ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 9 เหมยเขียวครองคู่ม้าไม้ไผ่ (9)
เมื่อวาน หลังจากที่ซูกั๋วเลี่ยงก่อไฟไว้ ก็เป็นธรรมดาที่หลิวลี่จะสำรวมขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากทำงานบ้านเสร็จในตอนบ่าย เธอก็พาซูชิงเหมยกลับจากโรงเรียนอนุบาล และเริ่มเตรียมอาหารเย็นสำหรับสี่คน
แท้จริงแล้วหลิวลี่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก เธอเพียงแค่เห็นแก่ตัวและเหย่อหยิ่ง เธอรู้สึกว่าตัวเองทุ่มเทให้กับบ้านนี้ไปไม่น้อย ดังนั้นเงินของซูกั๋วเลี่ยงควรจะเป็นของเธอและซูชิงเหมยสองแม่ลูก ทว่าตอนนี้เธอต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งให้ซูหว่าน เธอจึงรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ และเป็นธรรมดาที่เธอจะแสดงสีหน้าไม่ดีต่อซูหว่าน
ทุกครั้งที่ซูหว่านได้รับคำสั่งให้ทำงานบ้าน หลิวลี่ก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ซูหว่านควรทำ
ครั้งนี้ การที่ซูกั๋วเลี่ยงบอกว่าจะหย่านั้น ทำให้หลิวลี่ตกใจไม่น้อย เธอคิดมากตลอดทั้งคืน ซูหว่านเป็นคนโง่และไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง รอจนเธอเรียนจบมัธยมปลายแล้ว ค่อยให้เธอออกมาทำงานรับจ้าง จากนั้นก็หาคนทั่วไปมาแต่งงานกับเธอ ถึงเวลานั้นก็จะได้รับเงินค่าสินสอด เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ขาดทุน อารมณ์ของหลิวลี่จึงเริ่มดีขึ้นมากเช่นกัน
“แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
ขณะที่หลิวลี่กำลังยุ่งอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ของซูหว่าน ยัยเด็กสมควรตายนี่ ตอนนี้พอมีพ่อคอยหนุนหลังเข้าหน่อย เลิกเรียนตั้งนานแล้วเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน!
หลิวลี่เดินออกจากห้องครัวด้วยสีหน้าถมึงทึง แต่เมื่อเห็นซูรุ่ยและเยี่ยคานฮวนที่อยู่ข้างซูหว่าน หลิวลี่ก็ตกตะลึงไปทันที “พวกเธอ… พวกเธอคือ…”
“คุณเป็นแม่ของซูหว่านหรอครับ? ผมเซี่ยจื่อซวิน เป็นคุณครูประจำชั้นของเธอ”
เยี่ยคานฮวนยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หลิวลี่ ต้องบอกว่า รูปลักษณ์ภายนอกของเซี่ยจื่อซวินนั้นดูอบอุ่นอ่อนโยนมาก ผู้ชายตระกูลเซี่ยล้วนเป็นผู้ชายที่สุภาพเรียบร้อยและหล่อเหลาเป็นพิเศษ
“คุณครูเซี่ย?”
หลิวลี่ตกใจไปครู่หนึ่ง เพราะเธอเคยไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประถมสิบสามมาก่อน และตอนนั้นคุณครูประจำชั้นของซูหว่านเป็นคุณครูผู้หญิง
“ผมเพิ่งมาใหม่น่ะครับ เลยยังไม่ค่อยรู้จักกับเด็กนักเรียนเท่าไหร่ วันนี้ผมก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมที่บ้านสักหน่อยครับ”
เยี่ยคานฮวนมองออกว่าหลิวลี่มีความเคลือบแคลงใจ เขาจึงรีบพูดอีกสองสามคำพร้อมรอยยิ้ม
“อ้อ อย่างนี้เอง! เชิญคุณครูเซี่ยนั่งก่อนค่ะ เชิญนั่งค่ะ! ฉันไปต้มชาให้คุณก่อนนะคะ!”
