิสู้ส่งให้ไปเรียนค้าขาย กลับมาในภายหลังจะได้ดูแลกิจการของสกุลอินเหล่านั้น บางทีสายเลือดรุ่นนี้ของตนอาจไม่ต้องมีชีวิตด้วยการพึ่งพาเงินอุดหนุนทางทหารของเจ้ารองอีก
อย่างที่ว่า ทุกบ้านล้วนมีความทุกข์ยากของตนเอง อินซุ่นแม้เป็นนายพลผู้สูงส่ง แต่ค่าอาหารของคนในสกุลอินหลายร้อยคน และทหารนับแสนนายในกองทัพ ล้วนเป็นเงินทั้งสิ้น!
ตอนนี้โลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย พื้นที่โดยรอบก็เต็มไปด้วยสงคราม ว่ากันว่าที่เมืองหลวง ยังมีนักศึกษาบางส่วนกำลังก่อการปฏิวัติอยู่ สรุปก็คือ นายพลอินในตอนนี้ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
สองพ่อลูกนับว่าคุยกันได้อย่างกลมกลืนและเข้าอกเข้าใจกัน สุดท้าย อินซุ่นจึงตัดสินใจส่งอินเป่ยเชาไปเรียนการค้าขายที่ต่างแดนหลังปีใหม่…
ปลายเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ เมื่อเห็นว่ากำลังจะขึ้นปีใหม่ ‘อาการป่วย’ ของซูหว่านก็ถึงเวลาหมดหนทางเยียวยาในที่สุด
ในเรือนของนางจึงมีแต่คนของเหยาไป๋เซียนอยู่แต่เนิ่นๆ ซึ่งซูหนิงก็ถูกซูรุ่ยเอ่ยปากขอไปที่จวนตนเองแต่เนิ่นๆ เช่นเดียวกัน
และวันนี้ ก็เป็นเช่นดังที่ซูหว่านรู้ หิมะตกลงมาตลอดทั้งวัน ทั่วทั้งเมืองเหลียวเฉิงประหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยชุดสีเงินยวง
ตอนที่อินเป่ยเกอพุ่งเข้ามาในห้องพร้อมลมหนาวนั้น แววตาของซูหว่านก็เริ่มเลื่อนลอยแล้ว
“ซูหว่าน!”
อินเป่ยเกอไม่สนใจที่จะปัดหิมะตามบ่าและร่างกายตนเองออก ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง
“คุณชายรอง สะใภ้ใหญ่…ไม่ดีแล้ว!”
“ไสหัวไป! ไสหัวออกไปให้หมด!”
พอตะโกนไล่คนรับใช้ในห้องออกไปแล้ว อินเป่ยเกอก็ตัวสั่นพลางตะคองกอดร่างที่ยิ่งมายิ่งซูบผอมไว้ “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ข้าจะพาท่านไปรักษา ต้องหายดี ต้องหายดี ซูหว่าน ท่านไม่ตายหรอก”
เคยสูญเสีย กับมองเห็นความสูญเสียกับตา เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นาทีนี้ อินเป่ยเกอใจสั่นแล้ว
“เป่ยเกอ”
แววตาซูหว่านกำลังเลื่อนลอย แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนเฉกเช่นเมื่อก่อน
นางไม่เคยเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
อินเป่ยเกอตัวสั่น ขณะใช้นิ้วมือลูบแก้มที่ซีดขาวของซูหว่านเบาๆ “ข้าอยู่ ข้าอยู่นี่แล้ว”
“หึๆ”
ซูหว่านโค้งริมฝีปากยิ้มบางๆ “เป่ยเกอ ข้าจะไปแล้ว ข้าไม่อยากไปเลย ไม่อยากจากเจ้าไป แต่ว่า…ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่เป่ยเย่ว์ เขาเหงามาก…จริงๆ นะ เขาอ่อนโยนขนาดนั้น แม้…ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยากันแต่ในนาม แต่ข้ารู้ ข้ารู้มาตลอดว่า…เขาชอบข้า”
ตั้งแต่คืนส่งตัวเข้าห้องหอ เขาเลิกผ้าคลุมศีรษะขึ้น เห็นนางเป็นครั้งแรก
เขาก็ชอบนางแล้ว
เป็นรักแรกพบอย่างที่ว่า
พี่น้องสกุลอิน รักผู้หญิงคนเดียวกันเมื่อแรกพบ ในเวลาแตกต่างกัน เสียดาย นางกลับมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวด เพียงเพราะนางมิใช่นางเอกของโลกใบนี้…
“ท่านพี่เป่ยเย่ว์บอกข้าว่า รอเจ้ากลับมา เจ้าจะแต่งกับข้า ข้ารอแล้ว รอเล่า รอมาตลอด เป่ยเกอ…เพราะเหตุใด เจ้าไม่ยอมเชื่อข้า เจ้าก็เลยไม่เชื่อเขา ข้ารู้สึกเจ็บปวดมาก เจ้ารู้หรือไม่”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องพูดแล้ว!”
