ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 5 เหมยเขียวครองคู่ม้าไม้ไผ่ (5)
ซูหว่านมองไปยังซูรุ่ยที่อยู่ตรงประตูโรงเรียน สายตาของซูรุ่ยเองก็มองมายังซูหว่านที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นท้องทะเลสีคราม และด้วยชุดนักเรียนที่น่าขมขื่นนี้ ทุกคนล้วนดูไม่ต่างกันนัก แต่ซูรุ่ยก็ยังคนเห็นเธอคนนั้นท่ามกลางฝูงชนได้อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น…
น้ำตาของแม่ทัพซูไหลในใจอย่างต่อเนื่องราวกับก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่…
โลลิน้อยช่างตัวเล็กอะไรขนาดนี้! นี่มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์เลย!
ถึงแม้ว่าจะอายุเก้าขวบแล้ว แต่ว่าซูหว่านที่เขาเห็นตรงหน้านี้ แม่เจ้า ไม่คิดเลยว่าจะผอมกว่าซูเสี่ยวซูเสียอีก!
“เกาอวี่!”
ในเวลานี้ ซ่งหยางที่โดดเรียนมากับซูรุ่ย ออกมาจากร้านขายของชำหน้าประตูโรงเรียน ในมือถืออมยิ้มไว้สองอัน “นายบอกว่ามาหาคนที่นี่ เป็นลูกของญาตินายเหรอ? เรียนชั้นไหนล่ะ?”
“ป.สอง”
ซูรุ่ยตอบกลับอย่างโกรธเคือง
เอ่อ หรือว่าชายหนุ่มผู้นี้จะรอนานเกินไปเลยทำให้โมโหขนาดนี้?
เมื่อซ่งหยางได้ยินน้ำเสียงของซูรุ่ย เขาก็ยิ้มให้กับตัวเอง เขาเป็นหลานชายของครูใหญ่หลิว เมื่อวานคุณปู่ของเขาตั้งใจโทรหาพ่อแม่ของเขาโดยเฉพาะ บอกว่ามีลูกชายของคนใหญ่คนโตต้องการเข้าเรียนในชั้นเรียนของเขา โดยได้สั่งครูใหญ่ไว้แล้วว่าต้องจัดการให้เด็กคนนั้นอยู่ข้างกายซ่งหยางตลอดเวลา และหน้าที่หลักของซ่งหยางนอกจากเรียนแล้ว ก็คือต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกคนใหญ่คนโตคนนี้
ก่อนที่จะได้พบกับซูรุ่ย ซ่งหยางไม่สนใจคำสั่งของคุณปู่และพ่อแม่ของเขาแม้แต่น้อย…ในฐานะที่เป็นเสาหลักแห่งชาติ เขาจะต้องร่ำรวยและไม่เสแสร้ง เขาจะไม่ยอมจำนนต่ออำนาจเด็ดขาด! จะให้ก้มหัวต่อผู้มีอำนาจอย่างง่ายดายแล้วกลายเป็นสุนัขรับใช้ได้อย่างไรกัน?
แต่หลังจากที่เขาได้เจอคุณชายแสนเย็นชาคนนี้ตัวเป็นๆ เข้าให้แล้ว ซ่งหยางก็ตกตะลึงไปกับรังสีความเป็นเผด็จการที่แผ่ออกมาจากตัวคุณชายท่านนี้ในทันที…
แม่เจ้า นี่คงเป็นพลังแห่งราชาจอมเผด็จการในตำนานสินะ?
นายน้อย ได้โปรดรับสุนัขรับใช้อย่างข้าน้อยไว้ด้วยเถิด
นี่คือความจริงทางประวัติศาสตร์ที่อธิบดีซ่งกลายมาเป็นน้องชายของเกาอวี่ แน่นอนว่าหลายปีมานี้ที่ซ่งหยางกลายมาเป็นอธิบดีไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้…
“นายมาแล้ว!”
ซูหว่านเดินไปยังตรงหน้าซูรุ่ยโดยสะพายกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ไว้บนหลัง เมื่อเห็นกระเป๋าที่ใหญ่พอๆ กับส่วนสูงของเธอ ซูรุ่ยก็ขมวดคิ้วและรีบเดินไปยังด้านข้างของซูหว่านทันที เขาหยิบกระเป๋านักเรียนของเธอออกโดยไม่พูดอะไรสักคำ และพลิกมันด้วยมือของตัวเอง
โชคดีที่มันไม่หนักเกินไปนัก และไม่กดให้คุณภรรยาสูงขึ้นไม่ได้อีก
“เกาอวี่ นี่หลานสาวของนายหรอ?”
