ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 12 ตำนานแม่พระวังหลัง
ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 12
เข้ามาหอแรงงานเป็นวันที่สาม ซูหว่านยังคงเสพสุขกับการดูแลระดับลูกสะใภ้ ตอนเย็นมีฝ่าบาทคอยปรนนิบัติข้างกาย การใช้ชีวิตสุขสบายของครอบครัวเล็กๆ นี้ วังอี้ยังมองด้วยความอิจฉา
แม่นางซู เจ้าเป็นสาวใช้อำนาจล้นเหลือที่สุดในใต้หล้าแล้ว แม้แต่ไทเฮาแห่งราชวงศ์ยังไม่อาจเอื้อมเลย
น่าสงสารเหยียนอวี่นั่วที่ร้อนใจอยาก ‘ช่วยชีวิต’ ซูหว่านจนนอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง แม้แต่ผมยังไปร่วงกำใหญ่
ตามการคาดการณ์ของซูหว่าน อิงตามนิสัยของเหยียนอวี่นั่ว การจะรวบรวมเงินได้ห้าร้อยตำลึงเงินคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเธอจึงรอนางอยู่ที่หอแรงงานมาสองสามวันแล้ว เพียงแต่ซูหว่านคิดไม่ถึงว่าบ่ายวันที่สาม เฉินจี๋จะนำเงินห้าร้อยตำลึงเงินเร่งรุดเข้ามา
ไป๋หมัวหมัวรับเงินแล้วแน่นอนว่าต้องตกปากรับคำดูแลซูหว่านเป็นอย่างดี เฉินจี๋ก็แอบบอกว่าอีกสองวันจะมีคนมาเยี่ยมซูหว่าน
รับเงินคนอื่นก็ต้องช่วยเขาแก้ปัญหาสิ!
ไป๋หมัวหมัวย่อมต้องรับปากตามคำขอของเฉินจี๋ เมื่อส่งเฉินจี๋กลับ ไป๋หมัวหมัวมองตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงเงินว่าเป็นทั้งความทุกข์และความสุขในคราวเดียวกัน เงินเป็นของดีแค่เงินนี้นางไม่กล้าฮุบไว้คนเดียว
“แม่นางซู”
ตอนไป๋หมัวหมัวมาถึงห้องของซูหว่าน ซูหว่านกำลังนอนกลางวันหลังท้องอิ่ม
ตอนนี้เธอยังพักอยู่ในห้องเล็กแสนโกโรโกโส แต่ว่าบนตั่งเตียงเป็นหมอนหยกและผ้าแพรพรมขนสัตว์ ดีเทียบได้กับตั่งเตียงของกุ้ยเฟย
“ไป๋หมัวหมัว ท่านมีธุระหรือ”
ซูหว่านมองไป๋หมัวหมัวด้วยดวงตาพร่าเลือน แต่เฒ่าไป๋ยิ้มพลางยื่นตั๋วเงินมาข้างหน้าซูหว่าน “แม่นางซูหว่าน เฉินกงกงส่งมาให้ เจ้าเก็บไว้ให้ดี!”
เฉินจี๋ส่งมาเหรอ เห็นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงใหม่เอี่ยม ดวงตาซูหว่านเป็นประกายวิบวับ
เหยียนอวี่นั่วรวมเงินได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ ไปยืมใครมานะ ใครสอนเธอกัน
ซูหว่านไม่เชื่อว่าด้วยนิสัยของแม่พระเหยียนจะยืมเงินมาได้ราบรื่นรวดเร็วขนาดนี้ ต้องมีคนแนะนำอะไรเธอแน่
ใครกันนะ เหยียนอวี่ชิงเหรอ
“แม่นางซู”
เห็นสายตาซับซ้อนเงียบงันของซูหว่าน ไป๋หมัวหมัวลังเลแต่ก็ยังเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยว่า “วันนี้ตอนกลางวันมีคนลับๆ ล่อๆ อยู่นอกลานหอแรงงาน บ่าวถามคนรับใช้ที่เข้าออกแล้ว คนผู้นั้นเหมือนจะสืบถามข่าวคราวของท่าน บ่าวกำชับคนไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกเรื่องเกี่ยวกับท่านห้ามรั่วไหลออกไปแม้แค่คำเดียว!”
