ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 3 เหมยเขียวครองคู่ม้าไม้ไผ่ (3)
ตอนที่ซูหว่านกลับถึงบ้านเพียงลำพังนั้น หลิวลี่เพิ่งเก็บกวาดบ้านเสร็จ ทันทีที่เห็นว่าซูหว่านกลับมาเพียงคนเดียว หลิวลี่ก็ถลึงตามอง
“ทำไมกลับมาคนเดียว น้องล่ะ”
“น้องเล่นอยู่ในเรือนกับพี่ชายข้างบ้านค่ะ”
ซูหว่านตอบกลับ ก่อนหันหลังและเดินตรงเข้าห้องน้อยของตนเองไป
“นังเด็กไม่เอาไหน แกทำอะไรน่ะ”
แม้จะได้ยินเสียงของหลิวลี่ดังไล่หลังมา แต่เท้าของซูหว่านก็ไม่หยุดชะงัก พลางตอบกลับอย่างเย็นชา
“ทำการบ้านค่ะ การบ้านยังไม่เสร็จ”
“ทำการบ้าน แกจะไปทำอะไรได้ โง่ขนาดนี้ ไม่มีใครคาดหวังให้แกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สักหน่อย”
หลิวลี่ยืนบ่นอยู่ด้านหลังของซูหว่าน ก่อนหันเดินเข้าไปง่วนในห้องครัว หลิวลี่เป็นภรรยาผู้เป็นแม่บ้านแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนเสาหลักของบ้านผู้คอยทำหน้าที่หาเงินก็คือซูกั๋วเลี่ยง
ซูกั๋วเลี่ยงเป็นพนักงานในโรงงานผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งของเมืองซี ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ดีมากอาชีพหนึ่งในยุคนี้ เงินเดือนของเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว ส่วนกิจวัตรประจำวันของหลิวลี่ก็คืองานจุกจิกในบ้าน และคอยดูแลซูหว่านกับซูชิงเหมยสองพี่น้อง ซึ่งแน่นอนว่าการดูแลซูชิงเหมยนั้นสำคัญ ส่วนซูหว่านนั้นตามมีตามเกิด…
ซูหว่านกลับมาถึงยังห้องของตนเอง ถึงจะบอกว่าเป็นห้อง แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่มีขนาดไม่ถึงห้าตารางเมตร ในห้องมีเตียงไม้ขนาดเล็กที่เธอจ้างช่างไม้มาทำเอง ข้างเตียงวางโต๊ะเรียนเก่าๆ ไว้ตัวหนึ่ง ถัดจากโต๊ะไปเป็นตู้เสื้อผ้าโบราณแบบบานพับ ซึ่งเป็นสินสอดของแม่แท้ๆ ของเธอเมื่อครั้งแต่งงานกับซูกั๋วเลี่ยง หลังจากแม่เสียชีวิต ตู้เสื้อผ้าใบนี้ก็ยังคงอยู่ในห้องของซูหว่านเรื่อยมา
“เฮ้อ”
ซูหว่านถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ขณะมองดูห้องของตนเอง
เธอก้าวไปที่โต๊ะ มองดูการบ้านที่ทำค้างไว้เมื่อคืน โจทย์เลขบวกลบคูณหารร้อยข้อ ในสิบข้อทำผิดไปแล้วเสียหกข้อ ซูเสียวหว่านมึนไปหมดแล้ว…
เรือนพักราชการ ใจกลางเมืองซี
‘แอ๊ด’
เกาเจี้ยนกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นภรรยาตนเอง ต่งย่วนย่วนนั่งหน้างออยู่บนโซฟา
“ย่วนย่วน เป็นอะไรไป”
เกาเจี้ยนวางกระเป๋าเอกสารของตนเองลง ถอดเสื้อสูทออกพลางถามอย่างห่วงใย
“คุณว่าฉันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ”
ต่งย่วนย่วนอายุเกือบสี่สิบ ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เธอแต่งหน้าอ่อนๆ สวมเสื้อสเวตเตอร์กับกระโปรงรัดรูป เมื่อได้ยินคำถามของสามี เธอก็เลิกคิ้วขึ้นทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ
“วันนี้ลูกบังเกิดเกล้าเราไปชกหัวหน้าแผนกแนะแนวในโรงเรียนมา มิหนำซ้ำ พอกลับบ้านมายังพูดอีกว่า เป็นตายร้ายดียังไง ก็จะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมสือซานให้ได้!”
“อะไรนะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดภรรยาตนเอง เกาเจี้ยนก็มีใบหน้าขรึมลง “เกาอวี่ ไอ้ลูกเวร! ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
‘ปัง!’
