ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 14 ตำนานแม่พระวังหลัง
กลางคืน ซูรุ่ยมาถึงหอแรงงานตามเวลาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ซูหว่านไม่ได้รอเขา สวมชุดนอนไปก่อนคนเดียว เตียงที่ดูธรรมดานั้นปูด้วยเครื่องนอนที่แสนละเมียดละไม ซูหว่านกำลังนอนขดตัวอยู่ด้านบน ร่างทั้งร่างถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ที่รัก?”
ซูรุ่ยฟุบลงบนเตียงแล้วเรียกซูหว่านเบาๆ ไม่มีการตอบรับใดๆ จากคนที่นอนอยู่บนเตียง หรือเพราะว่าเหนื่อยเกินไปจนหลับลึกไปแล้ว?
ซูรุ่ยยกมือขึ้นลูบผมของซูหว่านเบาๆ แล้วเอียงตัวไปยังแก้มของเธอช้าๆ พลางพรมจูบลงไปอย่างแรงครั้งหนึ่ง “นอนเถอะ”
เมื่อพูดจบ เขาหมุนตัวไปเปิดหน้าต่างบานเก่า ร่างของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
หลังจากที่ซูรุ่ยจากไปแล้ว ซูหว่านจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ยื่นแขนออกนอกผ้าห่ม สายตามองไปยังแผลของตน เมื่อตอนเย็นเธอได้จงใจมอบหมายให้ไป๋หมัวหมัวจุดไม้จันทน์หอมในห้องและหลังอาหารค่ำเธอตั้งใจจะไม่เปลี่ยนยาใส่แผล
ซูรุ่ยมีประสาทสัมผัสที่ดีมาก ซูหว่านกลัวว่าเขาจะรู้เรื่องที่ตนได้รับบาดเจ็บจึงใช้วิธีนี้
เธอไม่อยากให้เขาเป็นห่วงหรือเสียใจ แผลเล็กแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับเธอ
หยิบยาใส่แผลที่ไป๋หมัวหมัวนำกลับมาจากสำนักหมอหลวงจากใต้หมอน ซูหว่านค่อยๆ ถอดเสื้อออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นแขนที่ได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว ผ้าที่ใช้พันแผลเปลี่ยนแล้วเมื่อตอนบ่าย
ซูหว่านกัดฟันใช้มืออีกข้างหนึ่งแกะผ้าขาวที่ปิดแผลไว้อย่างตั้งใจ ในตอนนี้เอง ข้อมือของเธอถูกคว้าไว้อย่างแรง
ซูหว่านสะดุ้ง ชายตาขึ้นสบสายตาอย่างร้อนรน สายตาของซูรุ่ยที่ลึกจนไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่
“คิดจะหลอกผมเหรอ? ซูหว่าน คุณยังอ่อนเกินไป”
ต่อให้ในห้องมีแต่กลิ่นของไม้จันทน์ ก็ไม่สามารถกลบกลิ่นคาวเลือดบนตัวของเธอได้ อีกอย่างก่อนที่จะจากไปเมื่อครู่นี้ซูรุ่ยจงใจเอนตัวไปจูบซูหว่าน ยาใส่แผลที่ถูกซ่อนอยู่ใต้หมอนก็ถูกซูรุ่ยรู้ในทันที เขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรแล้วจากไปเพื่อเปิดเผยเธอพร้อมหลักฐานที่มัดตัว
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปิดบังซูรุ่ยได้อีก ซูหว่านได้แต่ยิ้มเฝือนๆ ให้เขา “ประสาทสัมผัสนายดีเกินไปแล้ว ขนาดนี้ยังโกหกนายไม่ได้อีก”
ซูรุ่ยไม่พูดอะไร เขาหยิบยาใส่แผลที่วางอยู่ข้างกายซูหว่านอย่างเงียบๆ เหล่ตามองลง เปลี่ยนผงยาที่ใส่แผลให้เธออย่างชำนาญและระมัดระวัง “อย่าให้มีครั้งต่อไปอีก”
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ซูรุ่ยเงยหน้าขึ้น แววตาดำสนิทมองตาของซูหว่านนิ่งๆ “ขอเพียงมีผมอยู่ ผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณอีก ผมไม่ได้ คุณเองก็ไม่ได้ เพราะว่าคุณไม่ได้เป็นของคุณเพียงคนเดียว คุณเป็นของผมด้วย!”
พูดไม่ทันขาดคำ ซูรุ่ยก็โน้มศีรษะลง จูบลงบนริมฝีปากของซูหว่านอย่างดุเดือด ซูหว่านไม่ขยับตัว ยอมให้ซูรุ่ยระดมจูบเข้ามาอย่างถาโถม
จูบของซูรุ่ยดำเนินไปได้ไม่นานนัก มีเสียงฝีเท้าและลมหายใจเบาๆ ดังมาจากนอกประตู แววตาของซูรุ่ยมืดลงทันที กระชากเสื้อคลุมที่อยู่ข้าง ๆ มาคลุมร่างของซูหว่านไว้ทั้งตัว “ใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้! ”
“เพล้ง”
เสียงของหล่นลงพื้นดังขึ้นนอกประตูไม้ ตามมาด้วย ไป๋หมัวหมัวที่กลิ้งเข้ามา ด้วยสีหน้าซีดเผือด!
