ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 13 ตำนานแม่พระวังหลัง
วันที่อากาศอบอุ่น เวลากลางวัน
เหยียนอวี่นั่วพาสวีปิงเย่ว์และเหยียนอวี่ชิงตามที่นัดกันไว้ก่อนหน้านี้ เดินตามเฉินจี๋ถึงหน้าประตูหอแรงงาน เพราะว่าเฉินจี๋นัด ไป๋หมัวหมัวจึงยืนรอนอกประตูหอมาพักใหญ่ ๆ
“หมัวหมัว!”
เฉินจี๋ยิ้มให้กับไป๋หมัวหมัว “พวกเด็กๆ ล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับซูหว่าน ให้พวกนางเข้าไปด้วยกันคงไม่เป็นไรกระมัง? ”
“เฮ้อ จริงๆ แล้วไม่ได้หรอกนะ”
ไป๋หมัวหมัวแกล้งทำหน้าเจื่อน “แต่ว่านะ เมื่อเฉินกงกงออกปากแล้ว บ่าวก็แค่ช่วยรักษาหน้าไว้ ตอนนี้ในลานมีคนไม่มาก ซูหว่านก็เพิ่งจะกลับมา พวกเจ้าเข้าไปดูนางเถอะ แต่ต้องรีบหน่อยนะ”
“เย่ว์เหมย เจ้าพาพวกนางเข้าไปพบซูหว่านสิ”
เย่ว์เหมยเป็นคนรับใช้ที่ไป๋หมัวหมัวไว้วางใจ เมื่อได้ยินคำสั่งของไป๋หมัวหมัวก็จะรีบรับคำสั่งทันที “พี่สาวตามข้า! ”
เมื่อดูตามอายุแล้ว อายุของเย่ว์เหมยจะมากกว่าพวกเหยียนอวี่นั่วพอสมควร แต่วังหลังเป็นสถานที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับตำแหน่งและศักดินา เวลาอยู่ต่อหน้านางข้าหลวงที่มียศศักดิ์สูงเหล่านี้ คนของหอแรงงานต้องใช้คำว่าพี่สาวเรียกแทนชื่อของฝ่ายตรงข้าม
เนื่องจากซูหว่านพักอยู่ด้านในสุดของสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นเย่ว์เหมยพาทุกคนเดินผ่านเกือบทั่วหอแรงงาน เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเหล่านาง้าหลวงในหอแรงงาน เหยียนอวี่ชิงและสวีปิงเย่ว์ต่างพากันนิ่วหน้า สีหน้าของเหยียนอวี่นั่วยิ่งไม่สบายใจ “แม่นางเย่ว์เหมย ซูหว่านทำอะไรที่หอแรงงานแห่งนี้หรือ? ลำบากหรือไม่? ”
เหยียนอวี่นั่วทนไม่ได้จึงแอบถามสภาพปัจจุบันของซูหว่าน นางต้องรู้ให้ได้ว่าซูหว่านอาศัยอยู่ที่นี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่เมื่อเย่ว์เหมยได้ยินคำพูดของนาง เย่ว์เหวยทำได้เพียงหัวเราะขมขื่น “พี่สาวท่านนี้ งานในหอแรงงานที่พวกเราทำล้วนเป็นงานชั้นต่ำและยากลำบากที่สุดแล้ว ผู้ที่มาใหม่ปกติแล้วจะต้องเก็บกวาดอุจจาระ ทำความสะอาดห้องน้ำตำหนักสามและกวาดใบไม้ของตำหนักหก สรุปก็คือ ชีวิตไร้ค่านี้ไหนเลยจะมีสิทธิ์พูดถึงความลำบากอะไรนั่นเล่า?”
พอได้ยินคำพูดของเย่ว์เหมย เหยียนอวี่นั่วถึงกับหน้าซีด ส่วนเหยียนอวี่ชิงกับสวีปิงเย่ว์สบตากันชั่วครู่จนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น หอแรงงานนี่นั้น เป็นสถานที่ไม่ควรมีใครมาอาศัยจริงๆ
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เวลานี้เย่ว์เหมยหยุดอยู่ที่หน้าห้องที่ทรุดโทรมมากห้องหนึ่ง “นี่คือห้องของซูหว่าน นางเป็นคนสุดท้ายที่มาที่นี้จึงได้อยู่ห้องทั้งไกลทั้งแย่ที่สุด พวกท่านเตรียทใจให้ดีก่อนเข้าไปเถิด!”