“โอ้”
ได้ยินคำของไป๋หมัวหมัวแล้ว ซูหว่านยิ้มเล็กน้อย คนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ นั่น แน่นอนว่าคือหว่านซิน คิดไม่ถึงว่านางจะมาจริงๆ แต่ซูหว่านไม่มีกะใจมาเอ้อระเหยเล่นอุบายในวังหลวงหรอก
“หมัวหมัว ท่านจัดการ ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว”
ซูหว่านพูดพลางยกมือขึ้นนำตั๋วเงินห้าร้อยยัดเข้ามือไป๋หมัวหมัว “หลายวันนี้ลำบากไป๋หมัวหมัวแล้ว เงินแค่นี้ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยของท่านแล้วกัน ขอแค่หมัวหมัวตั้งใจทำงาน ข้าย่อมไม่ปฏิบัติต่อหมัวหมัวไม่ดีแน่นอน”
“ขะ ขอบใจแม่นางซูหว่าน”
น้ำเสียงไป๋หมัวหมัวดูเหมือนซาบซึ้ง โอ้โฮ ห้าร้อยตำลึงเชียวนะ ต่อให้เป็นเหล่าเหม่ยเหรินกุ้ยเหรินในวังก็ไม่มีทางถูกตบรางวัลทีเดียวมากมายขนาดนี้!
แม่นางซูหว่านคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา คราวนี้บ่าวมีโชคครั้งใหญ่แล้ว
ไป๋หมัวหมัวออกมาจากเรือนของซูหว่านอย่างเปี่ยมสุข อารมณ์ดีเบิกบานยิ่งนัก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้นางจะมีดวงมั่งคั่งงอกเงยขนาดนี้ เพิ่งกลับถึงประตูห้องตัวเอง ไป๋หมัวหมัวก็เห็นขันทีน้อยจากกรมวังกำลังยิ้มระรื่นอยู่หน้าประตูตัวเอง
“ไป๋หมัวหมัวสินะขอรับ บ่าวคือเสี่ยวซุ่นจื่อจากกรมวัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มพลางส่งถุงผ้าปักให้ไป๋หมัวหมัว “หมัวหมัว วันนี้บ่าวมาส่งของเดือนนี้ให้กับหอแรงงาน แล้วก็สิ่งนี้ด้วย”
เสี่ยวซุ่นจื่อควักจดหมายหนึ่งฉบับออกมาจากแขนของตัวเอง ต่อจากจดหมายฉบับนั้นก็ควักตั๋วเงินมาอีกฉบับ เป็นเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึง!
“นี่คือ…”
ไป๋หมัวหมัวสีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ที่จริงในใจคาดเดาไว้แล้ว
“หอแรงงานของหมัวหมัวหมู่นี้มีเด็กใหม่มาใช่ไหม”
เสี่ยวซุ่นจื่อยัดจดหมายกับตั๋วเงินลงฝ่ามือไป๋หมัวหมัว “ขุนนางท่านหนึ่งฝากให้แม่นางคนนั้น รบกวนไป๋หมัวหมัวด้วย”
บนจดหมายไม่ได้ระบุชื่อไว้และไม่ได้บอกว่าให้ใคร แต่ไป๋หมัวหมัวได้ยินคำพูดของเสี่ยวซุ่นจื่อแล้ว ก็รู้เลยว่ามอบให้กับซูหว่าน “กงกงวางใจได้ เรื่องนี้บ่าวรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
ไป๋หมัวหมัวพูดกับเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างเกรงใจอีกไม่กี่ประโยค จนกระทั่งส่งเขาออกจากประตูของหอแรงงาน ไป๋หมัวหมัวถึงถอนหายใจกลับเข้าไปห้องของซูหว่าน
เมื่อซูหว่านได้เห็นไป๋หมัวหมัวกลับมาอีกก็ประหลาดใจเล็กน้อย “หมัวหมัว ท่านยังมีธุระหรือ”
“แม่นางซู จดหมายกับตั๋วเงินฉบับนี้เป็นของท่าน”
ไป๋หมัวหมัวยื่นจดหมายกับตั๋วเงินให้ซูหว่าน ซูหว่านกลับแค่รับจดหมายฉบับนั้นไปด้วยความฉงนใจ ไม่ได้หยิบตั๋วเงินในมือเธอไป
ไป๋หมัวหมัวเก็บอาการ หางตาหางคิ้วกลับฉายแววปิติยินดี
จดหมายฉบับนี้คือ…