เสียงเปิดประตูอย่างแรงดังมาจากห้องนอนที่อยู่ด้านในสุด เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนสีน้ำเงิน ก้าวออกมาพร้อมดวงตาเย็นชา พอเห็นเกาเจี้ยนในห้องรับแขก เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ หรี่ตาคมของตนเองลง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนัก
“พ่อ กลับมาแล้วหรอครับ!”
“แกยังรู้ว่าฉันเป็นพ่ออยู่อีกหรอ ไม่ได้ต่อยตีสักสามวันมันจะลงแดงใช่มั้ย กล้าดียังไงไปต่อยคนในโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง แถมคนที่ต่อยยังเป็นหัวหน้าแผนกแนะแนวอีก แกไม่อยากเรียนหนังสือแล้วใช่มั้ย”
“ครับ” ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของเกาเจี้ยน เด็กหนุ่มก็ยังคงมีสีหน้าเฉยเมย
“ถ้าไม่พักการเรียน ก็ให้ผมย้ายไปเรียนที่มัธยมสือซาน!”
“แก ไอ้เด็กเวร!”
พอได้ยินคำพูดของลูกชายตัวเอง เกาเจี้ยนก็คว้าที่เขี่ยบุหรี่จากโต๊ะวางของ หวังจะเขวี้ยงใส่ศีรษะลูกชาย
“เกาเจี้ยน คุณทำอะไรน่ะ คุณยังมีความเป็นสุภาพบุรุษบ้างมั้ย มีใครเขาสอนลูกกันแบบนี้บ้าง พูดกันได้ไม่กี่คำก็จะลงไม้ลงมือกันแล้ว ถ้าลูกฉันพิการขึ้นมาจะทำยังไง”
เมื่อเห็นว่าเกาเจี้ยนลงมือจริงๆ ต่งย่วนย่วนที่อยู่อีกด้านก็ลุกพรวดขึ้น ปกป้องลูกชายตนเอง
เกาเจี้ยน…
นี่แหละหนา แม่ที่โอ๋ลูกมากเกินไป!
“แม่ ไม่ต้องปกป้องผม”
เกาอวี่ค่อยๆ ผลักต่งย่วนย่วนที่อยู่ตรงหน้าออก
“พ่อ ถ้าพ่อย้ายผมไปที่โรงเรียนมัธยมสือซาน สอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า ผมจะคว้าที่หนึ่งของเมืองมาให้ โอเคมั้ยครับ”
“แก?”
พอได้ยินคำพูดของเกาอวี่ อย่าว่าแต่เกาเจี้ยนเลย แม้แต่ต่งย่วนย่วนก็ยังตะลึงงัน
“เสียวอวี่ ลูกพูดจริงหรือ”
ต่งย่วนย่วนตาเป็นประกาย จ้องมองลูกชายของตัวเองด้วยความตื้นตันใจ…
ที่หนึ่งของเมือง ก็หมายความว่า สามารถเข้ามหาวิทยาลัยบีได้สบายๆ ! ถ้าสอบได้จริง ก็จะได้หน้าสุดๆ
“ผมรักษาคำพูดแน่นอน!”
เกาอวี่จ้องมองเกาเจี้ยนที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แน่วแน่
“ได้หรือไม่ พ่อตอบผมมาคำเดียว!”
เมื่อเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของลูกชาย เกาเจี้ยนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้ แต่แกต้องจำคำพูดที่พูดในวันนี้ไว้ให้ดี ถ้ามีอะไรผิดพลาดตอนแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยแกไว้เป็นอันขาด! อีกอย่าง…อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าแกไปทำอะไรไว้ที่โรงเรียนมัธยมอีบ้าง ถ้าได้ไปโรงเรียนมัธยมสือซานแล้ว แกต้องสำรวมบ้าง ถ้าฉันจับได้ว่าแกมีความรักก่อนวัยอันควรล่ะก็ แกตายแน่!”
เกาอวี่…
มีความรักก่อนวัยอันควร? กับใคร? เด็กน้อยผู้น่ารัก?
พอนึกถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็กังวลอยู่บ้าง ตอนนี้เขาก็อายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด จวนจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่าซูหว่านยังเป็นเด็กน้อยผู้น่ารัก อายุเพิ่งจะเก้าขวบเอง!
อีกทั้งเนื่องจากร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก ฐานะทางบ้านก็ยากจน เด็กหญิงเก้าขวบอย่างซูหว่านในตอนนี้จึงเพิ่งขึ้นชั้นประถมสอง!
