ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 4 เหมยเขียวครองคู่ม้าไม้ไผ่ (4)
โรงเรียนของซูหว่านเป็นโรงเรียนประถมศึกษาประจำเมืองที่สิบสาม ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนมัธยมประจำเมืองที่สิบสาม
“เสี่ยวหว่าน ตื่นมากินข้าวได้แล้ว!” เวลาหกโมงเช้า ซูหว่านตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย หลังจากถูกหลิวลี่ปลุกขึ้นมา
เป็นเวลาเดียวกับที่ซูกั๋วเลี่ยงไปทำงาน สองพ่อลูกมักจะกินข้าวเช้าด้วยกันทุกวัน ถึงแม้ว่าโรงเรียนประถามที่สิบสามจะห่างจากบ้านของซูหว่านไม่ไกลนัก แต่ในตอนเช้าของทุกวันซูกั๋วเลี่ยงก็จะขี่จักรยานไปส่งซูหว่านที่โรงเรียนก่อนจะไปทำงาน
ในเวลาที่ซูกั๋วเลี่ยงอยู่บ้านนั้น หลิวลี่จะเรียกซูหว่านว่า “เสี่ยวหว่าน” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะไม่เย็นชา แต่ก็ไม่เคยมีความรักอยู่ในนั้น และในเวลาที่ซูกั๋วเลี่ยงไปทำงาน หลิวลี่จะเรียกเธอว่า “ยัยเด็กผี” เกือบตลอดเวลา
เจ้าของร่างเดิมมีร่างกายที่อ่อนแอและสมองก็ค่อนข้างช้า เธอยอมจำทนต่อการปฏิบัติที่ไม่ดีเช่นนี้มาโดยตลอด และไม่เคยพูดเรื่องหลิวลี่ต่อหน้าซูกั๋วเลี่ยงเลยสักครั้ง ดังนั้นซูกั๋วเลี่ยงที่แสนซื่อจึงคิดมาเสมอว่าภรรยาของเขาดีต่อลูกสาวคนโตของเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพ่อ อรุณสวัสดิ์ค่ะแม่” ซูหว่านในชุดนักเรียนสีน้ำเงินเข้มที่ค่อนข้างหลวม เดินออกมาจากห้องของตัวเองช้าๆ
“เสี่ยวหว่าน รีบมากินข้าวเถอะ เดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน”
ซูกั๋วเลี่ยงตั้งใจคีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ชามของซูหว่าน หลิวลี่ทีนั่งอยู่ด้านข้างมองก่อนหันหน้าหนีโดยไม่ได้พูดอะไร
ในตอนนี้ซูชิงเหมยอายุห้าขวบ กำลังเรียนชั้นอนุบาล หลิวลี่ไม่ได้ปลุกลูกสาวตัวน้อยของเธอขึ้นมา แต่เธอก็เก็บเนื้อชิ้นใหญ่และดีที่สุดไว้ในหม้อเพื่อให้ซูชิงเหมยลูกสาวของเธอโดยเฉพาะ
ซูหว่านเข้าไปล้างหน้าบ้วนปากในห้องน้ำเล็กๆ จากนั้นเธอก็หวีและรวบผมยาวของตัวเองมัดเป็นหางม้าเรียบร้อย แล้วจึงเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
อาหารมื้อเช้าถูกรับประทานไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทานอาหารเสร็จ ซูหว่านก็สะพายกระเป๋าหนังสือไว้ที่หลัง ก่อนจะออกไปพร้อมกับซูกั๋วเลี่ยง อากาศในยามเช้านั้นสดชื่นมาก ซูกั๋วเลี่ยงปั่นจักรยานคู่กายคันเก่าของเขาออกจากประตูลานบ้าน ซูหว่านนั่งลงบนเบาะหลังคนขี่อย่างที่ทำเป็นประจำ มองไปยังแผ่นหลังกว้างของชายที่อยู่ตรงหน้า ซูหว่านอดที่จะพูดขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ว่า “พ่อคะ ต่อไปพ่ออยู่บ้านเป็นเพื่อนหนูบ่อยๆ ได้ไหมคะ”
ซูกั๋วเลี่ยงที่ขี่จักรยานอยู่ถึงกับตกใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวตนเอง “เสี่ยวหว่าน เป็นอะไรไปลูก พ่อไม่อยู่บ้าน แต่ก็ยังมีแม่อยู่นะ หนูเบื่อเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่ คือ…”
ซูหว่านลังเล เมื่อเห็นว่าผ่านถนนไปอีกแยกหนึ่งก็จะถึงประตูใหญ่ของโรงเรียนแล้ว ซูหว่านจึงพูดเสียงเบาว่า “พ่อคะ ตอนที่พ่อไม่อยู่บ้าน แม่ก็จะใช้ไม้หวายมาเฆี่ยนหนู หนูเจ็บมากเลยค่ะ มีแค่ตอนที่พ่ออยู่บ้านเท่านั้นที่แม่จะไม่ตีหนู แล้วก็ไม่เรียกหนูว่ายัยเด็กผี”
“ลูกว่ายังไงนะ?”