ซูหว่านฉีกจกหมายเปิดดูอย่างรวดเร็ว ด้านในมีเพียงจดหมายหนึ่งฉบับ ทว่าตัวอักษรด้านบนกลับแข็งแกร่งและทรงพลังมาก
เสิ่นเฉิงเป่ย
ซูหว่านมองจุดลงนามเป็นตราประทับชื่อของเสิ่นเฉิงเป่ย พลันตระหนักรับรู้ว่าตัวเองลืมพระเอกตัวจริงคนนี้ไปได้อย่างไรกัน
ที่แท้ข่าวที่ห้องพระภูษาเกิดเรื่องได้แพร่งพรายออกไป เวลานี้เองในเนื้อเรื่องเดิมควรเป็นเสิ่นเฉิงเป่ยกับซูหว่านรู้จักกัน หลังจากนั้นเป็นส่วนห่านแดงสื่อรัก แต่ยังไม่ทันรอให้เสิ่นเฉิงเป่ยเขียนจดหมาย ห้องพระภูษาก็เกิดเรื่องเสียก่อน และได้ยินเรื่องห้องพระภูษาจากกององครักษ์ เสิ่นเฉิงเป่ยร้อนใจฝากให้คนไปสืบถามสองวันถึงรู้ว่าซูหว่านถูกส่งไปหอแรงงาน ยังดีที่ตระกูลเสิ่นนั้นนับว่าร่ำรวย เสิ่นเฉิงเป่ยรีบนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงแนบจดหมายหนึ่งฉบับวานให้คนของกรมวังนำไปส่งที่หอแรงงาน
สามารถจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ในคราวเดียว คนคนนี้นับว่ามีความตั้งใจ…
จดหมายของเสิ่นเฉิงเป่ยสั้นกระชับ ในจดหมายเขาเล่าสถานการณ์ช่วงนี้ของตัวเองคร่าวๆ หลังจากนั้นก็บอกว่าตัวเองจะหาทางเคลื่อนไหวช่วยซูหว่านออกมา ให้เธอทนรอสักสองสามวัน
เก็บจดหมายแล้ว ซูหว่านพิงตั่งและหรี่ตาลง
ตอนนี้พระเอกนางเอกก็ประจำตำแหน่งแล้ว ตัวประกอบหญิงใจทะเยอทะยาน ตัวประกอบชายก็พร้อมเข้าประจำที่ทุกเมื่อ พวกเราก็มาเริ่มละครเพลงเถอะ
ใครจะเอาชนะใครได้กันแน่ ไม่ว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ถอยร่นหรือท่านพระแม่จะเดินสู่เส้นทางมืด พวกเราก็มาดูตอนจบละครฉากใหญ่นี้ก็แล้วกัน
“ไป๋หมัวหมัว”
ไม่รู้เมื่อไหร่สายตาของซูหว่านจ้องมองไป๋หมัวหมัวอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงซูหว่าน ไป๋หมัวหมัวรีบฉีกยิ้มถลาเข้ามา “แม่นางซู มีเรื่องอันใดจะสั่งหรือ”
ใครๆ ต่างพูดว่ามีเงิน เงินก็สามารถใช้ผีให้โม่แป้งได้ ตอนนี้ไป๋หมัวหมัวถูกซูหว่านซื้อตัวไว้เป็นที่เรียบร้อย นางย่อมวิ่งตามม้าตัวนำ
“เจ้าหาทางไปแจ้งเฉินจี๋ ก็บอกเขาว่ามะรืนนี้เป็นโอกาสอันดี ให้เขาพาคนมาพบข้า”
ซูหว่านต้องการเตรียมตัวนิดหน่อย นางต้องทำให้ตัวเองดูอนาถที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องโจมตีพระแม่เหยียนให้ถึงตาย ทำให้ชั่วชีวิตนางไม่อาจลืมพี่สาวน้องสาวคนนี้ที่ต้องตรากตรำทรมานเพราะนาง แบบนี้ การแสดงของซูหว่านในวันข้างหน้าถึงจะบรรเลงได้ดียิ่งขึ้น…
“บ่าวเข้าใจแล้ว”
ได้ยินคำกำชับของซูหว่าน ไป๋หมัวหมัวออกแรงพยักหน้าทันที เรื่องนี้ง่ายมาก นางต้องจัดการอย่างเหมาะสมแน่นอน
ห้องพระภูษา
ตอนเฉินจี๋ได้รับข่าวคราวที่คนของไป๋หมัวหมัวส่งมา เขาก็เพิ่งกลับถึงห้องพระภูษา พอเข้าประตูก็เห็นเหยียนอวี่นั่วกับสวีปิงเย่ว์จะออกไปด้วยกัน
เฉินจี๋หรี่ตาชั้นเดียวลง มองสวีปิงเย่ว์หลายครั้ง ยายเด็กคนนี้แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกอยู่ไม่สุข อืม เขาไม่ชอบ
“เฉินกงกง!”