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ขอทรงอายุยืนหมื่นๆ ปีเพคะ”
ร่างเล็กๆ ของไป๋หมัวหมัวกลิ้งเข้ามาหยุดตรงหน้าเตียง มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนนั้น ร่างอันสั่นเทาของนางขยับถอยหลังเล็กน้อย น้ำเสียงกล่าวสรรเสริญซูรุ่ยนั้นแฝงไปด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น
เมื่อตอนเย็นไป๋หมัวหมัวตั้งใจจะใส่ยาให้ซูหว่าน เสียดายถูกซูหว่านปฏิเสธไปในที่สุด นางบอกว่าจะใส่ยาเองก่อนนอน
ดังคำกล่าวที่ว่ากินเงินเดือนนายควรแบ่งเบาภาระนาย ไป๋หมัวหมัวรับเงินจากซูหว่านมากมาย แน่นอนว่าอยากจะทำให้ดีที่สุด ดังนั้นนางจึงอาศัยช่วงกลางคืนเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำแผลตั้งใจจะมาช่วย ใครจะไปรู้ว่าเมื่อนางมาถึงมองผ่านช่องประตูไม้เห็นซูหว่านกำลังพลอดรักกับผู้ชายบนเตียง
ชั่วขณะนั้น ลมหายใจของไป๋หมัวหมัวปั่นป่วนไปหมด นางนึกขึ้นได้ว่าหัวหน้าขันทีวังเคยบอกว่าฐานะของแม่นางซูคนนี้ไม่ธรรมดา แล้วเช่นนั้นชายที่มาพบนางกลางดึกเพียงนี้จะเป็นผู้ใดได้กัน?
ไป๋หมัวหมัวไม่กล้าคิดต่อ จึงตัดสินใจหมุนตัวจะเดินจากไปเงียบเงียบ ใครจะไปรู้ว่าในตอนนี้เองจะได้ยินเสียงเรียกจากชายที่อยู่บนเตียงนั้น
เมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้นั้น ไป๋หมัวหมัวตกใจจนฉี่ราดเลยเห็นไหม!
ฝ่าบาท เป็นฝ่าบาทนั่นเอง!
เมื่อเป็นเช่นนั้น ไป๋หมัวหมัวได้ยินเสียงนั้นตกใจจนไร้เรี่ยวแรงทำได้เพียงกลิ้งเข้ามาตามรับสั่ง
ในเวลานี้ ไป๋หมัวหมัวที่ก้มหมอบอยู่กับพื้นนั้น จิตใจว้าวุ่นยิ่งนัก
มิน่าเล่า หัวหน้าขันทีวังยังนอบน้อมต่อแม่นางซูผู้นี้นัก!
เบื้องหลังคนรักของนางคือฮ่องเต้นั่นเอง!
โชคยังดีที่หลายวันมานี้ตนนั้นทำเต็มที่ มิได้ประพฤติมิชอบกับแม่นางท่านนี้
แต่ตนนั้นเหมือนจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า คงไม่โดนฆ่าปิดปากแล้วหั่นศพหรอกนะ?
เมื่อเห็นไป๋หมัวหมัวที่อยู่บนพื้นตกใจที่เห็นฮ่องเต้จนหน้าซีดเผือก ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะกระตุกแขนเสื้อของซูรุ่ยเล็กน้อย “ฝ่าบาท ผู้นี้คือไป๋หมัวหมัวที่ดูแลหอแรงงาน หลายวันมานี้ หม่อมฉันอยู่ที่นี่ ได้รับการดูแลจากนางเป็นอย่างดีเพคะ”
“อ้อ? เช่นนั้นหรือ? ”
ซูรุ่ยเลิกคิ้วขึ้น เมื่อได้ฟังที่มาของไป๋หมัวหมัวจากซูหว่านแววตาเย็นชาของเขาดีขึ้นไม่น้อย “ดึกเพียงนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ”
“ทูล ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมาดูอาการบาดเจ็บของ…แม่นางซูเพคะ”
น้ำเสียงของไป๋หมัวหมัวยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นในมือของนางยังกำผ้าขาวสำหรับทำแผล ซูรุ่ยจึงเชื่อคำพูดของเธอ “หมัวหมัวช่างมีใจยิ่งนัก แต่ว่าแผลของเสียวหว่านเราได้ทำให้แล้วด้วยตัวเองแล้ว เจ้าออกไปเถอะ อีกเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังฟ้ามืด คนในหอแรงงานทั้งหมดห้ามเข้าใกล้ที่นี่โดยมิได้รับอนุญาต หมัวหมัวได้ยินชัดเจนไหม? ”
“เพคะ เพคะ! หม่อนฉันน้อมรับคำสั่ง ขอฝ่าบาทโปรดทรงวางพระทัย! หม่อมฉันทราบแล้วว่าควรทำอย่างไรเพคะ หม่อมฉันขอทูลลา!”