หลิวลี่พูดขณะที่หมุนกายกลับไปจัดแจงต่อ ในสายตาของหลิวลี่นั้น อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นอาชีพชั้นหนึ่ง
นั่นเป็นถึงปัญญาชนระดับสูงเชียวนะ! เธอไม่สามารถดูแคลนได้เลย
เมื่อเห็นหลิวลี่ง่วนอยู่กับงานครัวเช่นนั้น เยี่ยคานฮวนก็นั่งลงบนโซฟาตัวเล็กของบ้านซูด้วยรอยยิ้ม
“ไป กลับห้องฉันกัน”
เมื่อเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับจะลอยขึ้นฟ้าของเยี่ยคานฮวนแล้ว ซูหว่านก็ขบริมฝีปากและดึงซูรุ่ยให้เดินเข้าไปในห้องของเธอ ขณะนั้นเอง เมื่อได้ยินเซี่ยจื่อซวินพูด ซูชิงเหมยที่อยู่ในห้องของเธอมาโดยตลอดก็รีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
เซี่ยจื่อซวินเป็นอาของเซี่ยฉังอาน ซูชิงเหมยย่อมรู้จักอยู่แล้ว และเธอก็ยังรู้ว่าคุณอาของเซี่ยฉังอานคนนี้เก่งมาก ทั้งพ่อแม่และตัวของเซี่ยฉังอานเองก็เชื่อถือคำพูดของคุณอาท่านนี้มาก
ดังนั้น คุณครูเซี่ยจื่อซวินท่านนี้จึงเป็นคนที่เธอจะต้องทำให้เขาพึงพอใจให้ได้
ซูชิงเหมยจัดเสื้อผ้าหน้าผมอยู่ในห้องของเธอ ก่อนจะยิ้มให้กับใบหน้าอ่อนวัยที่แสนจะคุ้นเคยในกระจก จากนั้นเธอก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“พี่คะ พี่กลับ…”
ซูชิงเหมยที่เพิ่งวิ่งออกไป ก็เห็นซูหว่านที่ดึงซูรุ่ยและกำลังจะหมุนตัวเพื่อเข้าไปที่ห้อง เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยซึ่งเธอไม่เคยลืมได้ลง รอยยิ้มบนใบหน้าของซูชิงเหมยก็นิ่งค้างไป
นี่…
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เกาอวี่ เกาอวี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แถมยังอยู่กับพี่สาวของเธออีก?
“ชิงเหมย”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงเหมย ซูหว่านก็หยุดฝีเท้าและหันกลับไปมอง “ชิงเหมย มีอะไรหรอ?”
ซูชิงเหมยตกตะลึง และจ้องมองไปยังใบหน้าของซูรุ่ย
ความเกลียดชัง อาฆาตแค้น ความโกรธ…
มีหลายอารมณ์เกิดขึ้นอย่างซับซ้อน ทำให้ใบหน้าเจ้าเนื้อของเธอดูซีดขาวอย่างน่าประหลาด
“เจ้าเด็กคนนี้ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
ขณะนั้นเอง หลิวลี่ที่เพิ่งนำถ้วยชาออกมาและเห็นลูกสาวของเธอยืนอยู่กลางห้อง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“ว้าว!”
ทันใดนั้นซูชิงเหมยก็ร้องไห้โฮออกมา
เสียงร้องไห้นั้นสะอึกสะอื้น ดูเศร้ายิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก
“โธ่เอ้ย แม่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย หนูร้องทำไม?”
หลิวลี่เองก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ลูกสาวของเธอจะร้องไห้ขึ้นมา เธอวางถ้วยชาลงข้างหน้าเยี่ยคานฮวนอย่างกระอักกระอ่วน “คุณครูเซี่ยอย่าถือสาเลยนะคะ เด็กยังเล็กค่ะ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร”
“ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร คุณไปดูก่อนดีกว่าว่าเธอเป็นอะไรไป?”
เยี่ยคานฮวนยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน ปรากฏสีหน้าของการรอดูการแสดงดีๆ ออกมา
“แม่ แม่ หนูกลัว”
ซูชิงเหมยในเวลานี้และหดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหลิวลี่ทันที “แม่ แม่ พี่ชายตัวใหญ่คนนั้นน่ากลัวมากเลย!”
พี่ชายตัวใหญ่?
คราวนี้หลิวลี่นึกถึงซูรุ่ยที่เข้าประตูห้องไปพร้อมกับซูหว่าน เมื่อครู่ตอนที่เธอทักทายคุณครูเซี่ย เธอก็เกือบจะลืมหนุ่มน้อยคนนั้นไปแล้ว
“นักเรียนคนนี้ เธอ… เธอเป็นใครกัน? ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย ไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ย?”
หลิวลี่อุ้มลูกสาวของเธอขึ้นมากอดและตบปลอบเบาๆ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองซูรุ่ยอย่างสงสัย
“คุณป้า ผมชื่อเกาอวี่ครับ แม่ของผมชื่อต่งย่วนย่วน แม่เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ กับป้าฉินฟัง ที่ผมมาครั้งนี้เพราะแม่ฝากให้ผมมาเยี่ยมป้าสะใภ้กับน้องๆ ครับ!”
ซูรุ่ยตอบคำถามของหลิวลี่อย่างไม่รีบร้อน
ฉินฟังเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดซูหว่าน
ญาติของฉินฟังงั้นหรอ?
ยิ่งได้ยินคำตอบของซูรุ่ย ความสงสัยของหลิวลี่ก็ยิ่งฝังรากลึกมากขึ้น เธอเองไม่เคยได้ยินซูกั๋วเลี่ยงพูดถึงญาติทางฝั่งฉินฟังมาก่อน?
หรือว่าจะเป็นญาติห่างๆ กันจริงๆ ?
ป้าสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้อง?
เมื่อได้ยินซูรุ่ยพูดโกหกตาใส เยี่ยคานฮวนที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มออกมา ในขณะที่ซูชิงเหมยยังคงอยู่ในอ้อมแขนของหลิวลี่ ดวงตาของเธอฉายแววของความเย็นชา…
ญาติห่างๆ อะไรกัน? ป้าสะใภ้อะไรกัน?