ทันทีที่ซ่งหยางเห็นการเคลื่อนไหวของซูรุ่ย ก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ซูรุ่ยรออยู่ก็คือเด็กน้อยผอมบางตรงหน้าเขา อืม ดูแล้วน่าจะสูงประมาณหนึ่งเมตรยี่สิบกว่า เรียนชั้นป.สองแล้ว? เขาคิดว่าจะเป็นเจ้าหัวไชเท้าตัวน้อยที่เรียนอยู่ ป.หนึ่งซะอีก!
“หนูชื่ออะไรหรอครับ?”
ยึดตามกฎการเอาใจญาติของลูกพี่ ซ่งหยางก็ยิ้มพลางเขย่าอมยิ้มในมือของเขาไปมา “หนูอยากกินไหม? ถ้าหนูยอมบอกคุณอาว่าหนูชื่ออะไร คุณอาก็จะเอาอมยิ้มอันนี้ให้หนูนะ! ดูสิ รสพีชเลยนะ!”
ซูหว่าน: …
“นายอยากตายรึไง?”
ซูรุ่ยหันกลับมาอย่างกะทันหันก่อนตะโกนใส่ซ่งหยาง “นายตาบอดหรอ? นี่คือคุณภ… คุณน้องสาวของฉัน น้องสาวทูนหัว!”
ซูหว่าน: …
น้องสาวทูนหัว ช่างเป็นคำที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือจริงๆ
“แหะๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซ่งหยางจึงตระหนักได้ว่าเขาเรียกตัวเองว่า “คุณอา” แบบนี้ก็เหมือนเป็นการข้ามหน้าข้ามตาซูรุ่ยไปแล้ว คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูดด้วยรอยยิ้มทันที “หนูเป็นน้องสาวของเกาอวี่ งั้นก็ถือว่าเป็นน้องสาวของพี่ซ่งหยางด้วย มา มา อมยิ้มนี่พี่ให้หนูนะ ต่อไปบนถนนเส้นนี้ พี่ซ่งหยางจะคอยดูแลหนูเอง! ขอเพียงแค่มีพี่คอยดูแลหนู การกำจัดพวกอันธพาลในโรงเรียนประถมสิบสามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!”
ซูหว่าน: …
แม่ทัพซู นายไปเอาเจ้าบื้อนี่มาจากไหนกัน?
“ซูหว่าน!”
ขณะที่ซูหว่านมองใบหน้าของซ่งหยางก็มีกระแสสีดำปรากฏเป็นเส้นขึ้นบนหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของทั้งสามคน
เซี่ยฉังอานที่สะพายกระเป๋าหนังสือไว้บนหลังกำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาอยู่ข้างซูหว่านแล้ว เขาก็ก้มตัวลงและสูดลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปยังซูรุ่ยด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร
“ซูหว่าน เธอควรกลับบ้านได้แล้ว คุณครูบอกว่าข้างนอกอันตรายมาก พวกเราต้องไม่คุยกับคนแปลกหน้า ไป ฉันกลับบ้านเป็นเพื่อนเธอเอง!”
ขณะที่พูดเซี่ยฉังอานก็ยกมือขึ้นหวังจะจับมือของซูหว่าน ซูรุ่ยที่อยู่ด้านข้างมองด้วยแววตาเย็นชา เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็คว้ามือซูหว่านแล้ววางลงข้างกายตัวเอง
เอ่อ
ซูหว่านพูดไม่ออก ซ่งหยางมองไปที่ซูรุ่ยที่ปกป้องลูกวัวของตัวเองราวกับสิงโตด้วยใบหน้าที่ยากจะอธิบาย…
คุณชายเกา นั่นน้องสาวนายนะ ไม่ใช่ลูกสาว ถึงจะเป็นลูกสาวนายก็เถอะ นายก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องขนาดนี้หรือเปล่า?
แล้วไหนจะสายตาที่แสนเย็นชาของนายอีก แล้วหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อแบบนี้จะไปทำอะไรน้องสาวนายได้?
ต่อให้จะอยากทำ เขาก็คงไม่กล้า! เขาต้องใช้ความกล้ามากทีเดียว!
….
ในขณะที่ซูรุ่ยกำลังมองไปยังเซี่ยฉังอาน เซี่ยฉังอานเองก็จ้องมองซูรุ่ยอย่างเงียบๆ เช่นกัน
แววตาของคนทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความเย็นชา สิ่งที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้ความเฉยเมยนั้นคือความเงียบที่ไม่เข้ากับอายุของพวกเขา
เซี่ยฉังอาน...
ซูรุ่ยหรี่ตาลง มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเขา
“เซี่ยฉังอาน”
ซูหว่านเดินออกมาจากข้างหลังของซูรุ่ยอย่างเงียบๆ “พี่ชายทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี”
“ซูหว่าน เธอ…เธอไม่เข้าใจ เธอกลับบ้านกับฉันเถอะ”
เซี่ยฉังอานมองไปที่ซูหว่านอย่างลังเล เขาจะบอกเธออย่างไรดี ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้คือ เกาอวี่ และคนคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร!