เหยียนอวี่นั่วและสวีปิงเย่ว์ที่กำลังจะออกไปพร้อมกับผ้าปัก ได้พบเฉินจี๋ที่หน้าประตูก็เดนมาข้างหน้าและทำความเคารพ
“อวี่นั่ว เจ้ามานี่สิ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า!”
เฉินจี๋โบกไม้โบกมือให้กับเหยียนอวี่นั่ว เหยียนอวี่นั่วรีบวิ่งไปอย่างกังวลใจ “เฉินกงกง หรือทางเสี่ยวหว่านมีอะไรเปลี่ยนแปลงรึ”
ยามนี้เหยียนอวี่นั่วอดไม่ได้ที่จะคิดถึงซูหว่านอีกแล้ว บ่ายนี้เพิ่งส่งเงินไป อีกฝ่ายคงไม่เปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้หรอกนะ
“เป็นเรื่องของซูหว่าน แต่เป็นข่าวดี”
เฉินจี๋เห็นเหยียนอวี่นั่วท่าทางร้อนรนก็ไม่อ้อมค้อม แล้วถ่ายทอดคำพูดของไป๋หมัวหมัวกับนาง “มะรืนนี้ตอนกลางวัน เจ้าเก็บข้าวของ ข้าจะพาเจ้าไป”
“จริงหรือ”
เหยียนอวี่นั่วได้ยินคำพูดของเฉินจี๋ดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที “เฉินกงกงขอบคุณท่านมากจริงๆ แล้วก็…ข้า ข้าพาคนไปอีกสองคนได้หรือไม่”
“หืม?”
ได้ยินคำพูดของเหยียนอวี่นั่วแล้วตาลุกวาว เฉินจี๋ลังเลเล็กน้อย เมื่อคิดถึงว่าไป๋หมัวหมัวไม่ได้กำหนดจำนวนคน อีกอย่างทางหอแรงงานทั้งสกปรกทั้งวุ่นวาย มีแต่พวกสมองไม่ปกติถึงจะยินดีไปที่แบบนั้น โอ๊ะ ถุยๆ ๆ เฉินจี๋ด่าอยู่ในใจว่าโง่เหลือเกิน หลายวันมานี้ตัวเองก็ชอบออกไปที่นั่นไม่ใช่หรืออย่างไร
ฝ่าบาทที่ชอบไปที่นั่นก็โดนลูกหลงด้วย
ระวัง ‘ถูกกระสุนบวกหนึ่ง…’
“ก็ได้ๆ”
เฉินจี๋เห็นเหยียนอวี่นั่วท่าทางระมัดระวัง อดไม่ได้ที่จะโบกไม้โบกมือ ฮึ ตัวเองเป็นคนใจอ่อนเกินไป
คนนับไม่ถ้วนที่เฉินจี๋แทงข้างหลัง ‘แกใจอ่อนกับผีน่ะสิ’
ที่จริงนี่อาจเป็นผลกระทบจากรัศมีของนางเอก เลี่ยวซืออี๋ที่เข้มงวดกับผู้คนเสมอกลับดูแลเหยียนอวี่นั่วเป็นพิเศษและเฉินจี๋ที่ปากร้ายแต่ใจดีมาตลอดเมื่อเผชิญหน้ากับเหยียนอวี่นั่วก็ตอบรับคำขอเสมอ