ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 5 ปีศาจห้วงลึก (5)
ในป่าเขาเงียบสงบไร้สุ้มเสียง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาหม่น
ตอนนี้เบลเลียได้เปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์แล้ว ท้ายที่สุดเขาก็สงบลง และยืนหลับตาเงียบๆ อยู่ด้านหลังซูหว่านกับซูรุ่ย เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
สายลมอ่อนๆ พัดผ่านป่า กลิ่นเน่าจางๆ ที่แยกแยะไม่ออกลอยอยู่ในอากาศ
นี่คือ…
ซูรุ่ยกับซูหว่านสบตากัน ทั้งสองต่างตื่นตัวเงียบๆ
“แย่แล้ว!”
เบลเลียที่อยู่ด้านหลังลืมตาขึ้นอย่างลนลาน เขาสัมผัสถึงลมหายใจชนิดนี้
“รีบไป! ที่ที่เราล่วงล้ำเข้ามาคือป่าแห่งวิญญาณในห้วงลึกชั้นลึก!”
พอได้ยินคำพูดของเบลเลีย ซูหว่านก็รีบหยิบเครื่องรางวาร์ปชิ้นสุดท้ายขึ้นมา เพียงแต่ยังไม่ทันร่ายเวทเดินเครื่อง เครื่องรางในมือนางก็ไหม้ไฟทันที เปลวไฟเป็นสีขาว โชยกลิ่นลมหายใจเย็นๆ แปลกๆ ออกมา
“วิ่ง!”
ซูรุ่ยพุ่งไปข้างหน้าดุจเกาทัณฑ์ พริบตาที่ทั้งสามขยับ ผืนหญ้าที่แบนราบอยู่แต่เดิมพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แขนสีขาวซีดท่อนแล้วท่อนเล่ายื่นออกมาจากดินดำที่ติดวัชพืชอยู่ พร้อมกับเล็บอันแหลมคมบนนิ้วมือที่ผอมราวกับท่อนฟืน
เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ป่าเขาทั้งผืนล้วนเต็มไปด้วยกรงเล็บผี พวกมันกวัดแกว่งไปมา และทะลุออกจากผืนดินทีละนิด
งานนี้ตื่นตะลึงยิ่งกว่าซอมบี้ในวันสิ้นโลกอย่างแน่นอน!
ซากศพอันฟอนเฟะจนจำหน้าตาไม่ได้ศพแล้วศพเล่า ค่อยๆ คลานขึ้นจากผืนดิน ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว พวกมันเดินกระย่องกระแย่งเข้ามา พริบตาเดียวก็ล้อมทั้งสามเป็นชั้นๆ!
“ให้ตายสิ น่าขยะแขยงมาก”
เบลเลียที่อยู่อีกด้านหน้าเปลี่ยนสี พูดพลางหยิบไม้กายสิทธิ์ออกจากแหวนช่องมิติของตน
“บัวนรก!”
งูไฟสีแดงเลื้อยบินขึ้นไป ภายใต้ท้องฟ้าแห่งแสงไฟ เหล่าซากศพกระย่องกระแย่งเริ่มส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด เสียงกรีดร้องเสียดแก้วหูเหล่านี้แหวกอากาศบนท้องฟ้าเหนือภูเขา แผ่ออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
เสียงพวกนี้…
ซูหว่านรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าเสียงกรีดร้องพวกนี้ไม่ใช่เสียงร้องโหยหวนธรรมดา พวกมันคล้ายกำลังส่งข้อความบางอย่างไปให้ผู้ที่อยู่ห่างไกล!
กำลังร้องขอความช่วยเหลือ?
ซูหว่านรีบล้วงยันต์เวทออกจากอกเสื้อตน ก่อนโปรยไปด้านหน้า ยันต์เวทเหล่านี้พลันกลายเป็นจุดแสงดาวมากมาย จมลงสู่พื้นดิน แล้วท้องฟ้าบนผืนดินรอบๆ ก็ปรากฏม่านเวทมนตร์คลี่คลุมทันที กั้นทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายนอกออก!
เกราะป้องกันเวท!