น้ำตาของอินเป่ยเกอหยดลงบนใบหน้าของซูหว่าน หยดแล้วหยดเล่า น้ำตาอุ่นๆ กลับไม่ทำให้แก้มเย็นๆ ของนางอุ่นขึ้นเลย
“ข้าเหนื่อยมาก เหนื่อยมากจริงๆ”
น้ำเสียงของซูหว่านเบาลงเรื่อยๆ ขณะมองดูดวงตาที่ใกล้จะไร้แววของนาง อินเป่ยเกอพลันกอดนางไว้แน่นๆ ในอ้อมอก “เสี่ยวหว่าน อย่าจากข้าไป ขอร้องล่ะ อย่าจากข้าไป ข้ารักท่าน ข้ารักท่าน!”
“รัก…”
ซูหว่านพูดช้าๆ แล้วจึงค่อยๆ ล้วงเข้าไปในอกเสื้อตนเอง หยิบถุงหอมประณีตใบหนึ่งออกมา “เป่ยเกอ ในนี้เป็น…เส้นผมของข้า…เจ้าพกมันไว้ได้ไหม เช่นนี้…ข้าจะได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน บุกน้ำลุยไฟอย่างไร ข้าก็อยู่…ตรงนั้นด้วย ไม่พรากจากกัน…ตลอดไป”
ไม่พรากจากกัน
อินเป่ยเกอกำถุงหอมไว้ในมือ น้ำเสียงละล่ำละลักไม่หยุด “ได้ ข้ารับปากท่าน ข้ารับปากท่านทุกอย่าง!”
“เช่นนั้น…ก็ดี ข้า…ข้ายังมีความปรารถนาสุดท้าย…หลังจากข้าไปแล้ว ฝังข้า ฝังศพข้าไว้ข้างๆ เป่ยเย่ว์นะ ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเขา นี่เป็น…สิ่งที่ข้า…ติดค้าง…เขา”
พูดยังไม่ทันจบ ซูหว่านก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของอินเป่ยเกอ…
“เสี่ยวหว่าน! เสี่ยวหว่าน!”
คืนนี้ หิมะตกหนักมาก อินเป่ยเกอกอดร่างที่ค่อยๆ เย็นเป็นน้ำแข็งของซูหว่านไว้ขณะดวงตาแดงก่ำ เขาลืมตาตลอดทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น เหยาไป๋เซียนก็กำชับให้ลู่อันปั๋ว ผู้ช่วยของอินเป่ยเกอ แข็งใจตีเขาให้สลบแล้วพาเขาไป
ส่วนร่างของซูหว่านย่อมเอาใส่โลงศพที่เตรียมไว้แต่แรก ปิดผนึก พร้อมฝังตามฤกษ์
สถานะผู้หญิงในบ้านสกุลอิน เดิมทีก็ไม่สูงอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับซูหว่านที่เป็นเพียงภรรยาหม้ายของอินเป่ยเย่ว์
ห้องโถงไว้ทุกข์ของนางจึงอ้างว้างเดียวดาย ในคืนที่เงียบสงัด มีเพียงอินเป่ยเชาที่สวมชุดไว้ทุกข์นุ่งขาวห่มขาว นั่งคุกเข่าเงียบๆ คนเดียวอยู่หน้าโลงศพ
ยามวิกาล ลมเหนือพัดเสียงดังหวีดหวิว กระดาษเงินกระดาษทองในกะละมังไฟหน้าโถงไว้ทุกข์ ถูกเผาจนมอดไหม้ กลายเป็นเถ้าธุลี
ด้านหลัง เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมา
“ก็บอกแล้วว่าพวกเจ้าไม่ต้องมา! ข้าไม่ไปไหนหรอก!”