นี่มันเรื่องโกหกทั้งนั้น! ต่งย่วนย่วนแม่ของเกาอวี่เป็นลูกสาวของตระกูลต่งแห่งเมืองซื่อจิ่วเฉิง เธอมีพี่ชายเพียงคนเดียว เป็นนักธุรกิจในเมืองหลวง ไม่มีทางที่เธอจะเป็นญาติของฉินฟังได้เลย!
ขณะที่หลิวลี่กำลังรู้สึกสงสัยและไม่แน่ใจอยู่นั้น พลันมีเสียงจักรยานดังขึ้นที่นอกประตู เป็นซูกั๋วเลี่ยงที่กลับมาจากที่ทำงาน
“กั๋วเลี่ยง คุณกลับมาแล้ว ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจังล่ะ?”
ทันทีที่หลิวลี่ได้ยินเสียงดังจากข้างนอก เธอก็รีบวิ่งไปที่ประตูพร้อมกับลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน มองไปยังซูกั๋วเลี่ยงที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง “พอดีเลย วันนี้มีแขกมาบ้าน คุณเข้ามาทักทายก่อนสิ เด็กคนนั้นเขาบอกด้วยว่าเป็นลูกชายของญาติห่างๆ ของฉินฟัง ตอนนี้อยู่ในบ้านแหนะ!”
ญาติของฉินฟัง?
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวลี่ สีหน้าของซูกั๋วเลี่ยงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเข้าไปในบ้านทันที
ในเวลานี้ นอกจากซูหว่านแล้วยังมีคนแปลกหน้าอีกสองคนในห้อง ซูกั๋วเลี่ยงที่เพิ่งได้ฟังคำพูดของหลิวลี่มา จึงตั้งเป้าหมายไปที่ซูรุ่ยในทันทีเป็นธรรมดา “เธอเป็นลูกชายของพี่ฟังหรอ?”
“คุณคงเป็นอาเขย? ผมชื่อเกาอวี่ครับ!”
ซูรุ่ยยิ้มจางๆ ให้ซูกั๋วเลี่ยง “ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุณป้าเคยพูดถึงแม่ของผมบ้างหรือเปล่า? ถ้าไม่พูดถึงก็คงไม่แปลกอะไร เพราะพวกเราเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่เมือง C ตามพ่อที่ต้องย้ายมาทำงานน่ะครับ ก่อนหน้านี้พวกเราอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด”
เมืองหลวง
สถานที่ที่ห่างไกล ทว่าเป็นที่ต้องการของผู้คน
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ยและแววตาที่ไม่สั่นไหวของเขา ซูกั๋วเลี่ยงยังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซูกั๋วเลี่ยงเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับญาติของฉินฟังมากนัก และตั้งแต่ฉินฟังตายจากไป เขาก็ค่อยๆ ขาดการติดต่อกับฝั่งนั้นไป
คนจากเมืองหลวง?
หลิวลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังของซูกั๋วเลี่ยงมองดูซูรุ่ยอย่างระมัดระวังเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าเขาจะสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนมัธยมปลายสิบสาม แต่รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและบุคลิกเฉพาะตัวของเขานั้นดึงดูดสายตาให้ผู้คนจับจ้องได้เป็นพิเศษ
เด็กคนนี้ มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นคนที่มาจากตระกูลร่ำรวย และคนแบบนี้คงไม่ทำให้บ้านของตัวเองเสื่อมเสียเป็นแน่ บางทีถ้ารู้จักกับคนบ้านนี้ไว้ก็อาจจะพลอยได้บารมีไปด้วย?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลิวลี่ก็จ้องมองไปในดวงตาของซูรุ่ยและมีความรู้สึกแรงกล้าขึ้นมาทันที “ครอบครัวของเธอย้ายมาจากเมืองหลวงหรอกหรอ! ป้าโตมาขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เคยได้ไปเมืองหลวงเลย อ้อ จริงสิ แล้วตอนนี้พวกเธออาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ? อยู่ไกลจากบ้านพวกเราไปมากมั้ย?”
เมื่อได้ยินคำถามของหลิวลี่ ซูรุ่ยก็ยิ้มอย่างใจเย็น “คุณป้าครับ ครอบครัวของผมอาศัยอยู่บ้านพักข้าราชการ เอ่อ ตอนนี้พ่อของผมทำงานในสำนักงานเทศบาล!”
การเมือง รัฐ สำนักงานเทศบาล?
เมื่อได้ยินคำตอบของซูรุ่ย หลิวลี่ก็ตะลึงงันไปทันที…ต้องเป็นข้าราชการระดับสูงขนาดไหนกัน?
เยี่ยคานฮวน: …
เอาเถอะ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มต้นด้วยการใช้พ่อมาต่อสู้แล้วหรอ? นี่มันผิดจากที่คาดการณ์ไว้อะไรอย่างนี้!