เบลเลียมองซูหว่านแตกต่างไปจากเดิม “เจ้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุรึ”
ตั้งแต่แรกที่เห็นซูหว่านล้วงเครื่องรางวาร์ปออกมาไม่หยุด เบลเลียก็สงสัยแล้ว ตอนนี้พอเห็นนางใช้ยันต์เวทได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้อีก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหลาดใจออกมา
ซูหว่านได้ยินคำถามของเบลเลีย แต่ไม่ได้ตอบ กลับเชิดคางขึ้นน้อยๆ แล้วใช้สายตาบอกใบ้ให้เบลเลียระวังหลัง
ด้านหลัง เอ๊ะ?
พอเบลเลียหันหลังกลับ ก็เห็นด้านหลังของตนมีซากศพที่น่าขยะแขยงศพหนึ่งกระโจนเข้ามา!
น่าขยะแขยงยิ่ง น่าขยะแขยงยิ่ง!
ขณะที่เบลเลียกำลังแขวะนั้น แสงสะท้อนของคมดาบก็วาบผ่าน ซูรุ่ยฟันซากศพที่อยู่ตรงหน้าเขาออกเป็นสองท่อนของเหลวสีเขียวจางๆ สาดออก กระเด็นใส่ทั่วร่างของเบลเลีย
เบลเลีย…
“อ๊ากก!”
ในม่านคาถาป้องกันมีเสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินของใครบางคนดังมา!
“โฮก!”
เสียงขานรับกลับเป็นเสียงที่ดังมาจากอีกด้าน เป็นเสียงคำรามที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่า
นี่คือ…
ราชันย์ซากศพนรก!
ขณะจ้องมองผ่านม่านคาถาป้องกันที่โปร่งใส ซูรุ่ยเห็นร่างอันมหึมาก้าวยาวๆ มาจากแดนไกล ทุกย่างก้าวของมัน สะเทือนภูเขาทั้งลูก ต้นไม้นับไม่ถ้วนถูกเท้าอันใหญ่โตของมันเหยียบย่ำ
“ที่นี่ทำไมมีตัวแบบนี้ได้”
เบลเลียก็ตกตะลึง เขาจ้องมองร่างอันมหึมาของราชันย์ซากศพนรกอยู่อย่างนั้น และเห็นว่าบนบ่าของมันคล้ายมีร่างสองร่างนั่งอยู่
นั่นคือ…
ชายในชุดนักเวทสีดำนั่งหลังตรงอยู่บนบ่าของราชันย์ซากศพนรก ปีกหมวกสีดำบดบังใบหน้าของเขาไว้ เผยให้เห็นแค่คางผอมๆ ขาวๆ ส่วนเจ้าอรชรที่แอบอิงอยู่ในอ้อมอกของเขา เป็นนางปีศาจอเวจีที่สวยมากตนหนึ่ง
นักเวท…วิญญาณ
พอพวกเขาก้าวเข้ามาใกล้ เบลเลียก็ได้กลิ่นของความตายที่ฉุนกึกและลมหายใจที่เหม็นเน่า โชยมาจากร่างของชายผู้นั้น
ที่แท้ ซากศพในป่าแห่งวิญญาณผืนนี้ล้วนเป็นลูกน้องของเขาหรือ
ขณะเบลเลียกำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด ซูรุ่ยที่อยู่อีกด้านกลับค่อยๆ เก็บดาบยาวของตนลง สีหน้าค่อนข้างพูดไม่ออก ขณะมองกลุ่มคนสองคนที่เปิดตัวได้ดึงดูดสายตายิ่ง
“เป็นติงจยาจยา”
ซูรุ่ยกำลังใช้พลังจิตสื่อสารกับซูหว่าน
โอ้ พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหว่านก็ชำเลืองมองติงจยาจยาอย่างอดไม่ได้ อืม ไม่ผิด เธอจำได้ เยี่ยซินเคยบอกว่า สถานะของติงจยาจยาในโลกใบนี้ คล้ายเป็นนางปีศาจอเวจีตนหนึ่ง