ในขณะที่พูดอยู่ เย่ว์เหมยมองทั้งสามคนด้วยสายตาล้ำลึก ก่อนที่จะส่ายหัวแล้วเดินจากไป
“ท่านพี่”
มองประตูไม้ที่ทั้งเก่าและชำรุดนั่น เหยียนอวี่ดึงแขนเสื้อของเหยียนอวี่นั่วไว้โดยไม่รู้ตัว
เหยียนอวี่นั่วสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มแรง ก่อนที่จะกล่าวอออกไปและเปิดประตูไม้นั่นออก…
“แอ๊ด…” ประตูบานนั้นเปิดออกพร้อมกับมีฝุ่นฟุ้งกระจายจนทำให้พวกนางอยากจะสำลัก
“แค่กๆ” สวีปิงเย่ว์ที่อยู่ขวาสุดถึงกับไอออกมาเพราะสำลักฝุ่นกระจายไปทั่วและเสียงไอของนางทำให้คนในห้องตกใจ
“พี่อวี่นั่ว พวกท่าน…พวกท่านมาได้อย่างไรกัน”
ภายในห้องแคบมาก นอกจากเตียงไม้ทั้งเก่าที่อยู่ชิดผนังและมีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้ที่ไม่สมประกอบชุดหนึ่งเท่านั้น
ขณะที่ซูหว่านกำลังก้มหัวทายาให้ตนเองอยู่บนเตียงไม้ เธอได้ยินเสียงจากหน้าประตูถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นทั้งสามคน
“เสี่ยวหว่าน!”
เหยียนอวี่นั่วสบตากันกับซูหว่าน ทันใดนั้นขอบตาของนางก็แดงก่ำ
ซูหว่านที่อยู่เบื้อหน้า ทั้งความสวยงามและแข้งแรงเมื่อวันก่อนอยู่ที่ไหนกัน
ตอนนี้เธอสวมใส่ชุดบางๆ ขาดๆ ที่บ่าวเขาสวมใส่กัน ทรงผมเธอทั้งแห้งและยุ่งเหยิง ใบหน้าที่ทั้งขาวและเรียวสวย วันนี้กลับซีดเหลือง
“เสี่ยวหว่าน คอของเจ้าเป็นอะไร?”
สายตาของเหยียนอวี่นั่วมองซูหว่านตั้งแต่หัวจรดเท้าพบว่ามีรอยเฆี่ยนยาวๆ ตรงบริเวณคอของเธอ เลือดที่อยู่บนบาดแผลเริ่มแข็งตัวแล้ว ได้เห็นรอยบาดแผลซึ่งยาวมากๆ รอยนั้น เหยียนอวี่นั่วก็วีดร้องออกมาทันใด ส่วนสวี่ปิงเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังถึงกับหันหน้าหนีเมื่อเห็นบาดแผลของซูหว่าน
“พวกพี่อย่ากังวลเลยนะ”
ซูหว่านพอใจกับท่าทีของเหยียนอวี่นั่วมาก เธอส่งยิ้มอ่อนแรงให้กับเหยียนอวี่นั่ว “นี่เป็นรอยบาดแผลที่ข้าทำงานไม่ระมัดระวังเมื่อตอนเช้าน่ะ นี่ไม่เป็นไรเลย ช่วงนี้ข้าได้รับบาดเจ็บบ่อยมาก เดียวสักพักก็ชินแล้วล่ะ”
ซูหว่านพูดพลางใช้ยาที่ตัวเองถืออยู่ทาไปที่บาดแผลอีกครั้ง ความเจ็บปวดในช่วงเสี้ยวนาทีนั้นทำให้สีหน้าของเธอซีดเผือดพร้อมกับหน้าผากของเธอมีเหงื่อคล้ายหยดน้ำไหลออกมา
“เสี่ยวหว่าน พี่ช่วยเจ้าทายานะ”
เหยียนอวี่นั่วเห็นว่าซูหว่านทายาด้วยตัวเองไม่สะดวกนัก นงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นพลางรีบเดินไปข้างหน้า ส่วนเหยียนอวี่ชิงและสวีปิงเย่ว์ที่อยู่ข้างหลังต่างมองหน้ากันแล้วจึงพากันเดินมาที่หน้าเตียง ทั้งสามคนช่วยกันทายาให้ซูหว่านเสร็จเรียบร้อย เหยียนอวี่ชิงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดออกมาแล้วพันแผลให้กับซูหว่าน
หลังจากพันแผลให้ซูหว่านเสร็จแล้ว เหยียนอวี่นั่วจับมือซูหว่านที่ปลายเตียงอย่างทนไม่ได้ “เสี่ยวหว่าน พี่ขอโทษนะ เจ้าต้องมาลำบากแบบนี้เพื่อข้า เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องหาวิธีช่วยเจ้าอกไปให้ได้ จะต้องช่วยเจ้าออกไปให้ได้อย่างแน่นอน”
“เหยียนอวี่นั่ว ข้าเชื่อใจพี่นะ พี่เปรียบเสมือนเป็นพี่สาวฉันคนหนึ่ง เป็นคนที่ข้าสนิทที่สุด ณ วังหลังแห่งนี้ แล้วยังมีอวี่ชิงด้วย”
สายตาของซูหว่านค่อยๆ มองไปที่เหยียนอวี่ชิงและสวีปิงเย่ว์ “อวี่ชิงและปิงเย่ว์ล้วนเป็นคนที่ดีเหมือนกัน ข้าดีใจมากจริงๆ ที่ได้รู้จักกับทุกคน”