ทันทีที่ได้ยินซูหว่านพูด ซูกั๋วเลี่ยงก็หยุดรถลง เขากระโดดลงจากรถจักรยานและมองลูกสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างจริงจัง “ที่ลูกพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรอ?”
เมื่อรู้สึกได้ถึงความจริงจังของซูกั๋วเลี่ยง ใบหน้าซูบผอมของซูหว่านก็แสดงความกลัวและความกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที “พ่อคะ พ่ออย่าตีหนูเลยนะ! อย่าตีหนูเลย หนูไม่ทำแล้ว! ต่อไปหนูจะไม่ทำอีกแล้ว!”
“เสี่ยวหว่าน?”
เมื่อเห็นซูหว่านร้องไห้โฮออกมาด้วยความกลัว ซูกั๋วเลี่ยงก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ลูกเป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พ่อไม่ได้บอกว่าจะตีหนูซะหน่อย!”
“พ่อไม่ตีเสี่ยวหว่านหรอคะ? แต่แม่บอกว่าถ้าหนูบอกเรื่องพวกนี้กับพ่อ พ่อจะตีหนู หนูกลัว….”
หลิวลี่!
ซูกั๋วเลี่ยงกัดฟันด้วยความโมโห แต่เดิมนั้นเหตุผลที่เขาแต่งงานกับหลิวลี่ก็เป็นเพราะเธอสามารถดูแลครอบครัวได้ดี และที่สำคัญที่สุดคือเธอบอกว่าเธอรักเด็ก ในตอนแรกที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้น ซูกั๋วเลี่ยงก็เห็นว่าเธอดีต่อซูหว่านมากเป็นพิเศษ เขาจึงเบาใจ และตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเธอ
คิดไม่ถึงเลยว่า เธอจะฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน ปฏิบัติต่อลูกสาวของเขาอย่างโหดร้ายขนาดนี้?
“เสี่ยวหว่านเด็กดี ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวพ่อไปส่งหนูที่โรงเรียนก่อน เลิกเรียนแล้วหนูก็กลับบ้านเป็นเด็กดีนะ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พ่อเลิกงานแล้วจะซื้อขนมปังให้หนูกินนะ ดีมั้ย?”
“จริงหรอคะ?”
ซูหว่านเบิกตากว้าง เมื่อได้ยินคำพูดของซูกั๋วเลี่ยง เธอมองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ “ขอบคุณค่ะพ่อ พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดในโลกเลย!”
“ยัยเด็กโง่”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวตัวเองพูด ซูกั๋วเลี่ยงรู้สึกปวดใจเล็กน้อย เขาหันศีรษะและปาดน้ำตาจากหางตาตัวเอง “ไปเถอะ พ่อไปส่งหนูที่โรงเรียน!”
เมื่อส่งซูหว่านถึงโรงเรียน และเห็นเธอเดินเข้าประตูโรงเรียนไปแล้ว ซูกั๋วเลี่ยงจึงขี่รถจักรยานจากไป ทว่าทิศทางที่เขากำลังไป ไม่ใช่ทางไปที่ทำงาน แต่เป็นทางกลับบ้าน
ระหว่างทางเดินภายในโรงเรียนอันกว้างใหญ่ รอบกายมีแต่เจ้าหัวไชเท้าน้อยแขนขาสั้นเดินขวักไขว่ ซูหว่านพลิกกระเป๋านักเรียนตัวเองไปมา เมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องขึ้นไปห้องประถมศึกษาปีที่สามห้องสองซึ่งอยู่ชั้นสามแล้ว เธอก็รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที
ถาม: สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลกคืออะไร?
ตอบ: เด็กประถม ลูกหมีน้อย
ตอนนี้ตัวเองกลายเป็นเด็กนักเรียนประถมไปแล้ว ทั้งยังต้องไปเรียน กินข้าว และเล่นกับเหล่าลูกหมีน้อย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ
“ซูหว่าน!”
ขณะที่ซูหว่านกำลังเดินไปยังมุมของอาคารเรียนเพื่อขึ้นบันได พลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ
ซูหว่านลังเลใจก่อนหันกลับมา เป็นเซี่ยฉังอานที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้บนไหล่ทั้งสองข้าง เขายืนยิ้มอยู่ข้างหลังเธอ ชุดนักเรียนสีน้ำเงินเข้มแบบเดียวกันที่ค่อนข้างเก่า ทว่าก็พอดีตัว อย่างน้อยก็ดูสบายตา
“นายเองเหรอ”
ซูหว่านเหลือบมองเซี่ยฉังอาน “นายก็เรียนที่นี่ด้วย?”
“ใช่สิ!”
เซี่ยฉังอานยิ้มพลางเดินเข้าไปหาซูหว่าน “ฉันอยู่ป.สี่ห้องหนึ่ง เธอล่ะ?”