เซี่ยฉังอานรู้ว่าตัวเองไม่ควรพูด ถึงพูดออกไปซูหว่านก็ไม่มีทางเชื่อเขา…
ไม่มีใครเชื่อเขาแน่
แม้กระทั่งตอนนี้ ตัวของเซี่ยฉังอานเองก็ยังคิดว่าเขากำลังฝันไป เขาเพิ่งจะดื่มเหล้าต่อหน้าหลุมศพของซูหว่าน หลังจากที่เขาเมาจนหลับไป เขากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดยย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน?
ในเวลานี้ เธอยังเป็นเด็กน้อยอายุเก้าขวบ และเธอก็ไม่ใช่ภรรยาของเขา ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นที่ยอมเสียชีวิตเพื่อเขา
หลังจากได้พบซูหว่านเมื่อวาน เซี่ยฉังอานก็นอนไม่หลับทั้งคืน เขาเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมา ในใจก็คิดถึงแต่เสียงและรอยยิ้มของซูหว่าน…
เธออ่อนแอมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังพัฒนาการช้า จนผู้คนต่างพูดว่าเธอเอ๋อ เธอโง่
แต่นี่ไม่ใช่ข้อดีของเธอหรือ?
ตอนยังเด็ก เซี่ยฉังอานก็ไม่เข้าใจนัก จนกระทั่งเขาประสบกับความล้มเหลวในความรักหลายครั้ง เขาจึงค่อยๆ เข้าใจว่าผู้หญิงแบบนี้แหละที่ดีที่สุด
ในชาติที่แล้วเขาโชคดีที่ได้แต่งงานกับซูหว่านโดยอาศัยความช่วยเหลือจากแม่ของเขา ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตของเซี่ยฉังอาน
น่าเสียดายที่ในภายหลัง…
ราวกับว่ากำลังคิดถึงเรื่องที่ทำให้หัวใจสลายและไม่อาจรับไหว เซี่ยฉังอานกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขายิ้มจางๆ ให้ซูหว่าน “โอเค ฉันก็ไม่ได้บอกว่าพวกเขาเป็นคนเลว พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ ถ้าเธอกลับบ้านสาย คุณลุงซูจะร้อนใจเอานะ!”
“อืม โอเค”
ซูหว่านพยักหน้า เธอหยิบกระเป๋าหนังสือของตัวเองมาจากมือของซูรุ่ย แล้วแอบขยิบตาให้เขา “ฉันไปก่อนนะคะพี่ชาย ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะ!”
“บ๊ายบาย! เดี๋ยวก่อน แล้วอมยิ้มของเธอล่ะ!”
ซ่งหยางที่อยู่ข้างๆ เขากระตือรือร้นที่จะมอบอมยิ้มให้ซูหว่าน แต่เมื่อซูหว่านได้ยินคำพูดของซ่งหยางเธอก็ส่ายหัวอย่างแรงทันที “พี่คะ พี่เก็บอมยิ้มนี่ไว้กินเองเถอะ ฉันไม่ชอบกินลูกอม!”
ซูหว่านพูดพลางเดินจากไปพร้อมกับเซี่ยฉังอาน เมื่อมองดูร่างเล็กๆ ทั้งสองในยามอาทิตย์ตก ซ่งหยางก็ฉีกกล่องอมยิ้มเปิดออกด้วยสีหน้าที่เฉยเมย ก่อนเลียอมยิ้มด้วยความพึงพอใจ…
ไอ้หยา เธอไม่กินแล้วทำไมไม่รีบพูดล่ะ! รู้บ้างมั้ยว่าพี่ชายอย่างฉันต้องใช้แรงใจแค่ไหนถึงอดทนมาจนถึงตอนนี้?
“เกาอวี่ นายเอาสักอันมั้ย?
ณ เวลานี้ ซ่งหยางก็ยังไม่ลืมลูกพี่ของเขา มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน มีอมยิ้ม แน่นอนว่าต้องแบ่งปันสิ!
“ฉันไม่กินของหวาน!”
เมื่อซูรุ่ยพูดจบก็หมุนตัวกลับไปขี่จักรยานเสือภูเขาของตัวเองออกไป
กินของหวานแล้วยังไงล่ะ? ผู้ชายกินของหวานน่ารักทั้งนั้นแหละ!
“เกาอวี่ เกาอวี่ นายรอฉันด้วยสิ!”
เมื่อเห็นว่าซูรุ่ยเกือบลับสายตาไปแล้ว ซ่งหยางก็รีบขี่จักรยานนกฟีนิกซ์น้อยของเขาตามไปทันที…แม่เจ้า เมื่อไหร่กันนะที่คุณชายท่านนี้แปลงร่างเป็นไจแอนท์ไปได้!