เสียงของอินเป่ยเชาแม้แหบ แต่น้ำเสียงของวัยรุ่น ยืนหยัดเสียนี่กระไร
“ทำไม”
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังเป็นเสียงเย็นๆ ของผู้ชาย
อินเป่ยเชาอึ้ง พอหันมา ก็เห็นอินหมิงเยี่ยยืนสวมเสื้อคลุมสีดำอยู่ด้านหลังตน
“ท่านอาสาม มาได้อย่างไรนี่”
“ข้ามาดูนาง”
ซูรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองดูโลงศพในห้องโถงไว้ทุกข์ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เขาต้องนำ ‘ศพ’ ซูหว่านออกไป
เพียงแต่ เรื่องที่ทำให้ซูรุ่ยคิดไม่ถึงก็คือ ในเวลาเช่นนี้ กลับยังมีคนมาเฝ้าศพซูหว่าน!
ต้องรู้ว่า เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ก่อนค่ำ ซูรุ่ยยังเจาะจงไปที่ห้องของอินเป่ยเกอ จี้จุดสลบของเขาไว้ เป็นการรับประกันได้ว่า คืนนี้เขาไม่มีทางตื่นขึ้นมาแน่
พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย อินเป่ยเชาที่อยู่หน้าโถงไว้ทุกข์ก็ชำเลืองมองเขาอย่างประหลาดใจ จากนั้นค่อยโขกศีรษะให้ซูรุ่ยหนึ่งที “ขอบคุณน้ำใจท่านอาสาม!”
“เจ้า นี่มัน…”
การกระทำของอินเป่ยเชาทำให้ซูรุ่ยแปลกใจไปพักหนึ่ง เด็กคนนี้อยู่ในสถานะอะไรกัน
“ข้ารับปากสะใภ้ใหญ่แล้วว่า จะดูแลนางจนแก่ชรากระทั่งจากโลกนี้ไป ตอนนี้…นางไม่อยู่แล้ว ข้าจึงมาไว้ทุกข์ให้นาง สะใภ้ใหญ่ไม่มีลูก ข้าจึงเป็นลูกชายนาง”
พอได้ยินคำพูดของอินเป่ยเชา ซูรุ่ยก็มองเขานิ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น ยิ้มน้อยๆ แล้วจึงเดินช้าๆ ไปที่หน้าโลงศพ “เจ้าพูดไม่ผิด เป่ยเชา เจ้ากตัญญูเช่นนี้ ถ้าสะใภ้ใหญ่เจ้ารู้ ต้องดีใจมากแน่ๆ”
ปัง
ขณะพูด ฝ่ามือของซูรุ่ยก็ฟาดเบาๆ เข้าที่โลงศพ ตามด้วยการผลักฝาโลงออก ขณะอินเป่ยเชาปากอ้าตาค้าง เขาก็อุ้มร่างของซูหว่านออกจากโลงศพ นำมาห่อไว้ในเสื้อคลุมสีดำ
“ท่านอาสาม ท่าน…”
“ชู่”
ซูรุ่ยทำท่าจุ๊ปากให้อินเป่ยเชา “ข้ามาช่วยนางน่ะ เป่ยเชา นี่เป็นความลับระหว่างเรานะ!”