เกรดและการซ้ำชั้นเรียนหนึ่งปีเปรียบเสมือนแผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าของร่างเดิม แต่ซูหว่านกลับไม่ได้คิดว่ามันสำคัญอะไร “ป.สองห้องสาม”
เธอพูดขณะที่เริ่มก้าวเดินขึ้นไปบนอาคาร เซี่ยฉังอานเดินตามหลังซูหว่านไปอย่างเงียบๆ ประถมศึกษาปีที่สองอยู่ชั้นสาม ส่วนประถมศึกษาปีที่สี่อยู่ชั้นสี่
เมื่อเห็นว่าซูหว่านเดินเข้าไปในห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สองห้องสามแล้ว เซี่ยฉังอานเหลือบมองไปยังประตูห้องเรียนของเธอ ก่อนจะหมุนตัวกลับขึ้นไปยังชั้นเรียนของตัวเอง
“ซูหว่าน เธอมาแล้ว!”
ทันทีที่ซูหว่านกลับมานั่งที่ของเธอ เจียงเหมยที่นั่งข้างหลังเธอก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของซูหว่านด้วยความตื่นเต้นทันที “ซูหว่าน เมื่อวานแม่ฉันพาฉันไปเล่นที่สวนสนุกเปิดใหม่ด้วยล่ะ! สนุกมากเลย! เธอรู้มั้ยว่าชิงช้าสวรรค์หน้าตาเป็นยังไง? มันใหญ่จนเกือบจะถึงสวรรค์เลยล่ะ…”
ซูหว่าน…
เพื่อนตัวน้อย เจียงเหมย พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าซูหว่านไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ เจียงเหมยก็หน้างอปากคว่ำ มองซูหว่านด้วยสีหน้าหมองหม่น “เธอฟังไม่เข้าใจใช่มั้ย?”
เจียงเหมยนึกขึ้นมาได้ว่า ทุกครั้งที่เรียนวิชาภาษาจีน ซูหว่านมักจะไม่เข้าใจบทเรียน เมื่อวานเรียนสำนวนคำว่ากบในกะลา ซูหว่านก็ไม่เข้าใจ และก็เป็นเจียงเหมยเองที่อธิบายให้ซูหว่านฟัง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เจียงเหมยเพื่อนตัวน้อยก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองทันที และในเวลาเดียวกัน เธอก็รู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่…ห่วงใยเพื่อนร่วมชั้น ความสามัคคีและมิตรภาพ นี่เป็นสิ่งที่หัวหน้าชั้นเรียนควรจะต้องทำ
ดังนั้น เจียงเหมยเพื่อนตัวน้อยจึงอธิบายให้ซูหว่านเข้าใจว่า ชิงช้าสวรรค์คืออะไร รถไฟเหาะคืออะไร อย่างไม่กลัวที่จะเหน็ดเหนื่อย
ซูหว่าน: พระเจ้า ใครก็ได้ ช่วยฉันที
….
สำหรับคนเรียนเก่งอย่างซูเสี่ยวหว่านแล้ว หลักสูตรการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่สอง มันก็เป็นเหมือนเพลงกล่อมเด็กทั่วไป เธอฟังบทเรียนไปสักพักก็หลับปุ๋ย แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีใครปลุกเธอขึ้นมาเลย…
แม่เจ้า นี่เธอถูกครูและเพื่อนร่วมชั้นทอดทิ้งแล้วงั้นหรอ?
ในช่วงพักกลางวัน เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่จะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก มีเพียงซูหว่านคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง มันไม่ง่ายเลยกว่าที่เวลาเลิกเรียนจะมาถึง ซูหว่านไม่รอดูการบ้านว่ามีอะไรบ้าง เธอรีบเก็บกระเป๋านักเรียนและรีบออกไปจากห้องเรียนทันที
ท่ามกลางฝูงชนหลังเลิกเรียน มองไปรอบๆ ก็มีแต่ภาพของชุดนักเรียนสีน้ำเงินเข้ม
ซูหว่านอยากจะบ่นเรื่องชุดนักเรียนที่แสนจะน่าเกลียดนี่จริงๆ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับสีแดงวาววับจับตาที่โดดเด่นท่ามกลางภาพของสีน้ำเงินเข้ม…จักรยานเสือภูเขายักษ์สีแดง ในยุคสมัยนี้ จักรยานเสือภูเขาระดับไฮเอนด์น่าดึงดูดยิ่งกว่ารถสปอร์ตเสียอีก
แน่นอนว่าจักรยานเสือภูเขาสีแดงซึ่งจอดอยู่อย่างเงียบๆ หน้าประตูโรงเรียนประถมศึกษาที่สิบสาม กำลังได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าของรถเป็นเด็กชายอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาสวมชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่สิบสามตัวใหม่เอี่ยม ถึงแม้ว่าจะเป็นชุดนักเรียนสีน้ำเงินตัวโคร่ง ทว่าเมื่ออยู่บนตัวเด็กหนุ่มผู้นี้แล้วกลับดูหล่อเหลาเสียจนเป็นที่เลื่องลือ…
ท้ายที่สุดแล้ว แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้
แม่ทัพซู นายเปิดตัวอย่างหล่ออีกแล้ว