“พี่เสี่ยวหว่าน นี้เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ”
เหยียนอวี่นั่วยังไม่ทันได้พูดอะไร สวีปิงเย่ว์ก็เดินไปจับมือซูหว่านแน่น “แม้ว่าตอนนี้ฉันยังเป็นแค่นางกำนัลเล็กๆ ที่กองพระภูษา แต่ว่าพี่เสี่ยวหว่าน ฉันกับพี่เหยียนนั่วจะช่วยกันคิดหาวิธีช่วยพี่ออกไปนะ พี่ต้องรอพวกเรานะ”
“อืม”
เมื่อซูหว่านได้ยินคำพูดของสวีปิงเย่ว์ ดงตาของซูหว่านฉายประกายและพยักหน้าลงอย่างแน่วแน่
เหยียนอวี่ชิงที่ขยับปากพูดอยู่หลายคล้ายทว่าถูกสวีปิงเย่ว์แย่งพูดตลอด เธอทำได้แค่เพียงอยู่ข้างหลังอย่างเบื่อหน่าย พลางมองไปที่สวีปิงเย่ว์อย่างซับซ้อน…
ทั้งสี่พี่น้องไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ไป๋หมัวหมัวส่งคนให้มาเรียกซูหว่านกลับไปทำงานต่อ
เมื่อเห็นร่างบางของซูหวานเดินโซซัดโซเซพร้อมถังไม้ขนาดใหญ่ เงาของเธอก็ตรึงลึกเข้าไปในใจของเหยียนอวี่นัวมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เรียกว่าพี่น้องก็เป็นแบบนี้แหละที่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกนางได้และเป็นพี่น้องที่มีความจริงใจต่อกันและกัน
เสี่ยวหว่าน ชาตินี้ ข้าเหยียนอวี่นั่วจะจดจำคุณงามความดีของเจ้าไว้และจดจำว่าเจ้าคือพี่น้อง
ใจลึกๆ ของเหยียนอวี่นั่วที่สาบานว่าต้องตอบแทนซูหว่านให้ได้ สายตาของของเหยี่ยนอวี่นั่วก็แน่วแน่ขึ้น ตอนที่จะเดินจากไป นางก็หาวิธีเพื่อช่วยซูหว่านออกมาและจะต้องหาหนทางให้ได้อย่างแน่นอน…
หลังจากที่พวกเธอเดินจากไป ซูหว่านกลับมาที่ห้องของตัวเอง ส่วนถังไม้ที่หนักขนาดนั้นก็ถูกเย่ว์เหมยยกไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว ไป๋หมัวหมัวเห็นบาดแผลที่เลือดซึมอยู่ตามร่างกายของซูหว่าน “แม่นางซูหว่าน จะให้คนไปเรียกขันทีวังมาหรือไม่? ”
ในสายตาไป๋ของหมัวหมัว แม่นางคนนี้ไม่ได้เป็นหญิงที่สูงศักดิ์ แต่ยังมีค่ามากกว่าคำว่ายศศักดิ์เสียอีก ซึ่งนางเป็นหญิงสาวที่คิดจะทำร้ายตัวเองก็ทำร้ายตัวเองได้แบบนี้ ไป๋หมัวหมัวก็เป็นครั้งแรกที่่ได้เห็นเหมือนกัน
หากพูดถึงสตรีในวังหลังที่กระทำด้วยวิธีแบบนี้ได้คงนับไม่ถ้วนเลยล่ะ แต่พวกนางล้วนไม่ค่อยมีเหตุผลถึงขึ้นไร้สาระเลยก็ว่าได้หรือไม่ก็หาวิธีการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น จะมีสักกี่คนที่กล้าจะทำร้ายตัวเอง?
ร่างกายของพวกนางยังมีค่าอยู่ไงล่ะ
“ไม่ต้องเรียกขันทีหวังแล้ว ไป๋หมัวหมัวช่วยฉันไปเอายาแก้ปวดที่สำนักหมอหลวงมาก็พอแล้วล่ะ”
ซูหว่านเอียงคอมองแผลตัวเองที่บริเวณลำคอ บาดแผลยาวมาก เป็นเพราะเลือดไหลเยอะ จึงดูน่ากลัวมาก แต่จริงๆ แล้ว บาดแผลนั้นไม่ได้ลึกอะไร ตอนที่ซูหว่านลงมือทำร้ายตัวเองได้คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าบาดแผลที่เลือดไหลเยอะออกมาแบบนี้ นอกจากทำให้รู้สึกว่ามันจะรุนแรงมาก มันแค่ทำให้ทิ้งรอยแผลเป็นทางยาวน่าเกลียดไว้เท่านั้นเอง
ซูหว่านต้องใช้รอยแผลนี้เตือนเหยียนอวี่นั่ว ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองผ่านมาอะไรบ้าง ด้วยลักษณะนิสัยของเหยียนอวี่นั่วที่เหมือนแม่พระเอาเสียมากๆ ทั้งชีวิตนี้นางคงหนีไปไหนไม่พ้น
แน่นอนว่าเป้าหมายของซูหว่านไม่ได้ต้องการให้เหยียนอวี่นั่วมาเป็นคนรับใช้กับเธอ เธอแค่ก็ต้องการให้เหยียนอวี่นั่วเจออุปสรรค เอาชนะความลำบากนี้เพื่อตนเองและพร้อมบุกน้ำลุยไฟ!