เด็ก ม.ห้า กับเด็ก ป.สอง ช่างห่างกันเหลือเกิน…
ไม่ผิด เกาอวี่ ก็คือซูรุ่ย
ดังที่ว่า สิ่งใดที่ครอบครองไม่ได้ ใจจะอยู่ไม่เป็นสุข
เกาอวี่ในชาติที่แล้วทิ้งซูชิงเหมยไป ส่วนในชาตินี้ ซูชิงเหมยเปิดฉากด้วยการเป็นนางเอกที่เปล่งรัศมีล้างแค้นผู้ชาย โหดร้ายกับเกาอวี่เสียจนเกาอวี่หงอ ทว่ายิ่งโหด เขาก็ยิ่งติดใจ…
อย่างที่ว่า เธอทำร้ายฉันร้อยครั้งพันครั้ง ฉันก็ปฏิบัติต่อเธอดุจรักครั้งแรกทุกครั้งไป
พระรองผู้ขมขื่นในตำนาน อารมณ์ประมาณนี้เลย
ตอนนี้ เดิมทีเกาอวี่ควรเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของเมืองซี สองปีให้หลังเขาจะสอบเข้าวิทยาลัยครูในจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างราบรื่น และหลังจากจบการศึกษาก็เป็นครูสอนในโรงเรียนมัธยมสือซาน ได้รู้จักกับซูชิงเหมย หลังจากนั้นเกาเจี้ยนก็ใช้เส้นสายย้ายเขาไปที่สำนักงานการศึกษา
พูดได้ว่า หลังจากซูชิงเหมยกลับชาติมาเกิดใหม่ เส้นทางชีวิตของเกาอวี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว คือชีวิตรักของเขา
คุณชายผู้โดดเด่นแห่งยุค ถูกรัศมีนางเอกสาดใส่ กลายเป็นพระรองรูปงามที่ลุ่มหลงในความรักทันที ตามตื้อไม่เลิก จวบจนตายก็ไม่เปลี่ยนใจ
แน่นอน ตอนนี้ซูรุ่ยได้กลายเป็นเกาอวี่แล้ว เขาแค่อยากพูดว่า…
นางเอกคืออะไร กินได้หรือเปล่า
…
ยามค่ำคืน ในห้องของซูรุ่ย
“เสียวอวี่ โรงเรียนมัธยมสือซานไกลจากบ้านเรา ว่ากันว่าที่นั่นวุ่นวายมาก มีคนทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ ลูกอย่าได้ไปคบกับเด็กเกเรพวกนั้นแล้วหัดในสิ่งที่ไม่ดีมาเป็นอันขาดนะ!”
ต่งย่วนย่วนช่วยลูกชายตนเองเก็บสัมภาระไปบ่นไปอย่างอดไม่ได้ เธอเป็นลูกคนเดียว และเธอกับเกาเจี้ยนก็ตอบสนองนโยบายรัฐด้วยการมีลูกชาย เกาอวี่ เพียงคนเดียว ลูกคนนี้จึงเป็นแก้วตาดวงใจของเธอ พอคิดว่าลูกชายกำลังจะไปเรียนในโรงเรียนมัธยมที่ห่างไกลขนาดนั้น ต้องไปใช้ชีวิตในที่ที่ไม่คุ้นเคย ต่งย่วนย่วนก็กังวลและเป็นห่วงเหลือเกิน
“เสียวอวี่ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในโรงเรียน ลูกต้องไปหาครูใหญ่หลิวนะ พ่อของลูกคุยกับเขาไว้แล้ว เขาจะดูแลลูกเอง จำได้นะ”
“รู้แล้วครับ ผมจำได้”
ซูรุ่ยขานรับอย่างใจลอยขณะนั่งอยู่ริมเตียง อันที่จริง เขากำลังคิดว่าตนจะเข้าไปเคาะประตูบ้านสกุลซูอย่างไรดีต่างหาก
ซูชิงเหมยต้องไม่ต้อนรับเขาแน่ แต่เขาก็เข้าทางซูกั๋วเลี่ยงกับหลิวลี่สองสามีภรรยาได้นี่ ซูกั๋วเลี่ยงเป็นพนักงานซื่อๆ คนหนึ่ง ส่วนแม่บ้านอย่างหลิวลี่ ถึงแม้จะดูร้ายกาจไม่มีเหตุผล แต่เวลาที่ประสบกับเรื่องใหญ่ๆ เข้า ก็ขาเข่าเหมือนกัน
ว่ากันว่า ผลการเรียนของเด็กหญิงซูหว่านแย่เอามากๆ ! หรือเขาจะเป็นเป็นครูสอนพิเศษให้เธอดี?
เอ่อ แต่พอคิดว่า รอจนตนเรียนจบมหาวิทยาลัย ซูหว่านก็เพิ่งขึ้นมัธยมสอง ซูรุ่ยก็น้ำตาไหลพรากทันที ถ้าจะเศร้าขนาดนี้แล้วล่ะก็ ให้น้ำตาไหลเป็นทะเลเลยดีมั้ย