แน่นอน ไม่ใช่นางปีศาจธรรมดา แต่เป็นนางปีศาจอเวจีกลายพันธุ์ ที่มีพลังจู่โจมแข็งแกร่งมาก
ขณะที่ซูหว่านกำลังจ้องมองติงจยาจยา ติงจยาจยาที่แอบอิงอยู่ในอ้อมอกผู้ชายก็กำลังจ้องมองซูหว่านกับซูรุ่ยเช่นเดียวกัน…
ให้ตายสิ! นั่นมันเทพบุตรของฉันนี่นา
แม้ติงจยาจยาไม่เคยพบเจอซูรุ่ยมาก่อน แต่เธอก็ใช้คะแนนเก็บของตนไม่น้อยไปกับการซื้อข้อมูลส่วนบุคคลของซูรุ่ยจากตลาดซื้อขายไว้มากมาย ในจำนวนนี้ย่อมรวมทั้งรูปร่างหน้าตาของเขาด้วย
เมื่อเทพบุตรมาแล้ว ปีศาจข้างกายเขาก็ต้องเป็นซูเสี่ยวหว่านสิ
พอนึกถึงตรงนี้ ติงจยาจยาก็รีบกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของผู้ชายที่ตนแอบอิงอยู่
ซากศพที่อยู่รอบบริเวณพลันสงบลง แถมยังกลับใต้ดินไปหลับยาวต่ออย่างว่านอนสอนง่ายอีก กระทั่งราชันย์ซากศพนรกที่ร้ายกาจสุดและเพิ่งคำรามเสียงดังไปเมื่อครู่ ตอนนี้ก็ยืนอยู่นิ่งๆ ราวกับเด็กดีอย่างไรอย่างนั้น
ซูหว่านโบกมือ ม่านป้องกันสลายไป
นางก้าวไปข้างหน้า จ้องตาติงจยาจยาทันที แล้วใช้พลังจิตสื่อสารกับนาง
“ติงจยาจยา ฉันคือซูหว่าน ตอนนี้ฉันชื่อซู ทางเธอสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
ซู?
พอได้ยินซูหว่านพูด ติงจยาจยาก็กะพริบตา มิน่าล่ะซูหว่านถึงได้มีรูปลักษณ์เป็นปีศาจห้วงลึก ที่แท้เธอก็คือฝ่าบาทซูผู้มีชีวิตอันขมขื่นนี่เอง!
“ซู เป็นเจ้ารึ”
ในตอนนี้เอง ติงจยาจยาพลันกระโดดลงจากบ่าของราชันย์ซากศพนรก ก้าวสองสามก้าว มายืนอยู่ตรงหน้าซูหว่าน แล้วยกมือขึ้นกอดรูปร่างอันเล็กกะทัดรัดของซูเสี่ยวหว่านไว้ “ข้าคือเชอร์ลีย์ไง! ไม่ได้เจอกันนานนะ!”
เชอร์ลีย์ จ้าวแห่งนางปีศาจอเวจีในอนาคต
พอเห็นติงจยาจยาเปิดโหมดภูมิหลังทันทีที่พบหน้ากัน ซูหว่านก็ได้แต่มอบรอยยิ้มน้อยๆ ของผู้ที่จากไปนานแล้วมาเจอกันใหม่ให้เธออย่างเบิกบานใจ
หลังจากกอดซูหว่านเรียบร้อย ติงจยาจยาก็ยิ้มตาหยี ก้าวมายืนตรงหน้าซูรุ่ย “ท่านนี้ก็คือ…แรมปาสินะ ที่ผ่านมาขอบคุณมากที่ช่วยฉันดูแลซู”
พอเห็นติงจยาจยาอ้าแขนทำท่าจะโอบกอดซูรุ่ย แม่ทัพซูกลับวาบหลบ
“ไม่ต้องเกรงใจ การดูแลนางเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
ซูรุ่ยยังคงจ้องมองติงจยาจยาด้วยสีหน้าปกติ น้ำเสียงไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป
อ่าฮะ เทพบุตรย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ติงจยาจยาไม่โกรธ นางยิ้มให้ซูรุ่ย แต่ตอนหันมองเบลเลียที่อยู่ข้างกายซูรุ่ย แววตาของนางก็เปลี่ยนเป็นกังขาขึ้นมาทันที “ไม่ทราบว่า หนุ่มหล่อผู้นี้ชื่อว่าอะไร เจ้าก็เป็นเพื่อนของซูกับแรมปาหรือ”