ระหว่างที่พูดนั้น ไป๋หมัวหมัวหมุนตัวด้วยอาการสั่นเทา ทั้งกลิ้งทั้งคลานทั้งกระโดดออกจากห้องไป
เมื่อไป๋หมัวหมัวจากไปไกลแล้ว ซูรุ่ยจึงหันมามองซูหว่านด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณได้รับบาดเจ็บ อยู่ที่นี่จะพักผ่อนอย่างดีได้ยังไง? ผมพาคุณไปพระราชวังชั้นในดีกว่า ที่นั่นปกติแล้วไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ คุณไปพักผ่อนที่นั่นสักสองสามวัน ให้แผลหายดี ที่หอแรงงานนี้ ผมจะให้วังอี้คอยดูแลให้ ไม่กระทบแผนของคุณแน่นอน”
เมื่อได้ยินซูรุ่ยพูดเช่นนั้น ซูหว่านคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปด้วย พอดีกับที่สองสามวันนี้เธอยังต้องการให้วังอี้ช่วยสืบประวัติของสวีปิงเย่ว์คนนั้นให้ตนสักหน่อย
สวีปิงเย่ว์คนนั้น ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ แน่นอน
“งั้นไปกันเถอะ!”
เมื่อเห็นซูหว่านพยักหน้า ซูรุ่ยยิ้มทันที เขาดึงผ้าห่มบนเตียงขึ้นห่อตัวของซูหว่านไว้ทั้งตัวแล้วอุ้มขึ้น “ฉันจะอุ้มคุณกลับไป คุณพักผ่อนให้สบายเถอะ”
“น้อมรับพระบัญชาเพคะ ฝ่าบาท! ”
ร่างทั้งร่างของซูหว่านถูกซูรุ่ยกระชับแน่นอยู่ในอ้อมกอด เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงคางได้รูปสวยงามของซูรุ่ย
ในค่ำคืน เงาของซูรุ่ยเคลื่อนที่พริ้วไหวราวผีวิญญาณ ทหารเวรยามของวังหลวงสำหรับซูรุ่ยแล้วราวกลับไม่มีอยู่
เพราะถูกห่อด้วยผ้าห่มซูหว่านจึงไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาวในค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วง เอนกายในอ้อมอก นึกถึงคำสั่งที่ให้ตนนั้นพักผ่อน ซูหว่านจึงหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างสบายใจในที่สุด…
พระราชวังชั้นใน ตำหนักเฉียนคุน
ตั้งแต่ซูหว่านมาถึงโลกใบนี้ พระราชวังชั้นในก็ไม่มีนางในคอยรับใช้แล้ว เรื่องทั้งหมดในพระราชวังชั้นใน มีวังอี้รับผิดชอบมอบหมายให้ลูกน้องคนสำคัญของตนจัดการทั้งหมด
เมื่อวางซูหว่านลงบนตั่งมังกร เห็นเธอหลับลึกไปแล้ว ซูรุ่ยจะสั่งให้วังอี้เข้ามา ให้เขายกเลิกคนคอยรับใช้ในเรือนอุ่นและห้องบรรทมสักระยะ ให้วังอี้ดูแลทั้งสองจุดเพียงผู้เดียว
แม้ว่าบ่าวรับใช้ในพระราชวังชั้นในจะเป็นคนกันเองที่ร้อยทั้งร้อยเชื่อใจได้ แต่ซูรุ่ยไม่อยากให้ใครมาเป็นก้างในโลกที่มีเพียงเขาและซูหว่านแค่สองคน จึงให้วังอี้อยู่รับใช้เพียงคนเดียว เหลือไว้ส่งสารเพียงเท่านั้น
เมื่อได้ยินรับสั่งของซูรุ่ย วังอี้พยักหน้ารับทำตามทันทีอย่างธรรมชาติ “ฝ่าบาท สองสามวันนี้แม่นางซู…”
วังอี้แค่ตั้งใจจะถามว่าต้องการให้คนมาดูแลซูหว่านหรือไม่ ใครจะไปรู้ว่าเขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกซูรุ่ยตัดบทไป “จริงสิ วังอี้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปที่สำนักหมอหลวง นำยารักษาอาการบาดเจ็บที่ดีที่สุดมาให้เราทั้งหมด เรื่องนี้เจ้าต้องทำอย่างระวัง อย่าให้คนอื่นสงสัยได้”
“กระหม่อมเข้าใจพะยะค่ะ”
วังอี้พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ในวังหลังนี้มีสายตาไม่รู้ตั้งกี่คู่คอยจับตามองตำหนักเฉียนคุนนี้ ในสำนักหมอหลวงไม่แน่อาจจะมีสายของผู้อื่นอยู่เช่นกัน หากถูกผู้มีใจทราบว่าฝ่าบาท “ได้รับบาดเจ็บ” ไม่แน่ว่าผู้หญิงในวังหลังเหล่านั้นจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก